หยดเลือดมังกรไฟโบราณ

แสงสีทองพร่างพราวระเบิดบนท้องฟ้า

ร่างสีทองขนาดใหญ่ก็ทะยานผ่านคลื่นความร้อนสีแดงฉานออกมาราวกับพระพุทธรูปทองคำ ท่าทีดุดันทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากอดมีสีหน้าเปลี่ยนไปไม่ได้ สายตาก็ขรึมลง

นั่นเพราะมู่เฉินไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ จากอักขระชนวนสวรรค์ทั้งห้าชิ้นเลย!

นี่เป็นการโจมตีที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ยังต้องถอย!

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” ปิงซินกับแม่ทัพคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะอุทาน เห็นชัดว่าผลลัพธ์ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้ ชายหนุ่มที่ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามสามารถต้านทานอักขระชนวนสวรรค์ทั้งห้าได้อย่างไร?

“ฮ่าๆ ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้านี่ไม่ธรรมดา” หั่วเม่ยเอ๋อหัวเราะพร้อมกับแววอัศจรรย์ใจฉายในดวงตา เพราะนางสัมผัสได้ว่าร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝนทรงพลังอย่างยิ่ง

ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ร่างมู่เฉินก็ปรากฏอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะอีกครั้งก่อนที่เขาจะกระทืบเท้า ดวงอาทิตย์โชติช่วงตรงหว่างคิ้วของร่างเทห์สวรรค์เจิดจรัสมากขึ้น ประกายระยิบระยับพล่านบนพื้นผิวของมัน

ตู้ม!

ร่างเทพสุริยะพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง ปรากฏเหนือหัวมังกรลาวาในพริบตา อึดใจฝ่ามือระยิบระยับก็ฟาดลงบนหัวมังกรราวกับสายฟ้าฟาด แสงสีทองน่ากลัวกระจายออก

ตึง!

เมื่อแสงสีทองปะทุออก มังกรลาวาก็ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับรอยร้าวสีทองแผ่กระจายบนหัวของมัน ก่อนที่จะระเบิดเสียงดังตูมใหญ่ ลาวาสาดกระเซ็นไปทุกทิศทาง

มู่เฉินยืมพลังทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะ คลื่นหนึ่งตะวันโจมตีสังหารมังกรลาวาหนึ่งตัวในพริบตา

เหตุการณ์ฉับพลันนี้ทำให้ดวงตาจอมยุทธ์จำนวนมากต้องหดเกร็ง พวกเขารู้สึกตะลึงใจกับความเด็ดขาดและเหี้ยมหาญของมู่เฉินนัก ดูเหมือนเขาเองก็รู้ว่าไม่สามารถปล่อยให้มังกรทั้งเก้าปลดปล่อยการโจมตีอย่างไม่มีสิ้นสุดได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขามีร่างเทห์สวรรค์ทรงพลัง ก็ยากที่จะยืนหยัดอยู่จนถึงจุดสุดท้าย

วาบ!

มู่เฉินไม่หยุดเคลื่อนไหวหลังจากสังหารมังกรลาวาได้ตัวหนึ่งด้วยความรวดเร็ว เขาหันหลังกลับพุ่งเข้าใส่มังกรลาวาอีกตัวหนึ่ง

โฮก!

แต่มังกรลาวาที่เหลือก็ฟื้นคืนจากความตะลึงก่อนหน้า แต่ละตัวส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น ขณะกรงเล็บมังกรที่มีลาวาไหลพล่านฉีกผ่านมิติ พุ่งไปที่ร่างใหญ่สีทอง

กรงเล็บมังกรแปดตัวฉีกขาดมิติซัดเข้ามา ความผันผวนของพลังที่น่ากลัว ล้อมกรอบพื้นที่รอบตัวมู่เฉินทำให้หนีไปไหนไม่ได้เลย ทว่ามู่เฉินก็ยังคงมีสีหน้านิ่งสงบ เขาเปลี่ยนตราประทับในมือวูบไหว ดวงอาทิตย์โชติช่วงบนหว่างคิ้วร่างเทพสุริยะก็กระจายแสงเข้มข้นมากกว่าเดิม

เห็นชัดว่าเขาเร้าคลื่นหนึ่งตะวันของทักษะเทห์สวรรค์จนถึงขีดสุดแล้ว

ร่างเทพสุริยะยืนตระหง่านบนท้องฟ้าขณะที่เสาปีศาจปรากฏขึ้นในมือที่กำแน่น รังสีชั่วร้ายและแสงสีทองพวยพุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน เมื่อเสาปีศาจกวัดแกว่ง ลำแสงมากมายก็ระเบิดออก ชนเข้ากับกรงเล็บมังกรทั้งแปด

ตู้ม! ตู้ม!

ความปรวนแปรน่ากลัวราวกับดงพายุพัดอาละวาด ทุกคนอ้าปากค้างมองบนท้องฟ้า แสงสีทองพวยพุ่ง มู่เฉินควบคุมร่างเทพสุริยะเข้าห้ำหั่นกับมังกรทั้งแปดไม่มีกลัวเกรง ยิ่งกว่านั้นพลังโจมตีของเขายังดุดัน เขาไม่ได้สนใจกับการป้องกัน พุ่งเข้าโจมตีจังๆ เท่านั้น

ด้วยวิธีการเช่นนี้ เพียงไม่กี่สิบกระบวนท่า ร่างเทพสุริยะก็ปกคลุมไปด้วยรอยเล็บ ทว่าเมื่อใดที่แสงสีทองส่องประกายผ่าน รอยเล็บก็จะจางหายไป ร่างเทพสุริยะมีพลังป้องกันสูงยิ่งบวกกับการมีร่างข่ายฟ้าทองคำด้วยแล้ว มู่เฉินก็ไม่กลัวการต่อสู้ท้ามฤตยูเช่นนี้

บนท้องฟ้าร่างเทห์สวรรค์กับมังกรลาวาแปดตัวโรมรันพันตู การต่อสู้ท้ามฤตยูนี้ทำให้หนังตาของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนที่มองอยู่ถึงกับกระตุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิธีการต่อสู้ดุดันของมู่เฉิน ทำเอาริมฝีปากของพวกเขากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ แม้ชายคนนี้จะอ่อนวัย แต่เขาก็ดุดันยิ่งกว่าใครในที่นี้

การต่อสู้บ้าคลั่งบนท้องฟ้าดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาเพียงสิบนาที ทว่าก็มีมังกรลาวาสี่ตัวถูกทำลายด้วยเสาปีศาจแล้ว แน่นอนว่ามู่เฉินก็ได้จ่ายราคาแพงระยับกับการดวลนี้ รอยเล็บข่วนลึกอยู่บนอกของร่างเทพสุริยะโดยมีลาวาแผดเผาไหลเวียน ซึ่งทำให้ร่างเทพสุริยะที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษายังยากที่จะฟื้นตัวได้ในเวลาสั้นๆ

ตอนนี้เหลือมังกรลาวาสามตัวอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น

“น่าเกรงขามจริงๆ” จอมยุทธ์จำนวนมากอุทานด้วยความชื่นชม

หั่วเม่ยเอ๋อ ปิงซินและคนอื่นต่างส่ายหน้าเบาๆ

“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะไม่มีโอกาสฝ่าค่ายกลออกมาได้แน่” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเรียบขณะมองภาพนี้ด้วยอาการสงบ

พอได้ยินคำพูดของนาง ใบหน้าของจิ่วโยวก็เปลี่ยนไป นางไม่คุ้นเคยกับค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าใจในคำพูดของมั่นถัวหลัวได้

มั่นถัวหลัวไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ เพราะตอนนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในค่ายกล ลาวาม้วนตัวขณะที่เสาลาวาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าตามด้วยเสียงมังกรคำราม กรงเล็บแหลมคมพุ่งออกมาจากลาวา เผยให้เห็นร่างดุร้าย มังกรลาวาอีกหกตัวปรากฏขึ้นแล้ว!

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้มังกรกลับมาเป็นเก้าตัวเช่นเดิม การต่อสู้หนักหน่วงก่อนหน้าของมู่เฉินเท่ากับเป็นเรื่องเสียเปล่าซะแล้ว!

เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว ไม่เพียงมู่เฉินจะมีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่เหล่าจอมยุทธ์ที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงก็ยังต้องดวงตาหดเกร็งลง

จอมยุทธ์หลายคนถึงกับงงงวย แต่พวกเขาก็เห็นว่าค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงมีพลังน่าสะพรึงเพียงใด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนี่จึงเป็นบททดสอบของการเป็นแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์

“มันไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ด้วยกำลังหรอก” หั่วเม่ยเอ๋อพึมพำกับตัวเอง

ในลาวา มู่เฉินถึงกับขมวดคิ้วกับภาพตรงหน้า ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายวูบวาบ ดูเหมือนค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงจะไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว แม้ว่ามังกรเก้าตัวจะน่าสะพรึง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำลายค่ายกลได้โดยการกำจัดพวกมัน ท่าทางพวกมันจะกลับคืนมาทบจำนวนไม่ว่าเขาจะทำลายพวกมันกี่ครั้งก็ตาม

ดังนั้นเท่ากับว่าเขาเสียพลังเปล่าประโยชน์

“เป็นอย่างนี้ได้ยังไง?” มู่เฉินหรี่ตาลงมองลาวาสีแดงเบื้องล่าง ความคิดหนึ่งวาบหนึ่งเข้ามา เขาคิดทบทวนคำพูดของมั่นถัวหลัว

‘ตราบใดที่ยังมีลาวาอยู่ มังกรลาวาก็ไม่ตาย’

ตอนแรกมู่เฉินก็นึกสงสัยคำพูดอยู่ในใจ แต่หลังจากลงมือแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่มั่นถัวหลัวพูดนั้นไม่ผิด แต่เขาจะต้องทำลายลาวาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จริงหรือ? แต่นั่นก็ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะที่นี่เชื่อมโยงกับแหล่งกำเนิดไฟที่อยู่ใต้ดิน

มู่เฉินจ้องมองทะเลลาวาสีแดงพร้อมกับแสงสีทองวาบขึ้นในนัยน์ตา เมื่อสักครู่เขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังผิดปกติในส่วนลึกของลาวา

วาบ!

ดวงตาของมู่เฉินเป็นประกาย อึดใจต่อมาก็แตะฝ่าเท้าพุ่งลงไป เขาทะยานเข้าไปหากลุ่มลาวา

โฮก!

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขา มังกรลาวาทั้งเก้าก็ส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดหมายจะขัดขวาง ทว่าแสงสีทองก็ระเบิดออกจากร่างเทพสุริยะพร้อมกับเสาปีศาจกวาดออกมาสกัดพวกมันไว้

วุบ!

ร่างของมู่เฉินพุ่งตรงเข้าสู่ลาวา ทำเอาดวงตาจำนวนมากถึงกับตะลึงงัน ทว่าดวงตาของมั่นถัวหลัว หั่วเม่ยเอ๋อและเหล่าแม่ทัพกลับมีแสงวาบผ่านไป

เมื่อเข้าไปในลาวา มู่เฉินก็มุ่งหน้าไปยังจุดลึกอย่างรวดเร็วขณะที่เพลิงสีม่วงก่อร่างเป็นชั้นป้องกันร่างกายสกัดอุณหภูมิสูงเอาไว้ ส่วนประสาทสัมผัสของเขาก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สิบกว่าอึดใจร่างของเขาก็ชะงักแล้วมองลงไป

ในส่วนลึกมีกลุ่มแสงสีแดงอยู่เก้ากลุ่ม ทุกกลุ่มมีเลือดคล้ายลาวาอยู่หนึ่งหยดราวกับมังกรขดตัวอยู่ภายใน ปล่อยคลื่นพลังแผดเผาน่าตกใจออกมา

นอกจากนี้มังกรไฟพวกนั้นเหมือนจะขดตัวอยู่บนเกล็ดที่ปกคลุมด้วยไฟ มู่เฉินสัมผัสได้ถึงรัศมีสะท้านหัวใจแผ่ออกมาจากเกล็ดพวกนั้นด้วย

“เลือดมังกรไฟโบราณ!”

มองหยดเลือดเก้าหยด ในที่สุดมู่เฉินก็เข้าใจปรุโปร่ง ที่แท้พวกมันได้สร้างมังกรลาวาออกมาไม่หยุดนี่เอง หากเขาไม่ทำลายพวกมัน ก็ไม่สามารถฝ่าค่ายกลนี้ไปได้

แต่ต่อให้เขาหาแหล่งเจอ ก็ไม่ใช่งานง่ายที่จะทะลวงได้ แม้ว่าพวกมันจะเป็นแค่เลือด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าเจ้าของเลือดเหล่านี้น่าสะพรึงขนาดไหนตอนมีชีวิต สิ่งมีชีวิตระดับนั้นคงเป็นที่รู้จักดีในโลกเลยทีเดียว

แต่ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน เขาก็ต้องลองดู

มู่เฉินสูดหายใจลึกขณะที่ค่อยๆ หลับตาลง

ด้านนอกมั่นถัวหลัวโบกมือ หน้าจอแสงก็แสดงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลาวา ภาพของมู่เฉินกับเลือดมังกรไฟโบราณทั้งเก้าหยดฉายอยู่บนนั้น

“ในที่สุดเขาก็หาเจอ” รอยยิ้มสายหนึ่งเผยบนใบหน้าของมั่นถัวหลัวขณะที่เอ่ยต่อ “แต่หยดเลือดถูกปกป้องโดยเกล็ดมังกรไฟโบราณ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายชั้นเกล็ดมังกรหรอกนะ”

จิ่วโยวมีสีหน้าเป็นกังวล มังกรไฟโบราณคือเทพอสูรอันดับต้นๆ และเจ้าตัวนี้จะต้องมีพลังสูงจนน่ากลัวตอนที่มีชีวิต ไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่หยดเลือดเก้าหยดและเกล็ดมังกรจะทรงพลังอำนาจมากขนาดนี้

“วางใจเถอะ ตราบใดที่เขาสามารถคว้าหยดเลือดมังกรไฟโบราณมาได้หยดเดียวก็ถือว่าผ่านบททดสอบ ยิ่งกว่านั้นหยดเลือดนั้นก็ยังเป็นรางวัลสำหรับเขาด้วย” มั่นถัวหลัวยิ้มเอ่ยต่อ “ไม่ง่ายที่จะฝ่าปราการป้องกันของเก้าเกล็ดมังกรไปได้ แม้แต่พวกเจ้ายังยากที่จะประสบความสำเร็จ ย้อนไปตอนที่หั่วเม่ยเอ๋อชิงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ นางก็คว้าหยดเลือดมังกรไฟโบราณมาได้สี่หยดเท่านั้น”

“หือ?”

ทันทีที่จบประโยค มั่นถัวหลัวก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจขณะจ้องมองหน้าจอแสงพร้อมกับม่านตาทองคำฉายแววประหลาดใจ บนจอแสงมู่เฉินที่หลับตาก็ลืมตาโพลง นอกจากนี้ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทโดยไม่มีสีขาวแทรกอยู่ในนั้นเลยสักริ้ว ช่างดูราวกับหลุมดำไร้ก้น ทำให้เขาดูพิลึกเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้เมื่อดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว คลื่นพลังหลิงที่ผันผวนออกมาก็แปลกประหลาดไปสุดขีด

เมื่อเห็นภาพนี้ ดวงตาจิ่วโยวก็หดเกร็งทันที อดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง

“นี่มัน…สภาวะฤทัยปีศาจ—คัมภีร์หวูซังซินหมัว?”