ราชันเร้นลับ 540 : ยับยั้ง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 540 : ยับยั้ง โดย Ink Stone_Fantasy

แม้จะพ้นจากห้องใต้ดินของคฤหาสน์ตระกูลโอดรามาแล้ว แต่เอ็มลินไวท์ยังไม่หายจากอาการมึนงง โดยยังทำใจเชื่อไม่ลงว่าตนเพิ่งได้รับเงินเจ็ดพันปอนด์มาอย่างง่ายดาย

กระดาษเช็คเงินสดในมือ อาจบางเบาจนแทบไม่มีน้ำหนัก แต่กลับเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันให้เอ็มลินมั่นใจว่า ตนไม่ได้กำลังฝันไป

แผนของมิสเตอร์แฮงแมนได้ผล… ลอร์ดนีบาสมิได้เปิดโปงหรือลงโทษเรา แต่กลับตกรางวัลก้อนโตตอบแทน… แถมยังทำเป็นไม่ทราบว่าเราแอบติดต่อกับเดอะฟูล แสร้งตีหน้าซื่อคอยห่วงใย เพื่อที่ตัวเองจะได้แอบจับตามองจากในเงามืด… เบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือดช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก…

เอ็มลินใคร่ครวญสักพักก่อนถอนหายใจ

เพียงไม่นาน มันหันกลับมาสนใจในประเด็นอื่นที่สำคัญกว่า นั่นคือเงินรางวัลจำนวนเจ็ดพันปอนด์!

“ด้วยเจ้านี่ เราสามารถซื้อมรดกของบารอนผีดูดเลือดจากแฮงแมน จากนั้นก็ปรุงเป็นโอสถดื่ม เรากำลังจะได้เป็นบารอน… ลอร์ดเอ็มลิน·ไวท์ บารอนผีดูดเลือด!”

ดวงตาเอ็มลินกำลังกระจ่างใส จังหวะย่ำเท้าเป็นไปอย่างผ่อนคลาย

ในโลกของผีดูดเลือด หากไม่ได้รับมรดกจากอาวุโสผ่านพิธีกรรมเฉพาะเจาะจง ลำดับพลังของผีดูดเลือดทุกตนจะเทียบเท่ากับขณะแรกเกิด แทบไม่มีทางเพิ่มลำดับได้ด้วยอายุขัย

สำหรับผีดูดเลือดในวัยเดียวกันกับเอ็มลิน หากไม่นับกรณีของผู้โชคดี มีคนในครอบครัวใกล้ถึงอายุขัยและได้รับการส่งต่อพลังผ่านพิธีกรรม เกือบทั้งหมดจะยังอยู่เพียงระดับ ‘โตเต็มวัย’ ไม่มีโอกาสกลายเป็น ‘ขุนนาง’ ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

พ่อและแม่ของเอ็มลินก็มีชีวิตอยู่มานาน แต่จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เป็นบารอน และมองไม่เห็นโอกาสเลยสักนิด!

ขณะย่างกรายออกจากประตูคฤหาสน์ ผีดูดเลือดหนุ่ม เอ็มลิน·ไวท์ แอบชำเลืองคาซีมี·โอดราด้านข้างด้วยหางตา

ผีดูดเลือดเก่าแก่ที่เคยดำรงชีวิตอยู่ในยุคสมัยโรซายล์ ปัจจุบันก็ยังเป็นเพียงบารอน… และเรากำลังจะก้าวไปอยู่ในจุดเดียวกัน!

วันดีคืนดี เราจะกลายเป็นมาร์ควิสผีดูดเลือดเหมือนกับลอร์ดนีบาส! ไม่สิ ต้องไปให้ถึงดยุคหรือไม่ก็เจ้าชาย! การจะเป็นผู้กอบกู้ของตระกูล มีแต่ต้องไขว่คว้าสิ่งนั้นให้ได้…

อา… มรดกบารอนมีราคาเกินกว่าสี่พันปอนด์เล็กน้อย ยังเหลือเงินอีกมากสำหรับซื้อตุ๊กตาเข้าบ้านเพิ่ม แถมยังเหลือพอจะซื้อชุดใหม่ให้พวกหล่อน…

เอ็มลินเหยียดตัวตรงโดยไม่ได้ตั้งใจ สองเท้าก้าวเดินด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์

เดอร์ริคจุดเทียนไข เตรียมตัวประกอบพิธีกรรมสังเวย

สายฟ้าด้านนอกผ่าสลับหยุดหลายหน จนกระทั่งเด็กหนุ่มสบโอกาสเหมาะ

มันมั่นใจมากว่า ในปัจจุบัน ‘ท่านประมุข’ ไม่สามารถจับตามองตนได้ เนื่องจากเพิ่งเดินทางออกไปพร้อมกับ ‘แจ็ค’ เด็กชายตัวเล็กที่ร่างกายพื้นฟูขึ้นจากตอนแรกพอสมควร และมีทีมสำรวจติดตามไปด้วยอีกจำนวนหนึ่ง เป้าหมายหลักคือการค้นหาสิ่งที่เรียกว่าชายฝั่งทะเล โดยจะเริ่มต้นจากซากปรักหักพังของเมืองก่อนหน้า

เดอร์ริคตั้งแท่นบูชาอย่างคล่องแคล่ว เอ่ยพระนามเต็มอันสูงส่งของมิสเตอร์ฟูลด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ ใบหน้าเปี่ยมศรัทธาและยำเกรง

เด็กหนุ่มลงมือช่ำชอง สังเวยวัตถุดิบวิเศษแก่ผู้ปกครองห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอย่างเป็นระเบียบแบบแผน เริ่มจากถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณ ตามด้วยวัตถุดิบวิเศษในรายการของแฮงแมน

กำแพงสูงตระหง่านของเมืองเงินพิสุทธิ์เต็มไปด้วยรอยแตก แต่ก็ถูกถมจนแน่นด้วยดินแข็งสีดำ ตามผิวดินมีวัชพืชกระจุกตัว คอยโยกเอนไปตามลมคล้ายเส้นผมของมนุษย์

ทันใดนั้น พวกมันผงาดขึ้นในลักษณะคล้ายกับต้องการจับคว้าบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็หดกลับไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

เช้าตรู่ ณ มหาวิหารคลื่นสมุทร

อัลเจอร์·วิลสัน ผู้เดินทางรับเงินค่าหัวของเหล็กกล้ากับพุ่มหนามสีเลือด กำลังยืนฟังข่าวสำคัญจากปากโชโกรี บิชอปประจำมุขมณฑลบายัม

เลติเซีย·โดเรล่าจากนิกายมอสส์ได้ปลอมตัวเป็นนักโบราณคดี ลอบแทรกซึมเข้าไปในป่าลึกบนเกาะไซมีม ไม่มีใครทราบว่าเธอทำอะไรลงไป แต่ส่งผลให้ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า ใกล้อาละวาดอย่างเสียสติเต็มที โดยกำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อรักษาเสถียรภาพร่างกายเอาไว้

กล่าวกันว่า วิญญาณมารผู้เรียกตัวเองว่า ‘เทพสมุทร’ ได้ปกครองเกาะแห่งนี้มานาน จนกระทั่งหมู่เกาะรอสต์ถูกค้นพบ คาเวทูว่าจึงถูกพระคาร์ดินัลสองคนของกองทัพโค่นล้มด้วยพลังสมบัติปิดผนึกบางชิ้น ส่งผลให้ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน อาจรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด แต่ต้องก็ซ่อนตัวมาตลอดนับจากนั้น

เรื่องราวข้างต้นขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน และไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกเลยจวบจนปัจจุบัน แล้วทำไมจู่ๆ เทพสมุทรถึงได้ขาดเสถียรภาพจนแทบครองสติไว้ไม่อยู่เช่นนี้?

อัลเจอร์ขมวดคิ้ว และพยายามมองหาปัจจัยที่แตกต่างจากเดิมในช่วงหลัง

“ฝีมือนิกายมอสส์? แล้วพวกมันมัวทำอะไรอยู่ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา? หรือจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการใหญ่ในอนาคตอันใกล้?”

ท่ามกลางความเคลือบแคลงและคาใจ อัลเจอร์พลันฉุกคิดได้อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ

ความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างปัจจุบันและกว่าร้อยปีก่อนก็คือ…

การมาเยือนเมืองบายัมของเดอะเวิร์ล!

ข้ารับใช้ของเดอะฟูลย่างกรายเข้ามาในเขตหมู่เกาะรอสต์!

ไม่ว่าจะไปยังที่ใด แต่ปลายทางจะต้องมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น หรือไม่ก็กำลังคุกรุ่นตลอดเลยหรือ? ไล่จากโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ความเปลี่ยนแปลงของท่าเรือแบนชี และปัจจุบันคือการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของเทพสมุทร·คาเวทูว่า รวมถึงเป้าหมายอันคลุมเครือของนิกายมอสส์…

ไม่สิ ระบุให้ชัดก็คือ ที่ใดใกล้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ ที่นั่นจะมีข้ารับใช้ของเดอะฟูลอยู่ด้วย… พวกเขารับบัญชาจากมิสเตอร์ฟูล แกะรอยพฤติกรรมขององค์กรลับและเทวทูตมาร!

หลังจากไตร่ตรอง อัลเจอร์เริ่มเข้าใจความเป็นไปของเหตุการณ์ คล้ายกับตนมองเห็นความจริงเบื้องหลังอย่างทะลุปรุโปร่ง

ไม่ใช่ทุกที่ที่เดอะเวิร์ลไปเยือนจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ แต่เป็นเพราะจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น เดอะเวิร์ลและข้ารับใช้คนอื่นจึงต้องไปเยือน!

เหตุการณ์คราวนี้เป็นประโยชน์ต่อมิสเตอร์ฟูลในด้านใดบ้าง… ท่านหวังทำลายขั้วอำนาจฝั่งตรงข้าม หรือหวังปลดพันธนาการบางส่วนของตนเองออก?

อัลเจอร์อดกลั้นความสงสัย และฉวยโอกาสสำคัญรายงานข้อมูลลับ

มันกำหมัดขวาทุบอกซ้าย สีหน้าเผยความลังเลชัดเจน :

“ท่านเจ้าคุณโชโกรี ระหว่างตามแกะรอยกลุ่มโจรสลัดที่เหลือของ ‘เหล็กกล้า’ ผมบังเอิญได้ยินข้อมูลสำคัญเข้า”

“ว่ามา” โชโกรีเตรียมสั่งให้กัปตันเรือยศบิชอปรายนี้ออกทะเลเพื่อตามหาร่องรอยของ ‘กลุ่มต่อต้าน’ แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายขัดจังหวะโดยอ้างเหตุรายงานข่าว สีหน้าของมันจึงฉุนเฉียวเล็กน้อย

อัลเจอร์ ‘นึกทบทวน’ ก่อนจะเล่า

“มีใครบางคนเอ่ยถึงท่าเรือแบนชีกลางวงสนทนา โดยระบุว่า แม้ที่นั่นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ตระกูลเมดีซีกลับยังคงซ่อนตัวอย่างลอยนวล ไม่มีใครหาพบ”

ท่าเรือแบนชี… การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่..

โชโกรีเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวและซักถาม

“มันพูดอะไรอีก”

“เขาบอกว่า บิชอปบนเกาะแบนชีถูกกัดกร่อนจนเสื่อมทราม นอกจากนั้นก็หมดแล้วครับ… ท่านเจ้าคุณโชโกรี ตระกูลเมดีซีคือขุนนางจากยุคสมัยที่สี่ไม่ใช่หรือ?” อัลเจอร์แสร้งไร้เดียงสา

สีหน้าโชโกรีเริ่มอึมครึม

“สำหรับเรื่องนั้น คุณยังไม่ควรรับรู้ ผมจะรีบรายงานให้ท่านเจ้าคุณค็อตแมนทราบทันที”

บุคคลดังกล่าวคือพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองโลกผู้วิเศษประจำเขตน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ทั้งหมด แยนน์·ค็อตแมน

โชโกรีครุ่นคิดสักพัก ก่อนซักถาม

“ใครเป็นคนเล่าเรื่องนี้ ลักษณะหน้าตาของมันเป็นอย่างไร”

อัลเจอร์เตรียมพร้อมแล้ว

“ผมไม่รู้จักอีกฝ่าย และชายคนนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย ผู้เล่าเบาะแสของท่าเรือแบนชีและตระกูลเมดีซีเป็นเด็กหนุ่มใบหน้าธรรมดา คางเรียวแหลม หน้าผากกว้าง ดวงตาสีดำ เส้นผมสีดำสนิท สวมแว่นตาคริสตัลขาเดียว เมื่อทราบว่าผมแอบฟัง นอกจากจะไม่โกรธ เขาเพียงหันกลับมายิ้มให้”

ที่อัลเจอร์กำลังอธิบายคือรูปลักษณะของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!

มันต้องการให้พระคาร์ดินัลเข้าใจว่า การจงใจเปิดเผยความลับของตระกูลเมดีซีและท่าเรือแบนชี มีต้นเหตุมาจากความบาดหมางระหว่างราชาเทวทูต!

ไม่มีใครเหมาะจะเป็นแพะรับบาปมากกว่านี้แล้ว… ท่านคงไม่ออกมาอธิบายความจริงแน่ หรือต่อให้ทำก็คงไม่มีใครเชื่อ… การทำนายถึงอามุนด์ทุกชนิดคงไม่เกิดผล… ส่วนการทำนายถึงเรา ย่อมเกี่ยวพันกับมิสเตอร์ฟูล และผู้ทำนายคงไม่ได้ผลลัพธ์ใดเช่นกัน มีค่าเทียบเท่าการทำนายถึงอามุนด์โดยตรง…

อัลเจอร์ครุ่นคิดอย่างผ่อนคลาย

โชโกรีพยักหน้ารับ

“พยายามมองหาชายคนนั้นไว้ และอย่าลืมออกไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านให้ผม”

“ขอรับ เจ้าคุณท่านโชโกรี!” อัลเจอร์ขานรับด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา กำปั้นขวาทุบหน้าอกซ้ายเสียงดัง

เมฆดำลอยสูง ท้องฟ้าด้านบนมืดสนิท สายฝนกระหน่ำโปรยปรายเปาะแปะ สาดกระเซ็นพร้อมกับเกิดหมอกสีขาว

ณ ท่าเรือบายัม ระดับน้ำลอยสูงขึ้นทีละนิดมั่นคง เรือสินค้าและเรือโดยสารทุกลำออกอาการโคลงเคลง คล้ายกับใบไม้ปลิวลอยไปกลางอากาศ

ผ่านไปพักใหญ่ สายฝนยังคงสาดเทประหนึ่งฟ้ารั่ว ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจนชิดขอบทำนบกั้น ภายในเมืองเกิดแอ่งน้ำขังจำนวนมาก สภาพอากาศเป็นไปอย่างหดหู่

กลุ่มชนพื้นเมืองผู้มีใบหน้าคลั่งไคล้เจือความล่องลอย สวมเสื้อยืดทาลาบา แจ็คเก็ตเก่าโทรม ต่างกระจุกตัวริมหน้าผาหรือริมทำนบกั้นน้ำ ก่อนจะกระโดดลงทะเลไปทีละคนสองคน

ผิวหนังของพวกมันขาดความชุ่มชื้นอย่างฉับพลัน และเมื่อจมลงทะเล ร่างกายได้เปลี่ยนเป็นมัมมี่แห้งกรังโดยสมบูรณ์

ชนพื้นเมืองบางส่วนแหกปากพลางโผเข้ากอดทหารเรือที่เดินออกจากค่าย จากนั้นก็ใช้ฟันกัดกินเลือดเนื้ออีกฝ่ายจนถึงแก่ความตาย เกิดเป็นความโกลาหลวุ่นวายไปทั่วทุกหัวระแหง

โครม!

ตู้ม!

ทำนบกั้นน้ำพังทลาย กระแสน้ำทะเลปริมาณมหาศาลซัดเข้าโถมใส่บายัม

ไคลน์ลืมตาตื่น ความฝันเมื่อครู่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในความทรงจำอย่างแจ่มชัด

ในฐานะนักทำนาย นี่คือสัญลักษณ์ของเหตุการณ์บางอย่างในอนาคต!

ไคลน์ลุกจากเตียง เดินออกจากห้องนอน และพบ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสกำลังยืนริมหน้าต่าง สายตาจ้องมองออกไปด้านนอก

ชายหนุ่มเห็นเมฆความกดอากาศต่ำกำลังสาดสายฝนลงมาด้านล่างอย่างไม่หยุดพักจนเมืองบายัมเปียกปอน

สัญญาณเริ่มขึ้นแล้ว…

ไคลน์เดินมายืนข้างเดนิส มองออกไปเห็นสภาพอากาศสุดปั่นป่วนภายนอกอาคาร โสตประสาทได้ยินเสียงคลื่นทะเลเจือจาง

ทันใดนั้น ท่ามกลางบรรยากาศค่อนข้างเงียบ เสียงฟ้าผ่าประหนึ่งระฆังสวรรค์ก้องกังวาน เมฆสีตะกั่วด้านบนเกิดระเบิดจนกระจายไปรอบทิศ สายฝนหยุดลงทันทีเมื่อขาดแหล่งกำเนิด เขตท่าเรือบายัมกลับคืนสู่ความปรกติภายในพริบตา

ในช่วงเช้าของวันใหม่ บายัมกำลังถูกฉาบด้วยแสงแดดอบอุ่นและสดใส

เดนิสส่ายหน้า พลางรำพันกับตัวเอง

“หืม… เมื่อเทพสมุทร·คาเวทูว่าไม่พบวิธียื้อชีวิตตัวเอง จึงละทิ้งความพยายามและกลายเป็นสัตว์ประหลาดเสียสติโดยสมบูรณ์… มันหวังเสกพายุฝนและสึนามิ เพื่อคร่าทุกชีวิตบนหมู่เกาะรอสต์ให้สิ้นซาก? ขณะเดียวกัน สาวกของมันมีพฤติกรรมประหลาด… โชคดีว่าเราแจ้งข่าวให้โบสถ์วายุสลาตันทราบล่วงหน้า ทางนั้นคงพอจะมีวิธีรับมือ… ไม่สิ ถึงเราจะไม่แจ้ง แต่เส้นทางเชี่ยวชาญน้ำทะเลและลมฝนอย่างวายุสลาตัน ย่อมสัมผัสถึงความผิดปรกติได้ก่อนใคร และรับมือในแบบฉบับตัวเอง… แยนน์·ค็อตแมนเปลี่ยนสภาพอากาศ”

แยนน์·ค็อตแมน… พระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน? ชายคนนั้นสามารถยับยั้งพลังของคาเวทูว่าได้ง่ายดายเพียงนี้เชียว?

ไคลน์มองออกไปพลางครุ่นคิด

เดนิสยังคงพล่าม

“ฉันเคยกังวล ฮะฮะ! กลัวว่าเทพสมุทรจะสร้างหายนะแก่บายัม… จนกระทั่งแยนน์·ค็อตแมนปรากฏตัว”

มันมิได้พูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพียงพึมพำคนเดียวเรื่อยเปื่อย

“ถ้าเป็นใจกลางทะเล แม้แต่ ‘ราชาห้าห้วงสมุทร’ และ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ ก็เอาชนะชายคนนั้นไม่ได้ กัปตันเคยเล่าว่า แยนน์·ค็อตแมนคือครึ่งเทพในลำดับ 3… ชื่อของโอสถก็คือ… เจ้าสมุทร”

……………………