ราชันเร้นลับ 541 : ผู้มาเยือน โดย Ink Stone_Fantasy
เจ้าสมุทร… หลังจากได้ยินชื่อโอสถของแยนน์·ค็อตแมนเป็นครั้งแรก ไคลน์หวนนึกถึงพระนามเต็มของเทพวายุสลาตัน
“ราชันแห่งผืนนภา จักรพรรดิแห่งท้องทะเล เจ้าชายแห่งภัยพิบัติ เทพแห่งวายุ”
ลำดับ 3 มีนามว่าเจ้าสมุทร… ลำดับ 0 ถูกขนานนามว่าจักรพรรดิแห่งท้องทะเล นับว่ายังสอดคล้องกันอยู่… น่าเสียดาย เรายังไม่ทราบชื่อจริงของลำดับ 0 แห่งเส้นทางวายุ…
ไคลน์มองไปนอกหน้าต่าง แม้บรรยากาศจะยังคงขมุกขมัว แต่แสงรุ่งอรุณได้สาดส่องลงมาปกคลุมทุกสิ่ง คลื่นทะเลลดระดับกลับเป็นปรกติ สายฝนหยุดโปรยปรายโดยสมบูรณ์
ชายหนุ่มดึงสติกลับ พยายามไตร่ตรองข้อมูลจากปากเดนิส
ในเมื่อชื่อของโอสถคือ ‘เจ้าสมุทร’ หมายความว่าครึ่งเทพลำดับ 3 นักบุญ ต้องสวมบทบาทเป็น ‘เจ้าสมุทร’ ตัวจริง…
การแผลงฤทธิ์เมื่อครู่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว…
ในฐานะ ‘เจ้าสมุทร’ แม้จะมีขอบเขตแสดงฝีมือจำกัด แต่ถ้าสังเวียนเป็นน่านน้ำในการปกครอง คงไม่มีใครในลำดับเดียวกันสามารถเอาชนะได้… การเดินเล่นใต้ทะเลลึกจะไม่ต่างอะไรกับจ๊อกกิ้ง มีพลังเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เรียกลมฝน เสกสึนามิ และปกครองสัตว์ทะเลในดินแดนของตน… ถึงจะเป็นครึ่งเทพระดับนักบุญเหมือนกัน ก็แทบไม่มีใครงัดข้อด้วยไหว…
หืม… ทั้ง ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ และ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ ก็คงอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ถ้าจะถามหาความแตกต่าง ก็คงเป็นความคืบหน้าในการย่อยโอสถกระมัง…
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะย่อยโอสถได้มากกว่าใคร แต่ถ้าสังเวียนเป็นมหาสมุทร ทั้งสองก็คงเอาชนะ ‘เจ้าสมุทร’ ไม่ได้…
เมื่อประเมินจากพลังเหนือธรรมชาติสุดตระการตาของเจ้าสมุทร หากเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยเห็นเทพสุริยันเจิดจรัส พระผู้สร้างแท้จริง และเทพตนอื่นด้วยตาตัวเองมาก่อน ก็คงปักใจเชื่อว่า ‘เจ้าสมุทร’ คือเทพ จนถึงขั้นศรัทธาและเอาแต่สวดภาวนาอย่างคลั่งไคล้…
เราพอจะเข้าใจหัวอกพวกเขา…
บางที ชนพื้นเมืองอื่น ๆ ทั่วโลกก็คงมีลักษณะไม่ต่างกัน มอบความศรัทธาและกราบไหว้ผู้วิเศษลำดับ 3 โดยเข้าใจผิดว่าเป็นเทพ ทั้งที่ระดับยังไม่ถึงเทวทูตด้วยซ้ำ…
หืม… ดูเหมือนวลี ‘ห้ามจ้องมองเทพ’ จะหมายถึงเทพแท้จริงเท่านั้น เพราะเราไม่ได้รับความรู้สึกดังกล่าวจาก ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า รวมถึงในกรณีร่างแบ่งภาคของอามุนด์…สำหรับปัจจุบัน เรายังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ตัวตนระดับราชาเทวทูตจะมีคุณสมบัติ ‘ห้ามจ้องมอง’ เหมือนกันหรือไม่…
สำหรับศึกนี้ ฝ่ายหนึ่งใกล้สูญเสียเสถียรภาพ และเป็นเพียงลำดับ 3 ที่เรียกตัวเองว่าเทพสมุทร ส่วนอีกฝ่ายคือ ‘เจ้าสมุทร’ ลำดับ 3 ผู้อยู่ในสภาพสมบูรณ์สุดขีด แถมยังมีความช่วยเหลือจากสมบัติปิดผนึก เดาได้ไม่ยากเลยว่าใครจะได้รับชัยชนะ…
แยนน์·ค็อตแมนเก่งกาจพอจะยับยั้งการอาละวาดของคาเวทูว่าได้ทุกครั้ง คงไม่ปล่อยให้ ‘เกาะภูเขาคราม’ และเมืองโดยรอบจมลงใต้ทะเล…
จากนั้นก็รออีกสักสามวัน ให้การอาละวาดครั้งสุดท้ายของคาเวทูว่าจบลง วิญญาณของ ‘เทพสมุทร’ ก็จะสลายไปโดยสมบูรณ์ และเหตุการณ์ความวุ่นวายก็จะจบลงอย่างราบรื่น นี่คือวิธีที่ง่ายและได้ผลลัพธ์ แถมยังไม่สร้างความแตกตื่นให้กับชาวเมือง บางที คนธรรมดาส่วนใหญ่อาจไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติด้วยซ้ำ…
แต่ปัญหาของแผนคือ จะต้องไม่ถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอกโดยเด็ดขาด ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่านักโบราณคดี·เลติเซีย กระทำสิ่งใดลงไปบนเกาะไซมีมบ้าง… จะมองข้ามประเด็นนี้ไปไม่ได้ เพราะเธอคือบุคคลแรกที่ทำให้เทพสมุทรสูญเสียเสถียรภาพ…
สรุปโดยสั้น อาจมีปัจจัยเหนือความคาดหมายจาก ‘นิกายมอสส์’ หรือ ‘แก่นรุ่งอรุณ’ ตามมาในภายหลัง และนั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ถ้าไม่รีบจัดการ…
อย่างไรก็ตาม ทั้งศาลากลางเมืองและค่ายทหารในบายัม คงมีบุคคลระดับครึ่งเทพของกองทัพแฝงตัวประจำการอยู่แล้ว นี่คือระเบียบของดินแดนอาณานิคมที่เหมือนกันทุกเกาะบนทะเลโซเนีย… เหตุการณ์คงไม่ลงเอยในทิศทางเลวร้ายมากนัก…
แต่ยังมีสาวกผู้คลั่งไคล้เทพสมุทรเหลืออยู่อีกมาก หากคาเวทูว่าอาละวาดอย่างสิ้นสติยิ่งกว่าเดิม คนเหล่านั้นคงแห่สังเวยชีวิตตัวเองโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่ตามมา เหมือนกับฟางข้าวขณะชาวนาเก็บเกี่ยว ล้มระเนระนาดทีละต้นสองต้น…
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของโบสถ์วายุสลาตัน เหตุการณ์ข้างต้นก็ไม่แย่นัก ค่อนข้างดีด้วยซ้ำถ้าสาวกเดนตายจะสังเวยชีวิตตัวเองให้กับเทพที่ตนศรัทธา…ทางโบสถ์จะได้ไม่เสียเวลาคัดกรองคนให้เหนื่อย ส่วนสาวกที่ยังไม่ถลำลึกมาก ก็ยังพอจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงความเชื่อได้อยู่…
ข้อเสียเดียวในเหตุการณ์นี้คือ เกาะรอสต์จะขาดแคลนพลเมืองและแรงงานไปอีกพักใหญ่ จริงอยู่ อาจฟังดูเป็นปัญหาร้ายแรง แต่ก็สามารถกัดฟันอดทนให้ผ่านไป และปล่อยเวลาเยียวยาปัญหาด้วยตัวเอง…
ดังนั้น แยนน์·ค็อตแมน เจ้าสมุทรแห่งโบสถ์วายุสลาตัน คงไม่ทำอะไรมากไปกว่าการคอย ‘ยับยั้ง’ ภัยพิบัติจากคาเวทูว่าไปเรื่อยๆ จนอีกฝ่ายสิ้นลม…
เฮ่อ… ในย่านชนพื้นเมืองแสนแออัด จะมีผู้คนล้มตายไปมากมายแค่ไหน…
ขณะกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ ห้วงความคิดไคลน์ถูกรบกวนด้วยเสียงฝีเท้าอันเป็นระเบียบและเสียงคำรามจากท้องฟ้า
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ และได้เห็นเรือบินติดปืนกลหนักหลายลำ กำลังกระจายทั่วน่านฟ้าเหนือท่าเรือบายัมบดบังแสงแดดจนมีบรรยากาศมืดครึ้ม
สำหรับถนนด้านล่าง ทหารของโลเอ็นในเครื่องแบบสีแดง กางเกงขายาวสีขาว และรองเท้าบูตหนังสีดำ กำลังยาตราทัพอย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับลากปืนใหญ่เรียงต่อกันกระบอกแล้วกระบอกเล่า
บรรยากาศตึงเครียดและอึมครึมเริ่มกระจายตัวไปทั่วเมือง
นี่สินะ เกาะอาณานิคม…
ห้วงความรู้สึกไคลน์บังเกิดอารมณ์อันยากจะอธิบายเป็นคำพูด ชายหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าสลดหดหู่
“ถึงจะไม่รู้ว่าโบสถ์วายุสลาตันต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการฆ่างูทะเลตัวนั้นและค้นหาแหล่งกบดานจนพบ แต่รังของมันจะต้องมีสมบัติมูลค่ามหาศาลซ่อนอยู่แน่…” เดนิสนักล่าสมบัติ กล่าวด้วยน้ำเสียงคาดหวังเจือความเสียดาย
ท่าทีเดนิสเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเคยเรียกเทพสมุทร ปัจจุบันเหลือเพียง ‘งูทะเล’ และสรรพนามได้กลายเป็น ‘มัน’ อย่างไม่กระดากปาก
แทบไม่ต้องทำอะไรเลย…แค่คอยยับยั้งภัยพิบัติไปเรื่อยๆ รอสักสองสามวัน คาเวทูว่าก็จะร่วงหล่นไปเอง… แต่คนของโบสถ์วายุอาจไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น โดยเฉพาะหลังจากได้ทราบว่าแยนน์·ค็อตแมนเป็นอาวุโสใหญ่ฝั่งทูตพิพากษา มิใช่สายนักบวชโดยตรง แต่รับตำแหน่งพระคาร์ดินัลเพียงเพราะต้องการอำนาจ… ความหุนหันของชายคนนั้นคงไม่แตกต่างจากทูตพิพากษาสักเท่าไร…
คาเวทูว่าซ่อนตัวที่ไหนกันแน่…
เศษเสี้ยววิญญาณของมันได้ผสานเข้ากับโลกวิญญาณจนเกือบสมบูรณ์ การตามหาคงไม่ง่ายนัก ไม่อย่างนั้นคงไม่รอดชีวิตมาได้หลายปีจนถึงปัจจุบัน…
มาถึงจุดนี้ ไคลน์ผุดแนวคิดใหม่
จริงอยู่ การตามหาจุดซ่อนตัวของคาเวทูว่าบนโลกวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องเริ่มสืบจากโลกความจริง ต่อให้อีกฝ่ายตายไปแล้ว แต่กว่าจะหาพบก็คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี นอกเสียจากจะได้รับข้อมูลที่แม่นยำ
แต่ถ้าเริ่มหาจากโลกวิญญาณล่ะ…
ในทางทฤษฎี การค้นหาตำแหน่งบนโลกวิญญาณอาจทำได้ยากกว่าบนโลกจริง แต่จะเป็นคนละเรื่องทันทีหากใช้เทคนิค ‘ล็อกเป้า’ เหมือนกับที่อสรพิษปรอท วิล·อัสติน เคยล็อกเป้าความฝันนายแพทย์อลันด้วยนกกระเรียนกระดาษ…
ถ้าจะถามว่าทำแบบนั้นยังไง เราเองก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ไม่น่าเป็นกังวลสักเท่าไร สามารถเขียนจดหมายถามมิสเตอร์อะซิกได้ทุกเมื่อ ชายคนนั้นมีพลังในขอบเขตมรณา เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณอย่างลึกซึ้ง…
โลกแห่งความตาย หรืออีกชื่อหนึ่งคือโลกหลังความตาย ถูกสร้างโดยฝีมือเทพมรณาบรรพกาล เกรจารี ต้นตระกูลฟีนิกซ์…
เมื่อชุดความคิดดังกล่าวแล่นเข้ามาในหัว ไคลน์ควักนกหวีดทองแดงออกมาเป่าทันที
ชายหนุ่มเชื่อว่า ไม่ว่าตนจะแอบเป่าในห้องนอนหรือห้องน้ำ แต่ร่างกายอันใหญ่โตของผู้ส่งสารก็จะถูกพบโดยสัมผัสวิญญาณของเดนิสได้อยู่ดี จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องทำตัวหลบซ่อน
เดนิส ผู้กำลังจินตนาการภาพสมบัติกองโตในรังของเทพสมุทร·คาเวทูว่า พลันสัมผัสถึงบรรยากาศเย็นเฉียบรอบลำคอ
เมื่อพบความไม่ปรกติ มันรีบเปิดเนตรวิญญาณและหันหลังกลับ และได้พบกับน้ำพุกระดูกสีขาวผุดขึ้นจากพื้นห้อง ก่อตัวเป็นโครงกระดูกร่างยักษ์ซึ่งศีรษะสูงทะลุผ่านเพดานห้องขึ้นไป
โครงกระดูกก้มศีรษะเล็กน้อย ดวงตาเปลวเพลิงสีเข้มทั้งสองข้างสามารถมองเห็นผ่านเพดานได้อย่างเจือจาง
แรงกดดันจากร่างกายขนาดมหึมาทำให้เดนิสผงะถอยหลัง โน้มตัวลงเล็กน้อย พร้อมกับสร้างก้อนเปลวเพลิงขึ้นบนฝ่ามือขวา
นี่มันตัวอะไร!
เดนิสรีบหันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และพบว่าอีกฝ่ายกำลังถือนกหวีดทองแดงในมือ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาเปลวเพลิงโดยไม่กล่าวสิ่งใด
ไคลน์มองหน้าผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารมองกลับ คล้ายกับคนทั้งสองกำลังตกใจซึ่งกันและกัน
เฮ่อ… เรามือไวไปหน่อย ยังไม่ทันเขียนจดหมายก็รีบเป่านกหวีดเรียก…
จะให้อีกฝ่ายยืนรอเราเขียน หรือไล่กลับไปก่อนแล้วค่อยเป่าใหม่… แต่ตอนนี้เราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ใช่แล้ว ต้องแสดงสันดานของเกอร์มัน·สแปร์โรว์!
ไคลน์ไม่พูด เบือนหน้ากลับ รื้อค้นกระดาษและปากกาอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะเริ่มลงมือเขียนจดหมาย
มันอธิบายเหตุการณ์เกี่ยวกับ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่าไว้ค่อนข้างละเอียด แต่ตัดส่วนที่ตนถูกคำสาปออกไป ไม่กล่าวถึงการชำระล้างด้วยห้วงมิติเหนือสายหมอก และฉากของแหล่งกบดานถูกนำไปรวมกับความฝันเมื่อครู่
“…บางที พวกเราอาจมีวิธีระบุตำแหน่งของมันผ่านโลกวิญญาณ แต่เนื่องจากผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้ จึงต้องการคำแนะนำอันมีค่าจากคุณ”
ไคลน์พับกระดาษ หมุนตัวกลับ และเหลือบเห็นว่าผู้ส่งสารกำลังกำหมัดแน่น
ชายหนุ่มทำเป็นมองไม่เห็น เพียงยื่นกระดาษจดหมายไปหาอีกฝ่าย
ผู้ส่งสารยืนนิ่งสักพัก ก่อนจะเหยียดแขนออกมาคว้าจดหมายไว้
เพียงพริบตา ร่างกายโครงกระดูกเริ่มแตกกระจัดกระจายกลายเป็นกองกระดูกสีขาว จมลงใต้พื้นห้องพักสุดหรูของโรงแรม
“น…นั่นมันตัวอะไร!”
ในที่สุดเดนิสก็กล้าส่งเสียง
ไคลน์ชำเลืองด้วยหางตา ตอบห้วน
“ผู้ส่งสาร”
ผู้ส่งสาร? เดนิสผงะ ก่อนจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
ส…สัตว์ประหลาดตัวใหญ่แบบนั้น…เป็นแค่ผู้ส่งสารเนี่ยนะ? เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีองค์กรใหญ่คอยหนุนหลังจริงด้วย!
ห…หากเรามีผู้ส่งสารแบบนี้บ้าง ทุกคนบนเรือจะต้องอิจฉาแน่! ถ…ถ้าเป็นจริงก็คงดี…
เดนิสจินตนาการภาพตัวเองกลับเรือพร้อมกับโอ้อวดทุกคนเกี่ยวกับผู้ส่งสารตัวใหญ่
หลังจากเก็บนกหวีดทองแดง ไคลน์มองหาเก้าอี้นั่งเพื่อเตรียมกินมื้อเช้า
ผ่านไปสักพัก มันได้ยินเสียงเคาะประตู
เหตุการณ์ ‘เหล็กกล้า’ ทำให้เดนิสระมัดระวังตัวมากขึ้น ส่องตาแมวอย่างระมัดระวัง และพบชายวัยกลางคนสวมหมวกพับทรงทหารเรือ กำลังยืนหน้าประตู
“ไอร์แลนด์? นายมาที่นี่ได้ยังไง!”
เดนิสเปิดประตูพร้อมยิงคำถาม
ผู้มาเยือนไม่ใช่ใคร กัปตันแห่งโมราขาว ไอร์แลนด์ผู้เที่ยงธรรม
ไอร์แลนด์ เจ้าของรอยย่นเล็กน้อยรอบขอบตา มองเข้าไปในห้องและยิ้ม
“พวกนายสองคนเช็กอินด้วยชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มองปราดเดียวก็หาพบแล้ว”
เพราะชื่อของฉันถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และในสายตาของโบสถ์วายุสลาตัน ฉันคือคนของ MI9…
ไคลน์ลุกเชื่องช้า หันไปพูดกับไอร์แลนด์ที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง
“แล้วมีอะไร”
ไอร์แลนด์ชี้ไปด้านนอก
“เกิดเหตุนิดหน่อยในบายัม แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก กองทัพและโบสถ์กำลังร่วมมือกันปฏิบัติการตามหาคนแบบปูพรม เป้าหมายคือผู้วิเศษค่อนข้างแข็งแกร่ง ปลอมตัวมาในคราบนักโบราณคดี เพื่อจะหาเป้าหมายให้พบโดยเร็ว กองทัพจึงงัดทุกทรัพยากรออกมาใช้ แต่เมื่อเทียบกับขนาดเมืองอันกว้างใหญ่ จึงยังขาดแคลนกำลังคนอยู่มาก ฮะฮะ! พวกเขาเชื่อว่าคุณไม่มีพิษมีภัย และหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเราตามหาเป้าหมาย…กองทัพยอมลงทุนถึงเพียงนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้เรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้น และแน่นอน คุณจะได้รับค่าจ้างตามผลงาน”
การที่พวกเขาเชื่อว่าฉันบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะนายใส่สีตีไข่มิตรภาพของเราสองคนเกินไปต่างหาก… แบบนี้ก็หมายความว่า นอกจากโบสถ์รัตติกาลและโบสถ์จักรกลไอน้ำ เรายังรับเงินจากกองทัพด้วยอีกทาง…
ไคลน์เกิดอารมณ์ซับซ้อนไปพักหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มอบคำตอบ ไอร์แลนด์กล่าวเสริม
“ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ยิ่งเราพบตัวเป้าหมายได้เร็วเท่าไร หายนะซ่อนเร้นก็ยิ่งถูกควบคุมได้เร็วขึ้น นั่นจะเป็นการช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ได้มาก…”
ไคลน์เงียบต่อไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว”
……………………