บทที่ 299 องค์หญิงอาณาจักรอี้จิ๋นมาเยือน
ในตอนนี้เมื่อเฟิงชิงหยางถูกพูดถึง หลิงตู้ฉิงก็อดไม่ได้ที่จะเหม่อลอยราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปสู่อดีตอย่างกะทันหัน
ในยุคสงครามที่ร้อนระอุ มีเหตุการณ์อยู่ครั้งหนึ่งที่เขากำลังจะสังหารศัตรู แต่ในช่วงวินาทีนั้นเขากลับสังเกตเห็น ‘ทหารระดับล่าง’ ผู้หนึ่งที่สามารถปลดปล่อยเจตจำนงแห่งกระบี่จนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้
โดยปกติเขาจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด เนื่องจากชีวิตของทหารที่ต่ำต้อยผู้หนึ่งไม่ได้มีค่าแม้แต่ให้เขาชายตามองด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ภาพของการเปล่งประกายเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ทหารผู้นี้ได้สร้างขึ้นมันทำให้เขาค่อนข้างประทับใจและรู้ได้ทันทีว่าเขาได้พบกับอัจฉริยะแห่งกระบี่เข้าให้แล้ว จากนั้นเขาจึงอยู่ให้คำชี้แนะแก่ทหารผู้นี้อยู่เวลานานกว่า 1 เดือน จนกระทั่งการรบจบสิ้น
หลิงตู้ฉิงยังจำช่วงเวลานั้นได้ดี ราวกับมันเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน
“ข้าผู้บัญชาการกองทหารอารักขาองค์หญิง เหมาจิ๋น ขอพบท่านหลิง!” เสียงตะโกนดังมาจากข้างนอกและปลุกทั้งสองคนออกจากภวังค์
เสี่ยวเยว่เฟิงพูดด้วยความประหลาดใจ “ที่แท้ก็เป็นองค์หญิงของอาณาจักรอี้จิ๋นนี่เองที่มา แต่นายท่าน ข้าได้ยินมานานแล้วว่าระดับการบ่มเพาะของนางนั้นได้ไปถึงระดับนักบุญแล้ว นอกจากนี้บรรดาผู้คนยังโจษจันกันว่าความงดงามของนางนั้นไม่เป็นรองผู้ใดเลยในอาณาเขตนภา”
ขณะที่เสี่ยวเยว่เฟิงพูด เปียนเฉียวเฉียวก็วิ่งเข้ามาด้วยความกระวนกระวาย “นายท่านผู้บัญชาการกองทหารอารักขาองค์หญิงได้มาขอเข้าพบกับท่าน!”
“ให้เขาส่งของมาตามกฎ!” หลิงตู้ฉิงพูดโดยไม่มีร่องรอยของความสุภาพ
เปียนเฉียวเฉียวจากไปด้วยความลังเล เนื่องจากนางไม่แน่ใจว่าคำตอบแบบนี้จะทำให้ผู้บัญชาการทหารข้างนอกนั่นโกรธหรือไม่
“นางเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญอย่างนั้นเหรอ ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมเมื่อครู่นางถึงต้องจงใจปลดปล่อยกลิ่นอายขอฃนางเองถึงขนาดนั้น” หลิงตู้ฉิงพูดกับเสี่ยวเยว่เฟิง
“นายท่าน ข้าคิดว่าผู้ที่มาหาเราตอนนี้น่าจะไม่ใช่คนที่อารมณ์เย็นสักเท่าไหร่ และที่นี่คือดินแดนของอาณาจักรอี้จิ๋น ซึ่งมันเป็นถิ่นของพวกเขา ฉะนั้นท่านต้องระวังไว้บ้างก็คงจะดี!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญ การบ่มเพาะของนางไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ฝั่งตรงข้ามไม่จำเป็นต้องใช้อาณาเขตสวรรค์ด้วยซ้ำ เพียงแค่ฝั่งตรงข้ามปลดปล่อยกลิ่นอายของตัวเองออกมานางก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างไม่แยแสว่า “อย่ากังวล ฝั่งตรงข้ามเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญเท่านั้นเอง”
จากนั้นไม่นาน ชายวัยกลางคนซึ่งก็คือ เหมาจิ๋นซุนก็ปรากฎตัวอยู่ต่อหน้าหลิงตู้ฉิง
“คารวะ ท่านหลิง!” เหมาจิ๋นซุนยิ้ม
“ท่านมาที่นี่มีเรื่องอะไร?” หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้ว
เหมาจิ๋นซุนยิ้มและพูดว่า “เนื่องจากองค์หญิงของข้าได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของท่าน พระนางจึงกระหายอยากทำความรู้จักกับท่านและถ้าหากเป็นไปได้ พระนางต้องการมอบตำแหน่งให้ท่านหลิงมาเป็นแขกของอาณาจักรเรา ตอนนี้องค์หญิงกำลังรอท่านอยู่ที่จวนเจ้าเมืองแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อมาเชิญท่านหลิงให้ไปกับข้า เพื่อพบกับองค์หญิง”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ข้าไม่สนใจที่จะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใคร! นอกจากนี้หากใครต้องการพบข้าก็ให้พวกเขามาที่นี่ ข้าไม่สะดวกที่จะออกจากที่นี่”
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ ท่าทีของเหมาจิ๋นซุนเปลี่ยนไปเป็นบูดบึ้งทันที เขาเตือนหลิงตู้ฉิงทันทีว่า “ข้ารู้ว่าความสามารถของท่านหลิงเป็นที่โจษจันไปทั่ว แต่ถ้าท่านไม่ได้รับการส่งเสริมที่ดีแล้วความสามารถของท่านมันก็ไม่สามารถพัฒนาไปไหนได้ไกลมากนักหรอก ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงของข้ามีตำแหน่งที่สูงส่ง ดังนั้นมันคงไม่เหมาะสมหรอกใช่ไหมที่จะให้พระนางต้องมาพบท่านด้วยตัวเองถึงที่นี่ ท่านว่าจริงไหม?”
ในความเป็นจริง เหมาจิ๋นซุนกำลังสาปแช่งอยู่ในใจ ‘เจ้าก็เป็นแค่อัจฉริยะในเต๋าของอักขระเวทย์ที่ทรงพลังกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง และเต๋าหลอมโอสถของเจ้าก็ใช่ว่าจะเป็นที่หนึ่งของโลกใบนี้ แล้วเจ้ามีสิทธิอะไรให้พวกเราพาองค์หญิงมาพบเจ้าถึงที่พำนักของเจ้ากัน?’
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่เหมาจิ๋นซุน เขาชี้ไปข้างนอกแล้วพูดว่า “ออกไปได้แล้ว และครั้งต่อไปที่เจ้ามาที่นี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องตะโกนเสียงดังโวยวายตอนที่เจ้ามาถึง เจ้าแค่เพียงทำตามกฎที่ประตูแล้วเจ้าก็เข้ามาแบบเงียบ ๆ ก็พอ”
ใบหน้าของเหมาจิ๋นซุน ซึ่งแต่เดิมมีรอยยิ้มตอนนี้มันกลับกลายเป็นเฉยชา
เขาพยักหน้าเล็กน้อย พลางลุกขึ้นยืนและจากไปทันที จากนั้นเขาบินกลับไปยังจวนเจ้าเมือง และขอเข้าเฝ้า สีเป่ยเซียะ ทันที “ฝ่าบาทผู้ใต้บังคับบัญชา เหมาจิ๋น ขอเข้าเฝ้าพระองค์!”
“เข้ามา!” เสียงของสีเป่ยเซียะดังขึ้น
เขาเดินเข้าไปโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองร่างอันงดงามที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เขาก้มศีรษะลงและพูดว่า “ฝ่าบาทโปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ไร้ความสามารถ กระหม่อมไม่สามารถเชิญหลิงตู้ฉิงมาพบท่านที่นี่ได้!”
“เขาพูดว่าอะไรบ้าง?” สีเป่ยเซียะถาม
“เขามันเป็นคนที่ช่างอวดดีและปฏิเสธที่จะฟังคำบัญชาสขององค์หญิง แถมเขายังบังอาจพูดจาหยาบคายด้วยซ้ำ” เหมาจิ๋นซุนที่หมอบอยู่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นตอบกลับด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
“เขาพูดว่าอะไร?” สีเป่ยเซียะถาม
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้าพูด!” เหมาจิ๋นซุนก้มศีรษะต่ำมากขึ้น
สีเป่ยเซียะหัวเราะ “นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนไม่มีความอดทนขนาดนั้นเลยเหรอ เจ้าแค่บอกความจริงกับข้า แล้วข้าจะได้รู้ว่าเขาพูดอะไรกันแน่?”
“เขาบอกว่าให้ฝ่าบาทไปพบกับเขาเอง!” เหมาจิ๋นซุนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
อย่างไรก็ตาม ความโกรธขององค์หญิงที่คาดไว้กลับไม่ปรากฏขึ้น
ในทางตรงกันข้าม สาวใช้ของสีเป่ยเซียะกลับโกรธแทนและกล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาท ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันไปสังหารเขาตอนนี้เลยเถอะ เขามันเป็นแค่เพียงคนสามหาวที่คิดว่าตัวเองดีเลิศที่สุดในกะลาของเขาเท่านั้น ฝ่าบาทเราต้องสั่งสอนคนแบบนี้ให้รู้จักที่ต่ำที่สูงนะเพคะ!”
“ไม่จำเป็น!” สีเป่ยเซียะยิ้ม “อัจฉริยะย่อมมีความภาคภูมิใจในตัวเองเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่แปลก! สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่เพียงขอบเขตประสานทะเลปราณแต่สามารถหลอมโอสถระดับสวรรค์แถมยังสามารถผ่านค่ายกลของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จนได้รับยันต์สั่งสวรรค์มา ฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะหยิ่งผยองอยู่บ้าง และอันที่จริงมันไม่น่าแปลกใจนักหรอกที่เขาจะยืนยันให้ข้าไปพบเขาที่หมู่ตึกหยูอี่ เพราะเมื่อตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ข้าก็ได้ทำการแสดงทัศนคติที่ข้ามีต่อเขาอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นก็ช่างมันเถอะ ในเมื่อข้าอุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่จากเมืองหลวงแล้วมันจะเป็นอะไรไปหากข้าแค่จะต้องไปหาเขาซึ่งอยู่ห่างไปอีกเพียงแค่ไม่เท่าไหร่ เอาล่ะ หยูเอ๋อ เจ้ามากับข้า ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ต้องตามไป รอข้าอยู่ที่นี่!”
สาวใช้ที่อยู่ข้างสีเป่ยเซียะถามอย่างเร่งรีบ “ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าท่านให้เกียรติเขามากไปหน่อยงั้นเหรอ? ทำไมท่านไม่อนุญาตให้ข้าส่งคนไปพาเขามาหาแทนเดี๋ยวนี้เลยล่ะฝ่าบาท?”
สีเป่ยเซียะหัวเราะ “ไม่เป็นไร ข้าเองก็อยากไปดูสถานการณ์ปัจจุบันของหมู่ตึกหยูอี่ด้วย!”
ภายใต้การยืนกรานของสีเป่ยเซียะ คนอื่น ๆ ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อฟัง
ส่วนความปลอดภัยขององค์หญิงนั้น บรรดาองค์รักษ์ของนางทราบดีว่าองค์หญิงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเสียอีก!
ไม่นานหลังจากนั้น สีเป่ยเซียะก็พาหยูเอ๋อไปที่ประตูหมู่ตึกหยูอี่ แต่ในขณะที่สาวใช้กำลังจะอ้าปากตะโกนสั่งให้หลิงตู้ฉิงออกมารับองค์หญิงจากรถม้า สีเป่ยเซียะก็ได้หยุดนางไว้ก่อน
“โปรดแจ้งให้นายของเจ้าทราบว่า ข้า สีเป่ยเซียะ มาเยือน!” สีเป่ยเซียะพูดกับหยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียว
แม้ว่าเด็กสาวทั้งสองจะไม่รู้ว่านี่คือองค์หญิง แต่เมื่อมองจากการแต่งกายของผู้มาเยือนแล้วพวกนางก็เดาได้ว่าผู้ที่มานี้จะต้องมีฐานะไม่ธรรมดาแน่นอน
พวกนางจึงรีบไปแจ้งหลิงตู้ฉิงทันที
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เปียนเฉียวเฉียวก็กลับออกมาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นายท่านของข้าแจ้งว่าพวกท่านสามารถเข้าพบได้ แต่พวกท่านต้องทำตามกฎ”
หยูเอ๋อ เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที และเตรียมพร้อมที่จะพุ่งตัวเข้าไปสั่งสอนบทเรียนให้กับหลิงตู้ฉิง
แต่ก่อนหน้าที่นางจะได้ขยับตัว สีเป่ยเซียะก็ส่งวัสดุระดับสวรรค์ให้เปียนเฉียวเฉียวทันทีด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเปียนเฉียวเฉียวจึงนำทั้งสองคนเข้าไปในสวนด้านหลัง
“องค์หญิงโปรดนั่ง!” เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพูด นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ความสำคัญกับสีเป่ยเซียะ แม้ว่านางจะไม่ให้ความสำคัญกับสถานะองค์หญิงของนาง แต่นางก็ต้องให้ความสำคัญกับนางในฐานะของผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่า
ในเวลาเดียวกัน เปียนเฉียวเฉียวจึงรู้ได้ว่าผู้ที่มาเยือนรอบนี้คือองค์หญิงและผู้ติดตาม ทันใดนั้นนางรู้สึกว่าขาของนางอ่อนแรง จากนั้นนางก็รีบวิ่งออกไป
“พี่จื่อรุ่ย หญิงสาวที่มาหานายท่านรอบนี้คือองค์หญิงของอาณาจักรอี้จิ๋น!” เปียนเฉียวเฉียวพูดอย่างเร่งร้อน หยุนจื่อรุ่ยกลืนน้ำลายและมองไปที่สวนหลังหมู่ตึกหยูอี่อย่างประหม่า