ตอนที่ 610 รับตำแหน่งอาจารย์

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ปรากฏว่าตาเฒ่าดื้อรั้นพวกนั้นนำเอายาออกมากองหนึ่ง เมื่อนางมองไปที่ขวดยานั้น มู่เฉียนซีก็รู้ในทันทีว่ามันถูกซื้อมาจากหอหมอปีศาจ

“เจ้าหนู เจ้ารีบบอกข้าทีเถอะว่ายาเม็ดไป๋เทียนหลิงนี้ ทำไมถึงได้หลอมออกมาบริสุทธิ์เช่นนี้ได้ ? และยาเข็มนี้ก็ด้วย ทำไมมันถึงได้ให้ผลเช่นนี้ ทำไมเจ้าถึงปรุงออกมาได้บริสุทธิ์นัก ?”

“แล้วก็…”

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ข้าต้องขอโทษท่านปู่ทั้งหลายด้วย นี่เป็นความลับของหอหมอปีศาจของข้า จะมาบอกผู้อื่นเช่นนี้ เกรงว่าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก”

“เจ้าหนู ถ้าหากว่าเจ้าบอกข้าก็ถือว่าเจ้าสอบผ่านการทดสอบ เจ้าสามารถเข้ามาเป็นอาจารย์ที่สำนักย่อยปรุงยาได้”

“ใช่ ๆ ๆ ขอเพียงเจ้าบอกพวกข้า ก็มาเป็นอาจารย์ได้เลย”

มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “อ้อ เช่นนั้นก็… ได้!”

“ยานี้…”

นี่เป็นเพียงยาส่วนหนึ่งของหอหมอปีศาจเท่านั้น บอกพวกเขาไปก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

อีกทั้งพวกเขานั้นเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาซวนเสีย คงจะไม่ไปแข่งทำกิจการค้าโอสถกับนาง ถ้าหากว่าสามารถทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจไปเป็นแขกของหอหมอปีศาจได้ละก็ เช่นนั้นคงเป็นการดีอย่างที่สุดแล้ว”

ในตอนนี้มู่เฉียนซีไม่ได้คิดเพียงแต่จะขุดเอาเหล่าศิษย์ที่มีความสามารถไปเท่านั้น นางยังมีความคิดที่จะขุดเอาตัวอาจารย์ของที่นี่ไปด้วย ถ้าหากว่าตีนกำแพงของสำนักศึกษาซวนเสียถูกขุดจนว่างเปล่าไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเมื่อตอนที่อาจารย์ใหญ่ผู้ลึกลับกลับมาถึงสำนักศึกษาแล้ว เขาจะบ้าคลั่งหรือไม่

ปรากฏว่ามู่เฉียนซีถูกเหล่าผู้เฒ่าหัวรั้นเหล่านี้รั้งให้อยู่พูดคุยกันในเรื่องโอสถจนถึงยามวิกาล อาจารย์ใหญ่ฉู่ที่รออยู่ด้านนอกก็ต้องรอเสียจนแทบผล็อยหลับไป ไม่กล้าจากไปไหนเลย

ทันใดนั้นกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกพลันม้วนตัวเข้ามา ที่ด้านหน้าของพวกเขาปรากฏเงาร่างสีดำเงาหนึ่งขึ้น บัดนี้จิ่วเยี่ยไม่สบอารมณ์เสียแล้ว เพราะในตอนนี้เขาควรได้นอนกอดซีแล้วหลับไปอย่างสบาย แต่ซีกลับถูกเหล่าตาเฒ่าหัวรั้นพวกนี้รั้งเอาไว้

ฉับพลันทันใดอาจารย์ใหญ่ถูกความเยือกเย็นทำให้ขนลุกขึ้นมาจนผิวเขาเหมือนหนังไก่ต้ม เขากล่าวขึ้นอย่างเคอะเขินว่า “นายท่านจิ่วเยี่ย…”

“หยุดซะ!” จิ่วเยี่ยกล่าวออกมาสองคำด้วยเสียงอันเย็นยะเยือก

อาจารย์ใหญ่ฉู่เป็นผู้ที่อ่านสีหน้าผู้คนได้เก่งกาจ เขารู้ว่าหากตาเฒ่าพวกนั้นยังรั้งเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นเอาไว้อีกละก็ เกรงว่าทุกคนคงไม่ได้อยู่เห็นดวงตะวันของวันรุ่งขึ้นเป็นแน่

— ปัง! ปัง! ปัง! —

อาจารย์ใหญ่เคาะประตู “นี่มันก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้าพอได้แล้ว! ให้คุณชายมู่ซีได้พักผ่อนหน่อยได้ไหมเล่า ?!” “ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมเปิดประตู ข้าจะทำลายรังของเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้เลย!”

“เอ่อ…”

เหล่าผู้อาวุโสที่ดื้อรั้นพลันได้สติกลับคืนมา พวกเขาตกตะลึง ที่ด้านนอกฟ้ามืดลงแล้วหรือ นี่มันถึงเวลาเช่นนี้แล้วจริง ๆ รึ ?!

พวกเขากล่าวอย่างรู้สึกผิด “โอ้! พวกเราพูดคุยกับเจ้ามากเกินไปแล้ว เผลอรั้งเจ้าอยู่จนมืดค่ำเช่นนี้ต้องขออภัยด้วย”

ผู้อาวุโสเหล่านั้นของสำนักย่อยการปรุงยาเป็นกลุ่มคนที่ล้วนแต่หยิ่งทะนง พวกเขาไม่เคยกล่าวคำขอโทษกับผู้ใด

มู่เฉียนซี “ไม่เป็นไร การที่ได้แลกเปลี่ยนกับพวกท่าน ข้าเองก็ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน”

“มิทราบว่าเรื่องที่ข้าจะมาเป็นอาจารย์ที่สำนักย่อยปรุงยา พวกท่านตอบรับหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

“ตอบรับแน่นอน เจ้าสามารถมาเป็นอาจารย์ที่สำนักย่อยของพวกเราได้ นั่นจัดเป็นเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว”

“ใช่แล้ว! ถ้าหากไม่กลัวว่าจะขายหน้าละก็ ข้าเองยังอยากเข้าไปร่วมฟังด้วยเลย” พวกเขานั้นกล่าวออกมาด้วยความอิจฉาตาร้อน

“พรุ่งนี้ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง แค่เจ้ามารายงานตัวก็เพียงพอ”

มู่เฉียนซีพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “อื้ม เช่นนั้นข้าขอลากลับก่อนแล้วกัน”

ทันทีที่มู่เฉียนซีเปิดประตูออกก็ถูกชิงตัวไป ผู้ที่ชิงตัวนางไปนั้นเกิดกลัวว่ามู่เฉียนซีจะถูกรั้งให้อยู่เพื่อถามเรื่องอื่นต่ออีก

ไม่นานนักนางก็ได้กลับมาถึงหอพัก จิ่วเยี่ยผู้รอคอยอยู่นานแล้วไม่รอช้า ประกบจุมพิตอันเร่าร้อน (อีกแล้ว!)

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ “อิ่วเอี้ย อ่อยอ้าก่อนอี้!” (จิ่วเยี่ย ปล่อยข้าก่อนซี่!)

จิ่วเยี่ยจึงได้ถอนจุมพิตออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก เขารอฟังว่านางจะพูดอะไร

มู่เฉียนซีจึงกล่าวต่อ “พรุ่งนี้ข้าจะกลายเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาแล้ว ข้าต้องไปสอนหนังสือ เจ้าสามารถที่จะ…”

“ข้านั้นไม่เหมือนกับเจ้าที่สอนศิษย์เพียงคนเดียวและศิษย์เจ้ายังเชื่อฟังท่านอาจารย์เป็นอย่างดี พรุ่งนี้ข้าจะต้องสอนศิษย์กลุ่มหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว…”

“ซีเป็นศิษย์เชื่อฟังที่ไหนกัน ?” จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซีด้วยแววตาหยอกเย้า

“แล้วข้าไม่เชื่อฟังตรงไหนล่ะ ? ยอมฝึกบำเพ็ญแต่โดยดี ยอมแม้กระทั่ง…”

“ไม่เชื่อฟังเมื่ออยู่ที่นี่” จิ่วเยี่ยชี้ไปที่เตียงนอนของนาง

ใบหน้าของมู่เฉียนซีพลันหม่นคล้ำลง นางกล่าวอะไรไม่ออกทันที

สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาอีกครา เมื่อจิ่วเยี่ยนั้นดูดดื่มจนหนำใจ เขาก็กล่าวขึ้น “ซีต้องไม่ดื้อไม่รั้น ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้าอย่างหนัก”

มู่เฉียนซีเหนื่อยเสียจนใกล้จะฟังสิ่งที่เขากล่าวไม่ชัดเจนแล้ว นางเซเข้าไปกอดเขาอย่างแรง “คนที่ดื้อที่สุดคือเจ้าต่างหาก เข้าใจหรือไม่ ?”

……

อรุณรุ่ง

มู่เฉียนซีลุกขึ้นมาจากเตียง หลังจากที่นางเปลี่ยนโฉมเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้ไปรายงานตัวที่สำนักย่อยการปรุงยา

ชายร่างอ้วนกลมผู้หนึ่งเดินเข้ามากล่าวต้อนรับ “โอ้! เจ้าคืออาจารย์มู่ซีผู้มาใหม่ ข้านั้นเป็นรองอาจารย์ใหญ่ของสำนักย่อยปรุงยา ผู้อาวุโสแต่ละท่านกำชับข้าเอาไว้แล้วว่าให้ข้าจัดการเรื่องกลุ่มศิษย์ใหม่ที่จะเข้าเรียนและเรื่องเวลาในการเล่าเรียนหรือสอนวิชา”

มู่เฉียนซี “เยี่ยม! พาข้าไป”

“เชิญทางนี้เลย” “นี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มห้องเรียนของเจ้า อาจารย์มู่รับเอาไว้ด้วย” รองอาจารย์ใหญ่นำม้วนกระดาษที่ระบุข้อมูลเหล่านั้นยัดใส่มือมู่เฉียนซีเมื่อนางมาถึงประตูห้องเรียน

มู่เฉียนซีผลักประตูให้เปิดออกแล้วก้าวเข้าไปภายใน

เมื่อเห็นแผ่นหลังของ ‘อาจารย์มู่ซี’ แววตารองอาจารย์ใหญ่ส่องประกายแห่งการกลั่นแกล้งออกมา

“เจ้าเด็กน้อยร้านยาเอ๋ย เป็นเพียงเด็กน้อยไร้ชื่อเสียงแต่กลับกล้าที่จะมาเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาของข้า คิดว่าการเป็นอาจารย์นั้นมันง่ายนักรึ ? หึ ๆ อย่าได้คิดว่าเอาพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นอยู่แล้วจะได้การปฏิบัติที่ดีจากข้า ข้ารับรองเลยว่าไม่ถึงสามวันเจ้าจะต้องไสหัวออกไปเองแน่” รองอาจารย์ใหญ่พึมพำกับตนเอง

เมื่อมู่เฉียนซีเปิดประตูเข้าไป ปรากฏว่า…

ในนั้นมีศิษย์เพียงคนเดียวนั่งรออยู่ในห้องศึกษาวิชา

ยังไม่ถึงเวลาเข้าศึกษาวิชาหรือยังไง ? มู่เฉียนซีขมวดคิ้วพลางนั่งลงและเปิดม้วนกระดาษข้อมูลเหล่านั้นออกดู นางพบว่าทั้งห้องศึกษาวิชานี้มีศิษย์ที่จะต้องเข้ามาร่ำเรียนทั้งหมดยี่สิบคน

หลังจากที่นางดูข้อมูลเสร็จ สายตาก็มองไปยังศิษย์ผู้ซึ่งนั่งอยู่ลำพังผู้นั้นอย่างพิจารณา

มู่เฉียนซีถามขึ้น “เจ้า นี่ยังไม่ถึงเวลาเรียนหรอกหรือ ?”

ศิษย์ผู้นั้นก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ยินเสียงของอาจารย์ที่ใสเหมือนดั่งน้ำในบ่อเขาก็ตะลึงงันไป ในใต้หล้านี้มีเสียงที่ไพเราะเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ ?”

“ก่อนที่อาจารย์จะเข้ามาก็เป็นเวลาเรียนแล้วขอรับ”

นางรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหูนัก มู่เฉียนซีเพ่งมองเด็กหนุ่มผู้นั้นก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างที่สุด และนางก็นึกออก นั่นเด็กหนุ่มที่ได้เจอกันตรงจุดแลกค่าพลังวิญญาณมิใช่รึ ?

เด็กหนุ่มผู้นั้นที่ถูกสหายร่วมสำนักศึกษาเรียกว่าคนไร้ความสามารถ แล้วที่นางเกิดความคิดจะมาที่สำนักย่อยปรุงยาแห่งนี้ก็เพราะเคยได้สนทนากับเขา

ทว่าในตอนนี้ นางมิใช่มู่เฉียนซีแต่คือมู่ซี แน่นอนว่าเขาจำนางไม่ได้ อีกอย่าง เขาไม่เคยเงยหน้าขึ้นมาเลย

มู่เฉียนซีถามอีกครั้ง “เจ้าไม่เงยหน้าขึ้นมารึ ? หรือว่าหน้าของอาจารย์นั้นดูไม่ได้ ?”

“ปละ… เปล่า… มิใช่เช่นนั้นขอรับ” เขาตอบอ้อมแอ้ม “ข้าไม่กล้า…”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างใช้อำนาจ “ข้าเป็นอาจารย์ ตอนนี้ข้าขอให้เจ้าเงยหน้าขึ้นมามองข้า จากนั้นก็ตอบคำถามที่ข้ายังสงสัยอีกมากมาย ได้ยินหรือไม่ ?”

เขายังทำเหมือนกับไม่ได้ยิน และยังคงก้มหน้าอยู่เช่นเดิม บัดซบจริง!

มู่เฉียนซีจำต้องเป็นคนเลวสักครั้งหนึ่งแล้ว นางกล่าวยกตนข่มท่าน “นี่ศิษย์ เจ้าไม่ฟังสิ่งที่ข้าพูดเช่นนี้ ระวังข้าผู้เป็นอาจารย์จะไล่เจ้าออกจากห้องนี้ไป!”

คำพูดชั่วร้ายของมู่เฉียนซี ทำให้เด็กหนุ่มผู้นั้นจำต้องยอม เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ สายตาของเขาก็ตกไปที่บนร่างของมู่เฉียนซี

เวลานี้ ทั้งห้องเรียนเงียบสงัดอย่างที่สุด

เขาคิดว่าภายนอก อาจารย์คนใหม่คนนี้คงเป็นคนเสเพลหยิ่งยโส แต่เสียงล่ะ… เขาจะลืมเสียงที่ไพเราะนั้นไปได้อย่างไร

เด็กหนุ่มผู้นี้มีจิตใจบริสุทธิ์ไร้มลทินราวกับดวงวิญญาณบริสุทธิ์ดวงหนึ่ง และดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในความคิดของมู่เฉียนซีดี จึงได้รีบก้มหน้ากลับลงไป