ราชันเร้นลับ 543 : ความจริงที่ไม่คาดคิด

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 543 : ความจริงที่ไม่คาดคิด โดย Ink Stone_Fantasy

ดูเหมือนพวกเราจะพบเป้าหมายแล้ว…

ไคลน์ก้าวถอยหลัง ยืนไตร่ตรองสถานการณ์เบื้องต้น

ทางด้านไอร์แลนด์ เป็นเพราะไม่มีภาพเหมือนไว้คอยเปรียบเทียบ รวมถึงการที่ศพถูกเผาจนไหม้เกรียม มันย่อมไม่ทราบว่านี่คือหนึ่งในคณะนักผจญภัยของเลติเซีย·โดเรล่า จึงทำเพียงยืนสำรวจเหตุการณ์สักพัก

จนกระทั่งเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกผ่านไปสองสามระลอก ไอร์แลนด์ตัดสินใจชี้ไปยังร่างของเจ้าหน้าที่สามสี่คนซึ่งกำลังนอนแผ่นบนพื้นไม่ห่างจากตัวบ้านมากนัก พลางพึมพำด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

“ต้องลากพวกเขาออกมาก่อน รอให้หน่วยสนับสนุนมาถึง จากนั้นค่อยคิดเรื่องโจมตี หรือบางที…”

มันชะงักคำ พลางเงยหน้ามองเรือบินสีน้ำเงินเข้มกำลังลอยเข้ามาใกล้

ไอร์แลนด์ไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม และมิได้สั่งให้ไคลน์กับเดนิสกระทำสิ่งใด เพียงก้มหน้าวิ่งไปทางคนของกองทัพที่กำลังนอนสั่นระริกด้วยใบหน้าม่วงคล้ำ

กึก. กึก. กึก.

ยิ่งเข้าใกล้ ย่างก้าวก็ยิ่งอ่อนแรง จนกระทั่งร่างกายของไอร์แลนด์แข็งทื่อ ทุกก้าวเป็นไปอย่างยากลำบาก

ไอร์แลนด์เคยเป็นสรั่งเรือของกองเรือหลวงอยู่หลายปี ย่อมมีประสบการณ์เสี่ยงชีวิตโชกโชน จึงคิดเร็วทำเร็ว รีบชะงักฝีเท้าและก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง

ยิ่งถอยห่างออกมา จังหวะการก้าวก็เริ่มกลับมามีเรี่ยวแรง แต่ยังคงแก้ไขอาการสั่นเทาไม่ได้ โดยบริเวณขอบคิ้วและจอนมีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมเจือจาง

หนาวฉับพลันจนผิดธรรมชาติ…

เป็นความเย็นระดับภัยพิบัติ…

เมื่อเห็นสภาพของไอร์แลนด์ ไคลน์ยืนวิเคราะห์อันตรายภายในขอบเขต พลางถอนหายใจเงียบงัน :

น่าเสียดาย เข็มกลัดสุริยันจะไม่สร้างความร้อนเชิงกายภาพ เป็นได้เพียงอุปกรณ์ดัดแปลงความรู้สึก ถึงจะช่วยแก้ปัญหาทางจิตใจได้ชะงัก แต่ถ้าต้องเผชิญอุณหภูมิเย็นจัดของจริง คงไม่แคล้วยืนตัวแข็งทื่อภายในสามถึงสี่วินาที…

ชายหนุ่มหันไปมองไอร์แลนด์ ผู้กำลังยืนปากสั่นและกรามกระทบเสียงดัง กัปตันโมราขาวพยายามพะงาบปากราวกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียง

เห็นดังนั้น ไคลน์หันไปจ้องเดนิสด้านข้าง

ชายหนุ่มวางไม้ค้ำลง เปล่งเสียงเคร่งขรึม

“ไฟ”

ไฟ? เดนิสผงะเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ทราบเจตนาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์

มันย่อมเห็นความล้มเหลวของไอร์แลนด์ขณะพยายามการเข้าไปช่วยพวกพ้อง!

เดนิสสร้างก้อนเพลิงขึ้นบนมือขวา ขว้างไปยังจุดไม่ห่างจากคนของกองทัพที่กำลังนอนแผ่บนพื้นมากนัก

ก้อนเปลวเพลิงพุ่งแหวกอากาศเป็นระยะทางเกือบยี่สิบเมตร ตกลงบนพื้น แต่ไม่เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น เพียงสร้างประกายไฟลอยสูงขึ้นไปในอากาศ

เมื่อเจอกับอุณหภูมิเย็นจัด เสาเปลวเพลิงสีแดงฉานส่งเสียง ‘ฉ่า’ พร้อมกับหดตัวลงอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น เสาเพลิงขยายออกอีกครั้ง ราวกับกำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย

ไคลน์ในโค้ทขนสัตว์สีดำสนิทกระโจนออกจากเสาเพลิงดังกล่าว ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นในจุดใกล้กับเจ้าหน้าที่กองทัพ

มันโน้มตัวลงและเหยียดแขนตรง ใช้ฝ่ามือคว้าเครื่องแบบของผู้ประสบภัยแน่นกระชับ

ถัดมา ชายหนุ่มถ่ายน้ำหนักลงไปบนฝ่าเท้า บิดเอวกลับมาด้านหลัง และระเบิดพลังแขนในชั่วพริบตา

เจ้าหน้าที่ถูกโยนลอยไปในอากาศ บินไกลราวสิบเมตรก่อนจะตกลงพื้นอย่างนุ่มนวล รอดพ้นจากอิทธิพลของพลังน้ำแข็ง

เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์ชิงดีดนิ้วก่อนที่ความเย็นจะกัดกร่อนร่างกาย เผาก้านไม้ขีดในกระเป๋าเสื้อซึ่งพกติดตัวไว้ตลอดเวลา

เพลิงสีแดงพรั่งพรูออกจากร่างกายชายหนุ่มคล้ายกระแสน้ำหลาก เพียงไม่นานก็ลุกโชนจนท่วมร่าง

เมื่อเพลิงดับมอด ร่างไคลน์ได้หายลับไปจากสายตาของทุกคน

เสาเพลิงสว่างขึ้นอีกครั้งในจุดถัดไป สิ่งนี้เป็นพลังของเดนิส โดยไคลน์จะปรากฏตัวออกมากระทำแบบเดิม และหนีด้วยก้านไม้ขีดไฟเช่นเดิม วิธีนี้สามารถช่วยเหลือคนของกองทัพได้มากมาย

เพียงไม่กี่อึดใจถัดมา ไคลน์นำเจ้าหน้าที่คนสุดท้ายออกจากเขตอันตราย

ไอร์แลนด์เผยสีหน้าโล่งใจสุดขีด พร้อมกับยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ :

“ผมทั้งยินดีและเป็นเกียรติอย่างมาก ที่วันนี้ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากคุณ”

พูดได้ดี…แต่อย่าลืมขึ้นค่าจ้างก็แล้วกัน…

ไคลน์พยักหน้ารับอย่างสุภาพ หมุนตัวครึ่งวงกลม มองเข้าไปในหน้าต่างที่เปิดอยู่ของบ้านหลังเกิดเหตุ พลางยืนฟังเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกและพิสดารดังเป็นระยะ

มุมปากเดนิสกำลังสั่นระริก มันส่งเสียงตำหนิไอร์แลนด์ภายในใจ

ไม่เห็นผลงานของฉันเลยรึไง!

ถึงบอลเพลิงของฉันจะเป็นเหมือนกับไฟประกอบฉากมายากล แต่มันก็มีความสำคัญมากในแผนการ!

หมอนี่มีฉายาว่าไอร์แลนด์ผู้เที่ยงธรรม แต่ความจริงแล้วกลับไม่เที่ยงธรรมเลยสักนิด!

ขณะเพลิงพิโรธกำลังพึมพำ ท้องฟ้าด้านบนเริ่มมืดครึ้มเล็กน้อย เนื่องจากเรือบินกำลังลอยสูงเหนือศีรษะคนทั้งสาม

“รีบอพยพชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงออกไปให้หมด!” เสียงคำสั่งจากเรือบินดังกังวานลงถึงด้านล่าง

หลังจากไอร์แลนด์และหน่วยสนับสนุนชุดหลังที่เพิ่งมาถึงช่วยกันอพยพชาวเมืองออกไปจากเขตอันตราย เรือบินเริ่มลดระดับความสูงลง พลางปรับองศาการเล็งของ ‘ปืนใหญ่’

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ปืนใหญ่กระหน่ำยิงประหนึ่งพายุบุแคม เป้าหมายคือบ้านหลังที่มีเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกดังอย่างต่อเนื่อง

ได้ยินเสียงระเบิดโครมคราม ได้เห็นอำนาจทำลายล้างของปืนใหญ่ ไคลน์ก้มหยิบไม้ค้ำด้วยสีหน้าขื่นขม

นี่คือยุทธการ ‘ระดมยิง’ ที่มันปรารถนามาตลอด! ครั้งหนึ่งเคยเสนอให้เหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็นยิงถล่มบ้านทริสซี่ และในวินาทีนี้ มันกำลังประจักษ์แสนยานุภาพสุดตระการตาที่ตนถวิลหามานาน

ท่ามกลางเสียงปืนหูดับตับไหม้ ไอร์แลนด์และเจ้าหน้าที่คนอื่นต่างกระจายตัวล้อมบ้านหลังต้องสงสัยไว้ทุกทิศ เตรียมรับมือกลุ่มคนหรือสัตว์ประหลาดด้านใน

บ้านหลังดังกล่าวพังพินาศย่อยยับ ควันดำลอยสูงขึ้นจากซากปรักหักพังซึ่งเหลือเพียงเศษไม้และอิฐแดง ขณะเดียวกัน พลังน้ำแข็งลึกลับได้อันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์

ทันใดนั้น สายฟ้าเส้นใหญ่พลันสว่างวาบจากมุมสูง ผ่าลงใจกลางเรือบินอย่างหนักหน่วงแม่นยำ

ไคลน์ขมวดคิ้ว ยืนมองเรือบินที่ยังคงสงบนิ่งราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่โสตประสาทได้ยินเสียงความผิดปรกติของเครื่องยนต์ไอน้ำอย่างเจือจาง

สัตว์ประหลาดสีน้ำเงินบนท้องฟ้าเริ่มเสียการทรงตัว ควันดำลอยออกมาไม่มากไม่น้อย ตัวเครื่องเริ่มร่อนลงหาจุดจอดฉุกเฉินในบริเวณใกล้เคียง

มีระบบป้องกันการโจมตี…ลักษณะคล้ายเกราะกำบังชั้นนอก…นึกว่าจะได้เห็นเรือบินระเบิดต่อหน้าเสียอีก…

ไคลน์หันเหความสนใจกลับมายังซากบ้านที่เหลือเพียงเศษอิฐและโครงปูน

ในตอนแรก หลังจากได้เห็นพลังน้ำแข็งรุนแรงและศพไหม้เกรียมของนักผจญภัยชาย ไคลน์นึกว่าตนได้โคจรมาพบ ‘แม่มด’ อีกแล้ว

เนื่องจากมีสูตรผลิตโอสถในเส้นทางแม่มดหลายลำดับ แถมยังเคยเผชิญหน้ากับแม่มดบ่อยครั้ง ไคลน์ย่อมทราบพลังพิเศษของพวกหล่อนพอสมควร โดยตั้งแต่ลำดับ 7 ขึ้นไป แม่มดจะเชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์น้ำแข็งและเพลิงทมิฬ

แต่สายฟ้าเมื่อครู่ทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดกะทันหัน และกลับไปเชื่อทฤษฎีเดิม นั่นก็คือเลติเซีย·โดเรล่าเป็นหญิงแท้และยังเป็นสมาชิกของนิกายมอสส์หรือไม่ก็แก่นรุ่งอรุณ

ขณะไคลน์ยืนครุ่นคิด ซากบ้านที่เต็มไปด้วยเศษอิฐ ไม้ และหินเริ่มมีการขยับเขยื้อนดังกรอกแกร่ก จนกระทั่งร่างหนึ่งคลานออกมาด้วยศอกอย่างเชื่องช้า เนื้อตัวไหม้เกรียมด้วยสีดำสลับแดง

เป็นสิ่งมีชีวิตเพศหญิง เค้าโครงช่วยระบุอย่างคลุมเครือว่านี่คือเลติเซีย·โดเรล่า

เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงเมื่อพบเป้าหมายหลักเร็วกว่าที่คิด ถึงจะอยู่ในสภาพน่าสังเวชและจวนเจียนตายแล้วก็ตาม

ตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยไหม้สีดำ กระสุนปืนใหญ่ได้เจาะทะลวงเนื้อหนังจนเกิดเป็นรูโหว่สีแดงขนาดใหญ่ ภายในบาดแผลมีพังผืดสีขาวกำลังยุบพองประหนึ่งมีชีวิต

กะโหลกศีรษะปริแตก เนื้อสมองสีเทาไหลซึมรอบปากแผลเล็กน้อย มองผิวเผินคล้ายกับฝ่ามือทารกจำนวนมากเรียงชิดติดกัน

ดวงตาสีเทาของเธอกำลังเหม่อลอย มิได้เพ่งจ้องไปยังจุดใด รูม่านตาข้างหนึ่งมีเปลวเพลิงแดงส้มลุกโชน ส่วนอีกข้างมีประกายสายฟ้าสีเหลืองเงินกะพริบวูบวาบ

บริเวณช่องท้องใต้ราวนมมีหัวคนและใบหน้าอันเจ็บปวดถูกฝังอยู่สองหัว ริมฝีปากตรงท้องพยายามพะงาบบางสิ่ง เจ้าของศีรษะทั้งสองไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนักผจญภัยหนุ่มอีกสองคนในคณะสำรวจของเลติเซีย

ไม่ใช่แค่คลุ้มคลั่ง แต่เธอถึงขั้นถูกกัดกร่อนจนเสื่อมทราม…อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกระดมยิงด้วยปืนใหญ่ หล่อนได้รับบาดเจ็บสาหัสและคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน…

ไคลน์ตัดสินใจไม่ลงมือก้าวก่าย เพียงยืนมองผู้วิเศษของกองทัพกระหน่ำโจมตีด้วยพลังหลากหลายชนิด

มีทั้ง ‘ทะลวงจิต’ ‘แส้ทารุณ’ ‘กระสุนชำระล้าง’ และกระสุนปืนธรรมดาอีกหลายนัด

เมื่อเสร็จสิ้นการเปิดฉากโจมตีหนึ่งระลอก ผืนดินที่กำลังแยกออกเป็นทางยาวจากการอาละวาดของหญิงสาวเริ่มสงบลง

เลติเซียทรุดไปนอนราบกับพื้น กลายเป็นศพโดยสมบูรณ์

แปะ!

เมื่อลำตัวศพกระทบพื้น ศีรษะของสองนักผจญภัยกึ่งกลางช่องท้องได้กลิ้งหลุดออกมา

ไคลน์หรี่ตาลง มองเข้าไปยังรูโหว่ขนาดใหญ่ใจกลางท้อง และพบหนังสือปกหนังสัตว์สีเหลืองอมน้ำตาลซ่อนอยู่ด้านใน

ตัวหนังสือบนปกเขียนไว้ด้วยภาษาเอลฟ์ใจความว่า :

“หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ”

ทำไมหนังสือหรือสุดบันทึกทำนองนี้ถึงชอบไปอยู่ในท้องคนนัก สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสก็ทีนึงแล้ว…

ไคลน์รำพันเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสมมติฐานกับตัวเองว่า หนังสือแห่งภัยธรรมชาติเล่มนี้คือวัตถุที่เลติเซีย นักโบราณคดีจอมปลอม ขโมยออกมาจากโบราณสถานเทพสมุทร

ขณะเดียวกัน เมื่อเจ้าหน้าที่กองทัพเห็นว่าศีรษะนักผจญภัยชายทั้งสองยังพอสื่อสารได้ จึงรีบเข้าไปประกบและสอบปากคำ

“พวกแกเข้าไปทำอะไรในโบราณสถานเทพสมุทร!”

หนึ่งในนักผจญภัยชายมอบคำตอบด้วยสีหน้าเจ็บปวดแกมสับสน

“พ…พวกเราไม่ได้เข้าไป…”

ชายคนหนึ่งพยายามกลอกตาลง คล้ายกับต้องการตรวจสอบอวัยวะตั้งแต่ช่วงคอลงไป

“ฉันหมายถึงโบราณสถานเทพสมุทรบนเกาะไซมีม!” เจ้าหน้าที่เค้นถามเสียงเข้ม

“ม…ไม่ใช่” นักผจญภัยชายพยายามส่ายหน้า แต่แน่นอนว่าไม่สำเร็จ “พวกเราเข้าไปสำรวจโบราณสถานของเอลฟ์…เลติเซียพบหนังสือเล่มหนึ่งด้านใน…เธอชอบมันมาก… แต่เมื่อเริ่มศึกษาเนื้อหา ธ…เธอเกิดเสียสติกะทันหัน ต…ตอนนี้เธอคลั่งไปแล้ว!”

นักผจญภัยชายแหกปาก แต่ราวกับวิญญาณของมันหมดอายุขัยเพียงเท่านี้

หือ…ไม่ใช่โบราณสถานเทพสมุทร แต่เป็นโบราณสถานเอลฟ์? แตกต่างจากสมมติฐานแรกของเรามากทีเดียว…

ขณะไคลน์เตรียมเดินเข้าไปใกล้เพื่อแอบฟังบทสนทนา ไอร์แลนด์กล่าวขอร้องอย่างสุภาพให้ชายหนุ่มและเดนิสช่วยออกจากเขตสอบสวน

แม้จะน่าเสียดาย แต่ก็ต้องทำตาม

เมื่อเดินมาถึงถนนอีกเส้น ไคลน์ลดความเร็วลง ไตร่ตรองเหตุการณ์ทั้งหมดใหม่อีกครั้งอย่างละเอียด

เหตุใดการนำหนังสือแห่งภัยธรรมชาติออกจากโบราณสถานของเอลฟ์ ถึงทำให้เทพสมุทร·คาเวทูว่า มิอาจรักษาเสถียรภาพ และนำไปสู่การดิ้นรนอาละวาดเฮือกสุดท้าย?

ทั้งสองเหตุการณ์สัมพันธ์กันอย่างไร…

เอลฟ์…เทพสมุทร…จากคำบอกเล่าของเดอะซันน้อย เทพบรรพกาล ‘ซอนญาธริม’ ราชาเอลฟ์ ถือครองอำนาจแบบเดียวกับเทพวายุสลาตันในปัจจุบัน…หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เผ่าเอลฟ์ย่อมต้องมีสมาชิกเป็นลำดับ 3 ‘เจ้าสมุทร’ จำนวนหนึ่ง และบางทีอาจมีลำดับ 2 อีกไม่น้อย…

อาจเป็นไปได้ว่า…คาเวทูว่าเคยเป็นแค่งูทะเลยักษ์ธรรมดา แต่บังเอิญว่ายเข้าไปในโบราณสถานเอลฟ์ใต้น้ำ จากนั้นก็กินตะกอนพลังหลงเหลือจากเอลฟ์ลำดับสูงสักตน และประสบความโชคดีสองชั้นซ้อน รอดจากทั้งความตายและการคลุ้มคลั่งมาได้ จึงครอบครองพลังครึ่งเทพและได้รับความศรัทธาจากชนพื้นเมืองของหมู่เกาะรอสต์ทั้งหมด?

ไคลน์ครุ่นคิดเคร่งเครียด ขณะเดียวกันก็รู้สึกขอบคุณมิสเตอร์แฮงแมน

ในตอนแรก เดอะซันน้อยไม่มีเจตนาจะเปิดเผยข้อมูลของเทพบรรพกาลทั้งแปด แต่หลังจากถูกแฮงแมนหลอกล่อ ข้อมูลบางส่วนจึงรั่วไหล หนึ่งในนั้นคือรายละเอียดของราชาแห่งเอลฟ์ ซอนญาธริม

สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมคาเวทูว่าถึงสามารถกินตะกอนพลังลำดับ 3 และเลื่อนลำดับได้ในคราวเดียว คำตอบคือ เหตุการณ์ในทำนองดังกล่าวไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น ในยุคสมัยก่อนระบบโอสถจะสมบูรณ์ แม้กระทั่งบรรพบุรุษของเผ่ามนุษย์ก็เคยกินตะกอนพลังอย่างส่งเดชมาแล้ว เพื่อเป็นทั้งการทดลองและการหวังพึ่งพาโชคในการเลื่อนลำดับ แต่จากบรรดาทั้งหมด มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่รอดชีวิตได้โดยสมบูรณ์ ไม่กลายเป็นคนบ้าหรือเกิดภาวะคลุ้มคลั่งเสียก่อน

การเสี่ยงโชคดังกล่าวมีโอกาสสำเร็จไม่ถึงหนึ่งในพัน ไม่สิ อาจน้อยกว่าหนึ่งในหมื่นหรือต่ำกว่านั้นด้วยซ้ำ หลังจากระบบโอสถเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ก็ไม่มีใครกล้ากินตะกอนพลังส่งเดชอีกเลย…

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คาเวทูว่านับว่าโชคดีอย่างน่าอัศจรรย์…จริงสิ อาจมีปัจจัยด้านความเข้ากันได้ของร่างกายช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จ…

แต่ดูเหมือนสติปัญญาจะไม่พัฒนาขึ้นจากเดิมเลยสักนิด ทำได้เพียงหลอกใช้สาวกชาวพื้นเมืองไปวันๆ ไม่เคยรู้กระทั่งว่าเกาะไซมีมมีโบราณสถานของเอลฟ์ซ่อนอยู่ เอาแต่หลบอยู่ในรังอย่างขี้ขลาด…

หลังจากเลติเซียนำหนังสือออกมา โบราณสถานก็พังลงทันที ส่งผลให้คาเวทูว่าสูญเสียเสถียรภาพด้านอำนาจ? เข้าใจแล้วว่าทำไมเลติเซียและคณะถึงผ่านเข้าออกโบราณสถานได้ง่ายนัก เพราะคาเวทูว่าไม่เคยทราบว่ามีโบราณสถานเอลฟ์บนเกาะไซมีม จึงไม่ถูกอารักขาโดยกลุ่มต่อต้าน…

จนกระทั่งเกิดความผิดปรกติร้ายแรงขึ้น คาเวทูว่าจึงเริ่มตรวจสอบจนกระทั่งพบต้นตอ และทราบในภายหลังว่าโบราณสถานเอลฟ์ใต้น้ำของตน กับโบราณสถานเอลฟ์บนเกาะไซมีม มีความเชื่อมโยงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง…

ไคลน์พยายามขจัดข้อสงสัยของตนให้หมดในคราวเดียว

ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมเทพสมุทร·คาเวทูว่าถึงไม่เลือกสิงร่างสาวกคนใดคนหนึ่งในวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะหากทำเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกคนนอกล่วงรู้ว่าเทพสมุทรกำลังอ่อนแอและขาดสมดุล ปัญหาจะถูกแก้ไขอย่างราบรื่น และสัตว์ป่าสติปัญญาต่ำต้อยอย่างคาเวทูว่าก็น่าจะชื่นชอบวิธีนี้

คำตอบของไคลน์คือ ร่างใหม่ที่คาเวทูว่าต้องการเข้าไปกัดกร่อนและสิงสู่ จะต้องมีเลือดเอลฟ์ไหลเวียนในปริมาณหนึ่ง จึงจะทนรับพลังมหาศาลของตะกอนพลังไหว

และเมื่อไคลน์เผลอไปสัมผัสเข้า คาเวทูว่าจึงสัมผัสถึงความพิเศษของออร่าห้วงมิติเหนือสายหมอกได้ทันที และพบว่านี่คือร่างกายอันสมบูรณ์สำหรับแผนการของตน ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าร่างกายสายเลือดเอลฟ์เข้มข้นเสียอีก

……………………