บทที่ 1469 อ่อนแอเกินไป

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

ห้องหลอมรวมเต็มไปด้วยแสงสีขาว

 

บรรยากาศที่หนักหน่วงแสดงให้เห็นว่าการหลอมรวมวิญญาณอมตะมาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดแล้ว

 

ฟางหยวนใช้สมาธิทั้งหมดขณะที่ผมที่หกรู้สึกประหม่า

 

“ถึงเวลาแล้ว!” ผมที่หกกล่าวออกมาอย่างกะทันหัน

 

ในขั้นต้น วิธีการที่ดีที่สุดในการหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์คือการใช้วิธีบนเส้นทางแห่งแสง วิธีบนเส้นทางสายอื่นต้องใช้ความพยายามมากขึ้นขณะที่ผลลัพธ์ด้อยกว่า

 

สำหรับขั้นตอนสุดท้าย พวกเขาไม่สามารถใช้ค่ายกลวิญญาณแต่ผู้อมตะต้องทำมันด้วยตัวเอง

 

นี่เป็นส่วนสำคัญที่สุดของการหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ วิญญาณอมตะอื่นๆไม่มีข้อกำหนดดังกล่าว

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นบททดสอบครั้งใหญ่ในการหลอมรวมวิญญาณของผู้อมตะ

 

เพราะผู้อมตะต้องเข้าแทนที่ค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมทันทีและทำขั้นตอนสุดท้ายให้เสร็จสิ้น

 

แต่ผู้อมตะก็ไม่สามารถควบคุมมันอย่างเข้มงวดเกินไป มิฉะนั้นมันจะไม่สำเร็จ

 

กล่าวได้ว่ามันเป็นขั้นตอนการรักษาสมดุลที่แปลกประหลาด

 

ฟางหยวนใช้วิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญาและสามารถแบกรับภาระต่อจากค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

ด้วยความตั้งใจของฟางหยวน แสงสีขาวควบรวมเป็นก้อนแสงทรงกลมโดยมีฟางหยวนอยู่ตรงกลาง

 

หลังจากไม่กี่ลมหายใจ มันก็กลายเป็นวงแหวนแสงสีทองลอยอยู่รอบตัวฟางหยวนอย่างเงียบๆ

 

ผมที่หกกลั้นหายใจและคิดด้วยความตื่นเต้น ‘ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม วงแหวนแสงสวรรค์ ในที่สุดมันก็ก่อตัวขึ้น แต่เราต้องหมุนมันเจ็ดครั้งเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ระดับเจ็ด’

 

การหมุนรอบแรก

 

ฟางหยวนบังคับวงแหวนแสงสีทองให้หมุนวนอย่างช้าๆ

 

การหมุนครั้งนี้ใช้เวลาสิบห้านาที

 

‘รอบแรกสำเร็จแล้ว’ ผมที่หกสูดหายใจลึก

 

การหมุนรอบที่สอง

 

ดวงตาที่ปิดอยู่ของฟางหยวนค่อยๆเปิดขึ้น

 

ภายในดวงตาของเขามีแสงสะท้อนออกมา

 

วงแหวนแสงสีทองเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

 

การหมุนครั้งนี้เร็วกว่าก่อนหน้า

 

มันใช้เวลาเพียงเจ็ดนาที

 

‘รอบที่สองสำเร็จเช่นกัน’ ผมที่หกกำหมัดแน่น

 

การหมุนรอบที่สาม

 

ฟางหยวนหายใจอย่างเกรี้ยวกราด

 

นี่เป็นอีกท่าไม้ตายหนึ่งในการหลอมรวมวิญญาณ

 

ลมหายใจของเขาทำให้วงแหวนแสงสีทองเริ่มหมุน

 

การหมุนครั้งนี้เร็วกว่าเดิม

 

‘รอบที่สามสำเร็จแล้ว’ หัวใจของผมที่หกเต้นเร็วขึ้น

 

การหมุนรอบที่สี่

 

ฟางหยวนพึมพำเบาๆ

 

ภายใต้อิทธิพลจากเสียงของเขา วงแหวนแสงหมุนอย่างรุนแรง

 

ในไม่ช้าการหมุนรอบที่สี่ก็เสร็จสิ้น

 

‘เราผ่านมาครึ่งทางแล้ว แต่หลังจากนี้มันจะยิ่งยากขึ้นเพราะวงแหวนแสงจะหมุนเร็วขึ้น มันไม่ง่ายที่จะควบคุม’ เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของผมที่หก

 

ฟางหยวนไม่ประมาท เขาพักชั่วครู่ก่อนจะใช้ท่าไม้ตายต่อไปเพื่อหมุนวงแหวนแสง

 

การหมุนรอบที่ห้า

 

เขาค่อยๆยกแขนขึ้นราวกับกำลังแบกภูเขาทั้งลูก

 

วงแหวนแสงสีทองเริ่มหมุนแต่ครั้งนี้มันเริ่มลอยขึ้นด้านบน

 

เมื่อลอยขึ้นถึงไหล่ของฟางหยวน มันหยุดอย่างกะทันหัน

 

“โอ้ ไม่!” การแสดงออกของผมที่หกเปลี่ยนไปเมื่อวงแหวนแสงระเบิดตัวเอง

 

“บึม!”

 

การระเบิดครั้งใหญ่ถูกระงับโดยห้องหลอมรวมวิญญาณ

 

แต่ฟางหยวนที่อยู่ตรงกลางได้รับแรงระเบิดอย่างเต็มที่

 

“พรวด!”

 

เขากระอักเลือดคำโตออกมาจากปาก

 

บาดเจ็บสาหัส!

 

วิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า!

 

ฟางหยวนกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะดวงนี้ทันที อย่างไรก็ตามเขายังไม่หายดี อาการบาดเจ็บของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

 

การหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ล้มเหลว

 

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

 

หลายครั้งมาแล้วที่ผมที่หกล้มเหลวระหว่างการหลอมรวมวิญญาณ คราวนี้มันมาถึงขั้นตอนสุดท้าย แต่ฟางหยวนยังล้มเหลวแม้เขาจะลงมือด้วยตนเอง

 

การแสดงออกของฟางหยวนและผมที่หกกลายเป็นน่าเกลียด

 

ฟางหยวนเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเพื่อสิ่งนี้ ก่อนการหลอมรวมวิญญาณ เขาใช้วิธีบนเส้นทางแห่งโชคมากมายแต่สุดท้ายเขายังไม่ประสบความสำเร็จ

 

การหลอมรวมวิญญาณเป็นเช่นนี้ มันไม่ง่ายที่จะประสบความสำเร็จ แม้จะลงทุนมากเพียงใด ความพยายามของพวกเขาก็อาจสูญเปล่า

 

สิ่งสำคัญที่สุดคือภัยพิบัติของฟางหยวนกำลังคืบคลายเข้ามา

 

“น่าเสียดาย” ผมที่หกถอนหายใจ

 

“อย่ากังวล แม้จะไม่มีวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ ข้าก็ยังมั่นใจว่าสามารถก้าวข้าม” ฟางหยวนโบกมือขณะที่จิตใจของเขากลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

 

หลายวันต่อมา ฟางหยวนใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่งเดินทางไปยังสถานที่รกร้างแห่งหนึ่งเพื่อก้าวข้ามภัยพิบัติของเขา

 

เขาวางมิติช่องว่างลง

 

ปราณสวรรค์พิภพไหลเข้าไปราวกับน้ำตก

 

ฉากที่ยิ่งใหญ่นี้ทำให้อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆรู้สึกงุนงง

 

ครั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าภัยพิบัติจะไม่สร้างปัญหาใดๆ ฟางหยวนจึงนำสมาชิกนิกายเงามาด้วย ไป่หนิงปิงอยู่ที่นี่เช่นกันขณะที่เซี่ยเอ๋อถูกทิ้งไว้ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา

 

เซี่ยเอ๋อไม่ได้รับความไว้วางใจจากฟางหยวน สำหรับคนอื่นๆ พวกนางเคยเข้าไปในมิติช่องว่างจักรพรรดิมาแล้ว

 

หากผู้อมตะคนอื่นถูกดึงดูดมาที่นี่และพยายามโจมตีเขา สมาชิกนิกายเงาจะออกมาป้องกันศัตรูเหล่านั้น

 

นั่นคือภัยพิบัติมนุษย์

 

เมื่อฟางหยวนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ เขาจะถูกเฝ้ามองจากเจตจำนงสวรรค์

 

แน่นอนว่าเจตจำนงสวรรค์จะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดฟางหยวน

 

“หากไม่ได้เห็นมันกับตาของตนเอง ผู้ใดจะเชื่อว่ามิติช่องว่างของคนผู้หนึ่งจะดูดกลืนปราณสวรรค์พิภพมากมายถึงระดับนี้ในครั้งเดียว!”

 

“มิติช่องว่างจักรพรรดิ…มันทรงพลังเกินไป ข้าเชื่อว่ากระทั่งผู้อมตะระดับเก้าก็ไม่สามารถสร้างฉากที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้!”

 

กลุ่มผู้อมตะนิกายเงาพูดคุยและยกย่อง

 

ไป่หนิงปิงก่นเสียงเย็น สายตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย

 

นางลอบตกใจอยู่ภายในแต่นางกลับกล่าวอีกอย่าง “พวกเจ้าประเมินผู้อมตะระดับเก้าต่ำเกินไป แม้ข้าจะไม่เคยเห็นมิติช่องว่างระดับเก้าดูดซับปราณสวรรค์พิภพ แต่หลังจากได้รับมรดกที่แท้จริงไป่เซียง ข้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดูดซับปราณสวรรค์พิภพของเขา มันสามารถสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ได้เช่นกัน”

 

อิงอู๋เซี่ยมองไป่หนิงปิง “ไป่เซียงเป็นผู้อมตะระดับแปด เขามีถ้ำสวรรค์ระดับแปด แต่ตอนนี้ฟางหยวนยังเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เขาครอบครองแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดเท่านั้น ทั้งสองไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นมิติช่องว่างจักรพรรดิก็ใหญ่โตเกินไป มีหลายจุดที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ศักยภาพของมันไม่สามารถจินตนาการถึง ในทางตรงข้าม ถ้ำสวรรค์ไป่เซียงถูกเติมเต็มแล้วในเวลานั้น ทรัพยากรเหล่านั้นต้องใช้ปราณสวรรค์พิภพจำนวนมาก”

 

ไป่หนิงปิงเงียบ

 

“อู๋เซี่ยกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” เทพธิดาเมี่ยวหยินหัวเราะ

 

ผู้อมตะคนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วย

 

หลังจากมิติช่องว่างจักรพรรดิดูดซับปราณสวรรค์พิภพเรียบร้อยแล้ว ภัยพิบัติก็เริ่มก่อตัวขึ้นในสวรรค์สีแดงน้อย

 

ร่างหลักของฟางหยวนอยู่ที่นี่ ดังนั้นภัยพิบัติจึงมุ่งเป้ามาที่เขา

 

เหตุผลที่เขาเลือกสวรรค์สีแดงน้อยเพราะที่นี่ว่างเปล่า มันไร้ทรัพยากรใดๆ

 

หากเขาเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ภาคเหนือน้อยหรือภาคใต้น้อย ภัยพิบัติจะทำลายทรัพยากรของเขา

 

“มิติช่องว่างจักรพรรดิใหญ่โตเกินไปจริงๆ หากพวกเราพบภัยพิบัติ พวกเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสีย แต่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ ภัยพิบัติไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของมัน” ไห่ลั่วหลันถอนหายใจกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม

 

“นิกายเงาของข้ารวบรวมทรัพยากรมาเป็นเวลานับแสนปีเพื่อหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะ แน่นอนว่ามันย่อมไม่ธรรมดา” อิงอู๋เซี่ยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

 

“น่าเสียดายที่มันถูกฟางหยวนฉกชิงไปแล้ว” ไป่หนิงปิงเย้ยหยัน นี่ทำให้อิงอู๋เซี่ยมองนางด้วยความโกรธ

 

“อันใด? ข้ากล่าวสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ?” ไป่หนิงปิงมองอิงอู๋เซี่ยอย่างไม่หวาดกลัว

 

อิงอู๋เซี่ยสูดหายใจลึก เขาหันหน้ากลับไป “มันถูกใช้โดยท่านฟางหยวน ตอนนี้เขาเป็นผู้นำของนิกายเงา เราอยู่บนเรือลำเดียวกัน”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ไป่หนิงปิงหัวเราะเย้ยหยัน

 

อิงอู๋เซี่ยเพิกเฉยและมองไปยังภัยพิบัติที่กำลังก่อตัวขึ้น

 

หมอกพิษหนาทึบห้าสีเริ่มปรากฏขึ้น

 

“นี่คือภัยพิบัติบนเส้นทางแห่งพิษ” เทพธิดากระต่ายขาวกล่าว

 

“พิษทั้งห้า!” อิงอู๋เซี่ยมีความรู้มากกว่า

 

หมอกพิษห้าสีก่อตัวเป็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ห้าตัวได้แก่ อสรพิษ แมงป่อง แมงมุม คางคก และตะขาบ

 

สัตว์อสูรทั้งห้าปิดล้อมฟางหยวนเอาไว้แต่พวกมันยังไม่โจมตี เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายของพวกมันก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ

 

“เหตุใดฟางหยวนยังไม่โจมตี?” ไป่หนิงปิงขมวดคิ้ว

 

ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะโจมตี หากปล่อยเวลาผ่านไป สัตว์อสูรเหล่านี้จะแข็งแกร่งขึ้น

 

แต่กลยุทธ์ของฟางหยวนแตกต่างจากความคิดของคนทั่วไป

 

เขารอกระทั่งสัตว์อสูรเหล่านี้เติบโตเต็มที่

 

ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆต้องกลั้นหายใจ ภัยพิบัตินี้รุ่นแรงจนพวกเขารู้สึกตกตะลึง

 

นี่ไม่ใช่ภัยพิบัติของผู้อมตะระดับเจ็ดทั่วไป แต่มันถูกเสริมความแข็งแกร่งด้วยความต้องการของเจตจำนงสวรรค์

 

“เพียงเท่านี้?” ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นขณะที่เขาหายตัวไปจากจุดนั้น

 

“บึม บึม บึม…”

 

วินาทีต่อมาเสียงระเบิดก็ดังขึ้น

 

ดวงตาของไป่หนิงปิงและคนอื่นๆเบิกกว้างขึ้นขณะที่ฟางหยวนอาละวาดอยู่ในสนามรบ สัตว์อสูรทั้งห้าถูกกำหราบโดยฟางหยวนในครั้งเดียว

 

ไม่นานหมอกพิษก็จางหายไป เหลือเพียงฟางหยวนที่ยืนอยู่ในสนามรบราวกับเทพปีศาจ

 

เขากวาดตามองไปรอบๆและพึมพำ “ภัยพิบัติระดับเจ็ด…อ่อนแอเกินไป”