บทที่ 298 เผยความลับ
เมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกคุกคามการเคลื่อนไหวโดยเจตจำนงแห่งกระบี่ เฟิงหมานเทียนก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม เขาถือกุญแจไว้ในมืออย่างระมัดระวังและมองไปที่มันโดยไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวมากเกินจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเฟิงหมานเทียนก็พูดว่า “มันเป็นกุญแจเข้าสู่ ‘เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ’ จริง ๆ เฟิง มาเอามันกลับไป!”
เมื่อกุญแจออกจากมือของเขา เจตจำนงแห่งกระบี่ก็หายไปเช่นกัน ซึ่งในที่สุดเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ข้าได้ให้เจ้าตรวจสอบกุญแจแล้ว แล้วคำตอบของเจ้าล่ะ?” หลิงตู้ฉิงถาม
เฟิงหมานเทียนระงับความตกตะลึงในใจของเขาและพูดด้วยความเคารพว่า “นายน้อยของเราย่อมตกลงกับท่าน”
“แล้วของล่ะอยู่ที่ไหน?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
เฟิงหมานเทียนพูดอย่างเขินอาย “นี่เป็นครั้งแรกของเราในการติดต่อกับท่าน และด้วยปัญหาบางอย่างของทางเราเอง เราจึงไม่กล้าที่จะนำสิ่งของของเรามาที่นี่ เมื่อถึงตอนเวลาที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับใกล้จะเปิด เราจะพานายน้อยของเรามาหาท่าน และในเวลานั้นเราจะมอบสิ่งของทั้งหมดให้กับท่าน”
หลิงตู้ฉิงจ้องไปที่เฟิงหมานเทียน และพูดว่า “พวกเจ้าปล่อยให้ข้ารอจนเนิ่นนานและพอมาวันนี้เจ้ากลับให้คำตอบแบบนี้งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้น หากมีคนอื่นเสนอราคาที่สูงกว่าพวกเจ้า เจ้าจะโทษข้าไม่ได้ที่ขายโอกาสนี้ให้คนอื่น นอกจากนี้เจ้าจะให้วัสดุระดับสวรรค์ประเภทใดแก่ข้า?”
เฟิงหมานเทียนโค้งคำนับเล็กน้อยและพูดว่า “ท่านหลิงโปรดให้โอกาสนี้แก่บุตรชายของนายน้อยของข้าด้วยเถอะ! สำหรับราคาของสิทธิ์ในการเข้านี้ นายน้อยของข้าจะใช้เมล็ดพันธุ์ร่มต้านสวรรค์ ส่วนวัสดุระดับสวรรค์อื่น ๆ พวกมันล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นสูงสุดทั้งนั้น”
เมื่อได้ยินชื่อของร่ม หลิงตู้ฉิงก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “เอาล่ะเนื่องจากมันเป็นเมล็ดพันธุ์ของร่ม ข้าจะมอบที่ว่างให้กับพวกเจ้าก็ได้ แต่ถ้าหากว่าเมล็ดพันธุ์ร่มต้านสวรรค์นี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ข้าจะริบคืนสิทธิ์การเข้าของพวกเจ้าทันที”
เฟิงหมานเทียนรีบพูดว่า “ไม่ มันจะต้องใช้ได้อย่างแน่นอน! เมื่อตอนที่เราได้เมล็ดพันธุ์นั่นมา สภาพของมันนั้นสมบูรณ์แบบ ท่านแน่ใจได้เลยว่าเมล็ดพันธุ์นี้จะสามารถให้กำเนิดร่มที่สมบูรณ์แบบได้อย่างแน่นอน และอีกอย่างหนึ่ง นายน้อยของข้าต้องการฝากลูกของเขาไว้ให้ท่านช่วยดูแลอีกด้วย”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดขึ้นว่า “ข้าขายแค่สิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้เท่านั้น ข้าไม่ได้บอกว่าจะรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ นี่เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าด้วยราคาที่เจ้าจ่ายมาให้ข้าเพียงเท่านี้มันจะเพียงพอกับการต้องให้ข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนของเจ้าด้วย?”
เฟิงหมานเทียนพูดด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ๆ”
“เมื่อครู่เจ้าเข้ามาในหมู่ตึกโดยที่ไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมค่าเข้า แต่เห็นแก่ที่พวกเจ้าเองก็กำลังลำบากต้องหนีหัวซุกหัวซุนและความสัมพันธ์ของเจ้ากับเฟิง ข้าจะละเว้นครั้งนี้ให้เจ้าไปก่อนก็แล้วกัน” หลิงตู้ฉิงเตือน
เฟิงหมานเทียนโค้งคำนับอีกครั้งและพูดว่า “ขอบคุณท่านหลิง นอกจากนี้ข้าต้องขออภัยกับการกระทำของคนกลุ่มของข้าที่ประพฤติตัวหยาบคายกับท่านที่ในทะเลชางหมาง ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะไม่ดูแคลนนายน้อยของเรา”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องนั้นนักหรอก ขอแค่อย่าให้เขามารบกวนข้าต่อจากนี้อีกก็พอ เอาล่ะ เมื่อไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็ออกไปได้แล้ว เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับคงยังไม่เปิดเร็ว ๆ นี้ เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งคนไปติดต่อเจ้าและเจ้าจะรู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน” หลิงตู้ฉิงโบกมือส่งสัญญาณให้เฟิงหมานเทียนออกไป
เฟิงหมานเทียนลุกขึ้นยืน เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพูด “นายท่าน ข้าขออนุญาตไปส่งลุงเฟิงสักหน่อยได้ไหม?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าตอบรับ
เมื่อได้รับอนุญาต เสี่ยวเยว่เฟิงลุกขึ้นทันทีและเดินไปส่งเฟิงหมานเทียนออกจากหมู่ตึกหยูอี่ ซึ่งอันที่จริงที่นางต้องการส่งเขาก็เนื่องจากว่านางมีบางอย่างที่ต้องการพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว
“เจ้าจะไม่กลับมาแล้วเหรอ?” เฟิงหมานเทียนมองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงด้วยสีหน้าซับซ้อน “เจ้าจะไปถือสาหาความอะไรกับคนอย่างเหริ่นอี้ฟางให้มันมากมาย”
เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มและตอบกลับ “ลุงเฟิง ตอนนี้ความสัมพันธ์ของข้ากับเขามันร้าวไปแล้ว ฉะนั้นมันคงไม่ดีถ้าข้าจะกลับไป นอกจากนี้ข้า…”
นางมองไปรอบ ๆ และเมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนอื่นอยู่รอบ ๆ นางจึงส่งข้อความทางโทรจิตไปหาเฟิงหมานเทียนอย่างลับ ๆ “ตอนนี้ข้ากำลังติดตามนายท่านเพื่อให้นายท่านช่วยให้เราสามารถกลับไปที่ภูเขาฟีนิกซ์ได้อีกครั้ง”
เฟิงหมานเทียนส่ายหัว “เจตจำนงของภูเขาฟีนิกซ์จะถูกคนนอกสั่นคลอนได้อย่างไร?”
เสี่ยวเยว่เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “ลุงเฟิงถ้าข้าเป็นนายน้อยหนิง ข้าจะส่งลูกชายของตัวเองมาที่นี่ตอนนี้ให้เร็วที่สุด แต่น่าเสียดายที่พวกท่านทุกคนเอาแต่กังวลเกี่ยวกับวัสดุระดับสวรรค์ จนพวกท่านพลาดโอกาสที่ดีงามที่สุดตรงหน้าไป ข้าล่ะไม่รู้จะพูดอะไรกับพวกท่านจริง ๆ”
เฟิงหมานเทียนขมวดคิ้ว “นี่เจ้ารู้อะไรมางั้นเหรอ?”
เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มและพูดว่า “มีข้อมูลบางอย่างที่ข้าไม่สามารถบอกท่านได้เพราะผลกระทบมันยิ่งใหญ่เกินไป แต่ถ้าท่านเต็มใจที่จะเอ่ยคำสาบานกับสวรรค์ว่าจะไม่บอกใครแม้แต่กับหนิงเฟิง ข้าคงจะบอกท่านได้อย่างหนึ่ง ข้ารู้ว่าหลังจากนี้ท่านต้องกลับไปรายงานกับหนิงเฟิง บางทีเมื่อลุงเฟิงกลับไปแล้วท่านก็ควรลองพยายามเกลี้ยกล่อมให้หนิงเฟิงส่งลูกของเขามาโดยเร็วที่สุด”
ที่ผ่านมาเฟิงหมานเทียนปฏิบัติต่อของนางและน้องของนางค่อนข้างดี และความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเสี่ยวและตระกูลเฟิงก็มีความแน่นแฟ้นกันเป็นอย่างมาก จนถือได้ว่าภายในเมืองเพลิงอมตะพวกเขาคือตระกูลที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด
หลิงตู้ฉิงไม่ได้บอกให้นางเก็บข้อมูลไว้เป็นความลับ ดังนั้นนางจึงสามารถบอกเขาได้ อย่างไรก็ตามนางไม่ต้องการให้คนรอบข้างหนิงเฟิงรู้เกี่ยวกับข้อมูลนี้ เฟิงหมานเทียนขมวดคิ้วและมองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเอ่ยคำสาบานต่อสวรรค์ เขาพูดด้วยรอยยิ้มบูดเบี้ยว “เอาล่ะตอนนี้ เจ้าน่าจะบอกข้าได้แล้วใช่ไหมว่ามันคือข้อมูลแบบไหน?”
เสี่ยวเยว่เฟิงพูดอย่างสุภาพ “ท่านลุงเฟิง ถ้าหนิงเฟิงไม่ฟังคำของท่าน เมื่อท่านกลับไปครั้งนี้ ท่านควรจะระมัดระวังตัวให้มากขึ้นและหยุดทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับหนิงเฟิง! เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ตระกูลเฟิงของท่านจะได้รับความช่วยเหลือจากข้า ท่านอย่าคิดว่าข้ากำลังโอ้อวด เมื่อไหร่ที่นายท่านของข้าพาข้าไปที่ภูเขาฟินิกซ์ เมื่อนั้นข้าจะสามารถกลับไปเข้าร่วมภูเขาฟีนิกซ์ได้ทันที”
เฟิงหมานเทียนพูดอย่างแปลกประหลาด “นี่เจ้าเชื่อเขาเพียงเพราะคำพูดของเขาเฉย ๆ เท่านั้นน่ะเหรอ? หรือว่าเขาได้มอบตราประทับของชนชั้นสูงให้กับเจ้าแล้ว?”
เสี่ยวเยว่เฟิงส่ายหัวและพูดอย่างแปลกประหลาด “ข้าไม่ได้รับตราประทับของชนชั้นสูง แต่ข้าได้รับศาสตร์การบ่มเพาะสุดสูงของชนชั้นสูง คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์!”
ท่าทีของเฟิงหมานเทียนเปลี่ยนไปทันที เนื่องจากความลับเรื่องนี้ใหญ่เกินไป ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะบอกใครได้!
“ลุงเฟิง ต่อให้ก่อนหน้านี้ท่านจะไม่ได้สาบาน แต่ท่านก็ควรรู้ตัวอยู่แล้วใช่ไหมว่าท่านไม่ควรบอกข้อมูลนี้กับใคร ไม่เช่นนั้นความลับนี้จะต้องทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนจะต้องถูกสังหาร!” เสี่ยวเยว่เฟิงเตือน
เฟิงหมานเทียนพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่เขาต้องการพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ที่บินอยู่บนท้องฟ้ากำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาจากระยะไกลลิบ ๆ
เฟิงหมานเทียน ในตอนนี้สามารถสัมผัสแรงกดดันอันหนักหน่วงจากพลังแห่งกฎของสวรรค์และโลกได้อย่างชัดเจน เขาก็ไม่กล้าที่จะรั้งอยู่ต่อไป
“คงได้เวลาที่ข้าต้องขอตัวก่อนล่ะ!” เฟิงหมานเทียนรีบพูด “และเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าแน่นอน ส่วนหนิงเฟิง ข้าจะลองคุยกับเขาดูเรื่องส่งลูกของเขามาหานายของเจ้า แต่ส่วนเขาจะฟังข้าหรือไม่นั่นมันคงเป็นปัญหาของเขา”
หลังจากพูดจบเขาก็จากไปด้วยความเร่งรีบ
เมื่อมองไปยังร่างที่จากไปของเฟิงหมานเทียน เสี่ยวเยว่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
จากนั้นเมื่อนางหันหน้าไปมองกลุ่มคนบนท้องฟ้าและสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรง นางจึงรู้ได้ทันทีว่าคนกลุ่มนี้มีฐานะไม่ธรรมดาแน่นอนและไม่รู้ว่าพวกคนเหล่านี้มาที่นี่เพื่ออะไร
เมื่อไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร นางจึงรีบกลับเข้าไปด้านในหมู่ตึกหยูอี่ทันที
“นายท่าน มีคนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่!” เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพูด
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้ารู้แล้ว แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ตราบใดที่พวกเขาไม่ยั่วโมโหข้ามันก็ไม่เป็นไรหรอก”
เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้าขณะที่นางนึกถึงบทสนทนาของพวกเขา นางถามอย่างสงสัย “นายท่าน ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงถามบรรพบุรุษเฟิงชิงหยางงั้นเหรอ? มันมีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็แค่นึกถึงใครบางคนที่มีปราณกระบี่ที่น่าสนใจมากก็แค่นั้น ข้าเลยถามขึ้นมา”
เสี่ยวเยว่เฟิงมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความงุนงง และในขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างขึ้น จู่ ๆ ก็มีใครบางคนเปล่งเสียงมาจากด้านนอก “ผู้บัญชาการกองทหารอารักขาองค์หญิง เหมาจิ๋น ขอพบท่านหลิง!”