ราชันเร้นลับ 542 : กฎอัยการศึก ณ บายัม โดย Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้เห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์สวมโค้ท สวมหมวก และยกไม้ค้ำ เดนิสพลันตระหนักได้ว่าตนคือคนที่ถูกลืม
มันกระแอมหนึ่งหน ท่ามกลางสายตาของคนทั้งสอง เพลิงพิโรธกล่าวพลางยิ้มแห้ง
“ฉ…ฉันต้องไปกับนายด้วยไหม”
ถ้าเลือกได้ก็ขอปฏิเสธ! ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดความฉิบหายแบบใดขึ้นอีกบ้าง! เมื่อวันก่อน แค่จอดแวะเมืองท่าแบนชี ก็เกิดเหตุการณ์อาเพศขึ้นอย่างน่าพิศวง ส่วนเมื่อคืน แค่เราแอบพาเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปพบกับกลุ่มต่อต้านท้องถิ่น หมอนี่กลับติดคำสาปของเทพสมุทรกลับมา! ฉะนั้นในวันนี้ หากเราติดตามชายเสียสติไปค้นหานักโบราณคดีเลติเซีย ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก!
เดนิสก้มศีรษะต่ำ สายตาจ้องมองแขนซ้ายที่กำลังสวมเฝือก
เพียงไม่กี่วัน เรากลับต้องเสี่ยงตายมากกว่าในช่วงหลายเดือนก่อนหน้ารวมกัน หรือบางทีมากกว่าเหตุการณ์ในครึ่งปีด้วยซ้ำ!
“นายจะอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่เจ้าหน้าที่คนอื่นก็จะตามมาค้นห้องอยู่ดี” ไอร์แลนด์เผยรอยยิ้ม
ค้นห้อง? ถ้าเป็นแบบนั้น โจรสลัดชื่อดังอย่างเพลิงพิโรธก็จะถูกจับ และนำไปแลกเปลี่ยนเป็นทองปอนด์…
เดนิสขมวดคิ้ว หัวเราะแห้ง
“ฉันไม่สนรางวัลตอบแทน แต่มีโอกาสไม่บ่อยนักที่จะได้รับค่าจ้างจากกองทัพ อยากลองดูสักครั้งเหมือนกัน แต่ยังติดปัญหานิดหน่อย พวกนายต้องรอฉันแปลงโฉมสักพัก มิสเตอร์กัปตัน นายคงไม่อยากถูกเข้าใจผิดเพราะเดินไปไหนมาไหนกับโจรสลัดชื่อดังหรอกใช่ไหม?”
ถึงจะอีกฝ่ายช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ แต่หากใครเห็นเพลิงพิโรธอย่างเราเดินไปบนถนนสายหลัก คงไม่แคล้วถูกจับกุมตัวคาที่ และนำไปขึ้นเงินค่าหัวโดยอ้างหลักความถูกต้อง…
เดนิสจินตนาการภาพตนกำลังนอนหมอบราบไปกับพื้น ถูกกดด้วยหัวเข่า และเอาแต่ดิ้นตะเกียกตะกายเหมือนกับปลาดุก
ไอร์แลนด์ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหยิบหน้ากากเหล็กออกจากกระเป๋าด้านในเสื้อโค้ทและโยนไปหา
“สวมมันไว้ ฉันจะอธิบายคนอื่นเอง”
เห็นด้วย…ไม่มีความจำเป็นเสียเวลากับการแปลงโฉมเปล่าประโยชน์เลยสักนิด…
ไคลน์เปรยในใจ
ชายหนุ่มไม่พูดพร่ำ เพียงบิดกลอนประตูและเดินออกไปอย่างเงียบงัน
ไอร์แลนด์เดินตามหลัง ส่วนเดนิสรีบสวมโค้ทและหน้ากากเหล็ก ก่อนจะตามทั้งสองไป
เมื่อเห็นถนนเต็มไปด้วยแอ่งน้ำขังและไม่มีชาวเมืองออกมาเดินเพ่นพ่าน ไคลน์กดหมวกลงเล็กน้อย :
“แผนคืออะไร”
ไอร์แลนด์ยิ้ม
“สืบแบบปูพรมทุกเขต อาชีพผู้วิเศษของผมจะมีพลังพิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง ขอเพียงได้เห็นใบหน้าของเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นตัวจริง จากภาพเหมือน หรือจากภาพวาด ผมจะไม่มีวันลืมเหยื่อของตัวเอง และสัมผัสถึงอีกฝ่ายได้ดีกว่าปรกติ เบาะแสเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับเป้าหมายจะไม่มีวันคลาดสายตา เบาะแสคลุมเครือจะแจ่มชัด เมื่อนำทั้งหมดมารวมกัน การตามหาใครสักคนจึงไม่ใช่เรื่องยาก”
เจ้าพนักงาน…
ลำดับ 8 ของเส้นทางผู้ตัดสิน…
ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด หลังจากเดินต่อไปได้สักพัก มันซักถาม
“มีของใช้ติดตัวให้ทำนายได้บ้างไหม”
เมื่อคืน ใบประกาศที่เดนิสนำไปติดไว้รอบวิหารคลื่นสมุทร กระดาษแผ่นดังกล่าวมีภาพเหมือนของเลติเซียอยู่ด้วย ไคลน์วาดมันจากการสวดวิงวอนถึงตัวเอง
“ไม่มี” ไอร์แลนด์ส่ายหน้า “ทางเราไม่ทราบด้วยซ้ำว่าพวกมันเคยกบดานแถวไหนมาก่อน ยืนยันได้เพียงว่า เป้าหมายกลับจากเกาะไซมีมและถึงท่าเรือบายัมเมื่อเวลาบ่ายสามโมงตรงของเมื่อวาน โดยท่าเรือบายัมจะไม่มีเรือโดยสารแล่นออกตั้งแต่บ่ายสอง
“จนกระทั่งถึงช่วงเช้ามืดของวันนี้ เรือทุกลำก็ยังไม่สามารถออกจากท่าได้ เนื่องจากติดปัญหาด้านสภาพอากาศ อนุญาตให้เรือเข้ามาจอดเทียบท่าเท่านั้น”
สรุปก็คือ เลติเซียและคณะไม่สามารถเดินทางออกจากเกาะด้วยเรือ…
ไคลน์เข้าใจความนัยของไอร์แลนด์
เดนิสเหยียดหยัน
“ก็ยังมีทางอื่นอยู่ไม่ใช่หรือ บางที พวกมันอาจเดินทางออกจากบายัมด้วยถนน หลบหนีไปยังเมืองอื่นข้างเคียงบนเกาะแล้วก็ได้”
เกาะภูเขาครามมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในหมู่เกาะรอสต์ นอกจากจะกว้างขวาง ยังเต็มไปด้วยผืนป่าและแหล่งแร่ธาตุจำนวนมาก ส่งผลให้ทั่วเกาะมีหลากหลายเมืองกระจายตัวออกไป ไม่กำจัดเฉพาะบายัม โดยเมืองเหล่านั้นจะตั้งอยู่ในเขตอุดมสมบูรณ์ของเกาะ
ในช่วงแรกเริ่ม หลังจากเล็งเห็นผลประโยชน์มหาศาล กษัตริย์โลเอ็นได้ติดสินบนเจ้าชายของชนพื้นเมือง บีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องใช้ความรุนแรง จากนั้นค่อยทำการกวาดล้างด้วยความรุนแรงที่มากกว่า ลงเอยด้วยการสร้างศาลากลางเมืองและก่อตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยทางอาณาจักรโลเอ็นจะแทรกซึมคนของกองทัพเข้าไปอยู่ในฝ่ายบริหาร
เพื่อความสะดวกสบาย รัฐบาลโลเอ็นเริ่มสร้างถนนสายหลักสำหรับเชื่อมต่อเมืองต่างๆ บนเกาะเข้าด้วยกัน รวมถึงเริ่มต้นโครงการสร้างรางรถไฟ ก่อตั้งบริษัทรางรถไฟ จากนั้นก็เปิดขายหุ้นจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์เบ็คลันด์ เพื่อระดมเงินก้อนโตจากนายทุนมาสานต่อธุรกิจ
แน่นอน โครงการใหญ่เช่นนี้ย่อมมาพร้อมความตายของชนพื้นเมืองจำนวนมาก ด้วยปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายของเขตก่อสร้าง การใช้แรงงานเกินขีดจำกัด การปฏิบัติเยี่ยงทาส และค่าแรงเพียงหยิบมือ ชนพื้นเมืองศพแล้วศพเล่าจึงถูกฝังอยู่ใต้ถนนสายหลักและหมอนรองรางรถไฟ
จวบจนปัจจุบัน ชนพื้นเมืองจำนวนมากยังคงเกลียดชังรางรถไฟมรณะ โดยมองว่าสิ่งนี้คือต้นเหตุการตายเผ่าพันธุ์ของตนจำนวนมาก และยังเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงเทพมารชั่วร้าย
ไอร์แลนด์ชำเลืองไปทางเดนิส
“หากพวกมันหลบหนีออกจากบายัมด้วยวิธีดังกล่าวจริง นั่นก็ยิ่งดีเลย”
“ทำไม?” เดนิสถามฉงน
ง่ายมาก… ถนนออกจากบายัมทุกเส้นต้องผ่านเขตป่า และเขตป่าคือถิ่นของกลุ่มต่อต้าน ในเมื่อกลุ่มต่อต้านส่วนใหญ่คือสาวกเทพสมุทร เลติเซียและคณะผู้เป็นสาเหตุให้เทพสมุทรใกล้ร่วงหล่น จะกล้าผ่านเขตดังกล่าวในยามค่ำคืนได้อย่างไร? หรือถ้ากล้า ก็แปลว่า เลติเซียและคณะไม่ทราบว่าพฤติกรรมของพวกตนส่งผลให้เทพสมุทรใกล้อาละวาด ทำให้ตัดประเด็นที่ว่า ‘นิกายมอสส์หรือแก่นรุ่งอรุณกำลังวางแผนบางอย่าง’ ทิ้งไปได้…
ไคลน์หักห้ามตัวเองมิให้ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย เพียงเดินตามไอร์แลนด์เลี้ยวไปยังถนนอีกเส้น
ไอร์แลนด์ไม่อธิบาย เพียงหยิบใบประกาศออกมา ยืนให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์
“เป้าหมายหลักคือผู้หญิงคนนี้”
ฉันเป็นคนวาดกับมือ…
ไคลน์ชำเลืองสักพัก ก่อนจะส่งต่อให้เดนิส
ทันใดนั้น ทั้งสามต่างได้ยินเสียงการปะทะอย่างหนักหน่วงจากในบ้านหลังด้านช้าง
“พบแล้วหรือ?” เดนิสถามในสิ่งที่ไคลน์กำลังสงสัย
“ไม่น่าใช่” ไอร์แลนด์ส่ายหน้า
“จากการนัดแนะเบื้องต้น หากพบเป้าหมายหลัก เจ้าหน้าที่จะรีบยิงพลุสัญญาณสีแดงขึ้นฟ้า ถ้าเห็นสัญญาณดังกล่าว ทุกคนต้องรีบล้อมจุดเกิดเหตุทันที แต่หากพบอาชญากรคนอื่นที่ไม่สามารถรับมือไหวตามลำพัง ให้ยิงพลุสีส้ม เจ้าหน้าที่หลายทีมในบริเวณใกล้เคียงจะรีบเข้ามาช่วย หากเป็นโจรสลัดปลายแถวให้จัดการกันเอาเอง แต่ในกรณีนี้ พวกเราควรดูท่าทีอีกสักพัก เจ้าหน้าที่อาจไม่มีเวลายิงพลุสัญญาณ…”
ขณะอธิบาย กระจกหน้าต่างชั้นสามของบ้านฝั่งติดกับถนนเกิดแตกดัง ‘เพล้ง’ บุรุษร่างกายกำยำประหนึ่งหมีป่ากระโดดออกมา และวิ่งไปบนถนนอย่างว่องไวประหนึ่งชีตาร์
ทว่า เงาของบางสิ่งได้พุ่งเข้าใส่บุคคลดังกล่าวในพริบตา พร้อมกับมีเสียง ‘ปังปังปัง’ ดังจากท้องฟ้า
กระสุนปืนกลหนักได้ฉีกร่างอาชญากรจนมีสภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว ทิ้งตัวล้มลงอย่างไร้การต่อต้านขัดขืน เลือดสีแดงเจิ่งนอง หากไม่ใช่เพราะชาวบ้านถูกสั่งห้ามออกจากอาคาร ตอนนี้คงกำลังเกิดเสียงกรีดร้องโกลาหล
เรือบินแล่นผ่านไปยังจุดอื่นทันทีโดยไม่สนใจไยดีซากศพ ไม่แม้แต่จะชะลอความเร็ว
“…กอร์แท็ต” เดนิสเอ่ยชื่อคนตาย
เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์มองกลับมา มันเผยรอยยิ้มขื่นขม
“หัวหน้ากลุ่มโจรสลัด เป็นชาวฟุซัค เจ้าของค่าหัวเก้าร้อยห้าสิบปอนด์”
ชาวฟุซัค…พวกสมองกล้าม…เอาแต่วิ่งพล่านไปบนถนนอัยการศึกโดยไม่ระวังการโจมตีทางอากาศ…จริงสิ โจรสลัดเหล่านี้คงมอมเหล้าตัวเองยันเช้า อาจไม่ทราบว่าบนท้องฟ้ามีฝูงเรือบิน…ด้วยความเร็วขนาดนั้น หากวางแผนหลบหนีล่วงหน้า ไม่มีทางหลบกระสุนปืนกลหนักจากบนฟ้าไม่พ้น…
ไคลน์เงยหน้า จ้องมองสัตว์ประหลาดสีน้ำเงินเข้มบินผ่านหลังคาบ้าน
เมื่อเดนิสเห็นจุดจบอันน่าสังเวชของโจรสลัดรายอื่น มันพูดกับตัวเองว่า : โชคดีฉิบหายที่ตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกมา!
เมื่อไอร์แลนด์เห็นสัญญาณยืนยันความเรียบร้อย มันหันหน้าไปทางจุดรับผิดชอบของตัวเอง และรีบเดินนำเดนิสกับไคลน์
ราวห้าหกนาทีถัดมา หลังจากเดินด้วยจังหวะค่อนข้างเร็ว ณ ถนนตรงหน้า ทั้งสามมองเห็นรั้วลวดหนามและกำแพงกระสอบทราย รวมถึงป้อมปืนกลหนักที่ถูกติดตั้งอย่างน่าเกรงขาม ทหารกองทัพโลเอ็นในเครื่องแบบสีแดงกำลังยืนรักษาการณ์เงียบงัน
อีกฝั่งของรั้วลวดหนามมีศพมนุษย์ราวยี่สิบถึงสามสิบ กำลังนอนกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ลักษณะคล้ายกับถูกสังหารหมู่ตอนกำลังวิ่งกรูเข้าใส่ป้อมปืน
สภาพเละเทะไม่น่ามอง ใบหน้าผอมซูบ
ทั้งหมดคือชนพื้นเมือง
ในจุดห่างไกลออกไป เด็กพื้นเมืองหลายคนกำลังหลบมุมอาคาร จ้องมองมายังกองซากศพอย่างขลาดกลัว สลับกับจ้องไปทางปากกระบอกปืนสีดำเหล็ก ด้วยดวงตาพวกเขามีสีดำสนิท ใบหน้ามอมแมม
ไคลน์และที่เหลือยืนเงียบงันหลายวินาที ก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด
ฟอร์สในสภาพนั่งถือแก้วเซรามิกบนโต๊ะ กำลังสัมผัสถึงไอความร้อนอย่างเจือจาง
หญิงสาวเพ่งสมาธิจดจ่อ รอคอยการเปลี่ยนแปลงอย่างใจเย็น
ทันใดนั้น อุณหภูมิน้ำร้อนลดลงอย่างรวดเร็ว แผ่นน้ำแข็งบางเริ่มปกคลุมผิวของเหลว รอบถ้วยเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งเกาะหลายจุด
“ตอนนี้เราคือนักตุกติก…”
ฟอร์สหลับตาลงอย่างมีความสุข
หลังจากได้รับถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณ เธอไม่ลังเล นำไปปรุงเป็นโอสถดื่มทันที เพื่อเลื่อนลำดับพลังและได้รับเวทมนตร์พื้นฐานหลายชนิด
จากบรรดาทั้งหมด พลังที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือ ‘สร้างหมอก’ ‘เป่าลม’ ‘สว่างวาบ’ ‘แช่แข็ง’ ‘ช็อกไฟฟ้า’ และ ‘ก้นจ้ำเบ้า’ ซึ่งทำให้เป้าหมายลื่นล้มโดยไม่มีเหตุผล
ในวินาทีนี้ หญิงสาวรู้สึกอย่างแท้จริงว่า ตนได้กลายเป็นผู้วิเศษโดยสมบูรณ์ มิใช่เพียงคนธรรมดาที่มีพลังเดินผ่านกำแพง
…
ใกล้เที่ยง ด้วยความช่วยเหลือจากเดนิสและไคลน์ งานสืบสวนในเขตรับผิดชอบของไอร์แลนด์ใกล้เสร็จสิ้น
“กินขนมปังสักแถวก่อน น้ำสักแก้ว จากนั้นค่อยมาลุยงานกันต่อ” มันถอดหมวก พลางกล่าวด้วยริมฝีปากแห้งผาก
ขณะไคลน์เตรียมพยักหน้า มันเหลือบเห็นพลุสัญญาณสีส้มสว่างวาบจากบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดัง ‘บึ้ม’
ไอร์แลนด์แทบไม่ลังเล รีบสวมหมวกกลับและวิ่งตรงไปยังจุดดังกล่าว :
“ผมจะไปช่วยพวกเขา”
“หืม…สีส้มหมายถึงอาชญากรค่อนข้างอันตรายและเจ้าหน้าที่รับมือไม่ไหวสินะ…ชักอยากรู้แล้วว่าเป็นใคร” เดนิสพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าสนใจ
จากนั้น มันแสร้งวิ่งด้วยย่างก้าวเชื่องช้า ทำทียกเท้าสูง หวังให้การต่อสู้จะจบลงพอดีกับที่ตนไปถึง แต่เมื่อหันไปเห็นนักผจญภัยเสียสติกำลังวิ่งไล่หลังไอร์แลนด์ไม่ห่าง เพลิงพิโรธเริ่มออกอาการลังเล
ทันใดนั้น เมื่อเดนิสแหงนหน้าขึ้นไปมองและเห็น ‘สัตว์ประหลาดสีน้ำเงินเข้ม’ กำลังบินเหนือศีรษะ มันหัวเราะแห้งสองหน ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามกลุ่มของตัวเองให้ทัน
ราวสองนาทีถัดมา คนทั้งสามมาถึงจุดหมายของพลุสัญญาณ บ้านที่มีสนามหน้าติดกับถนน และเห็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพสามคนกำลังนอนบนพื้น ใบหน้ารวมถึงผิวพรรณซีดเซียว ร่างกายสั่นระริก คล้ายกับถูกโยนลงในทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง
ไคลน์เดินไปยังทิศทางดังกล่าว ไอความเย็นเริ่มกัดกินร่างกายหนักหน่วง ความรู้สึกราวกับอยู่บนขั้วโลกเหนือ
มันชำเลืองและพบว่า คูน้ำด้านนอกบ้านก็ถูกฉาบด้วยชั้นหิมะหนาไม่ต่างกัน
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของหญิงสาวปริศนาดังมาจากภายในบ้านหลังเกิดเหตุ ประเดี๋ยวสูงประเดี๋ยวต่ำ บ้าคลั่งสลับพิสดาร
“ฮะฮะฮะฮะ! คิคิคิคิ! ฮะฮะฮะฮะ! คิคิคิคิ…”
เดนิสพลันชะงัก พลางเลื่อนมือขวาขึ้นมาจับเส้นขนตั้งชันบริเวณลำคอตัวเอง
เสียง ‘โครม’ ดังขึ้นจากด้านในบ้าน บานถูกหน้าต่างเปิดออก พร้อมกับมีศพมนุษย์ไหม้เกรียมถูกโยนออกมา
เมื่อศพตกกระทบพื้น เปลวเพลิงสีแดงฉานยังคงลุกโชนประหนึ่งไฟนรก
เพียงไคลน์มองผิวเผิน สัมผัสวิญญาณก็สามารถระบุได้ทันทีว่า นี่คือศพของหนึ่งในสามนักผจญภัยชายกลุ่มเดียวกับเลติเซีย
……………………