DND.813 – สามบทคำราม
ซือหยูรออยู่แล้วทั้งร่างฉาบไปด้วยสายฟ้า เขากลายเป็นสายฟ้าหนีหายไป เขาข้ามระยะหลายหมื่นลี้ไปถึงอาณาเขตของตำหนัก
เขาเห็นตำหนักแล้วแต่ก็มีสายลมพัดมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด พลังอันแหลมคมกำลังจู่โจมมาที่หัวใจ
ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าเป็นฝีมือใครมันคือผีจ้าวเทวะชั้นกลางที่ไล่ล่าเขา เขารู้ว่าภูติไม่มีทางเทียบความเร็วกับจ้าวเทวะได้ และซือหยูยังสัมผัสได้อีกว่าพลังนี้น่ากลัวมาก มันเป็นพลังที่เขามิอาจรับมือได้
ซือหยูมองไปยังตำหนักที่อยู่ห่างเพียงเอื้อมมือเขาไม่ถอยแต่พลิกมือกลับขว้างมุกครามอำพันออกไป มุกที่มีขนาดเท่าลูกตาขยายขนาดอย่างรวดเร็วและระเบิดร่างของคนข้างหลัง
ฉั่วะ!
เสียงเบาดังมาพร้อมกับสายลมเย็นหลังจากที่พลังถูกมุกบาดาลบดขยี้
“เจ้ามีสมบัติวิเศษแบบนี้ด้วยรึ?”
ผีพูดด้วยความตกใจในภาษามนุษย์เพราะการจู่โจมของเขานั้นมากพอที่จะสังหารภูติอย่างซือหยูเป็นสิบคน!
ซือหยูเรียกมุกบาดาลกลับมาในมือเขาสะบัดแขนเรียกเอาเส้นไหมที่แม้แต่จ้าวเทวะก็สัมผัสไม่ได้ออกมา
แต่ภูติตนนี้มีสัมผัสที่เฉียบคมถึงจะมองไม่เห็น สัญชาตญาณของมันก็สัมผัสได้ถึงอันตราย หมอกทมิฬรอยกายของมันฟุ้งกระจายก่อเป็นปีกบนแผ่นหลัง เมื่อกระพือปีกหนึ่งครั้งก็ถอยไปไกลหนึ่งลี้ในพริบตา และจุดเดิมที่เคยอยู่ก็เกิดรอยแยกมิติอีกด้วย
มิติในจิวโจวนั้นแข็งแรงทนทานยากที่แม้แต่อสูรเนรมิตรจะฉีกกระชาก การจู่โจมของซือหยูได้ทำให้มันหวาดกลัวอย่างมาก
“เจ้าเป็นใคร?ไม่เคยมีคนแบบเจ้าในเขาวิญญาณจรัส”
ผีที่ตกใจพูดอย่างเศร้าหมอง
ซือหยูเข้าใจสิ่งที่มันไม่ได้พูดเขาสงสัย…
อย่างนั้นเองรึ?มันคุ้นเคยกับเขาวิญญาณจรัสและคนที่อยู่ที่นี่สินะ?
ดูเหมือนว่าซือหยูกับจางตี๋เก้อจะคิดไม่ผิดผีตนนี้ซ่อนอยู่ในตำหนักเขาวิญญาณจรัสมานานแล้ว! ด้วยเหตุนี้มันจึงแยกแยะได้จากการมองซือหยูเพียงครั้งเดียว เพราะเขาไม่เคยเผยรูปลักษณ์ของชายหนุ่มมาก่อน
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
ซือหยูแววตาเปลี่ยนไป
จากนั้นเขาดีดนิ้วหลายครั้ง เส้นไหมในมือสะบัดราวกับแส้ สีหน้าของผีเศร้าสร้อย มันหลบอย่างต่อเนื่อง มันหลบได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉั่วะ!
ในตอนนั้นเองแขนเสื้อของมันถูกเส้นไหมตัดขาดจนมันตกใจ ผีที่หวาดกลัวอยู่แล้วงมองตำหนักเขาวิญญาณจรัสที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวของผู้คนแล้ว มันเหลือบมองซือหยูและกัดฟันเลือกที่จะหนี
“เจ้าหนูมันไม่จบแค่นี้แน่!”
หลังพูดจบมันก็หันหลังหนีไป
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
พลังที่แข็งแกร่งของจ้าวเทวะมากมายพุ่งเข้ามาพร้อมกันจ้าวเทวะห้าคนทะยานฟ้าบินมายังจุดที่เกิดการต่อสู้พร้อมกับอสูรแห่งเขาอสูรทั้งสี่
แต่พวกเขามาสายเกินไปไม่มีทางที่พวกเขาจะตามได้ทัน ผีที่ทิ้งระยะห่างแล้วได้แต่หันมามองซือหยูอย่างเย็นชา
“ฝากไว้ก่อนเถอะ…อีกไม่นานข้าจะต้องมาหาเจ้าอีกแน่”
ซือหยูแสยะยิ้ม
“เจ้าจะรอทำไมกันเล่า?ข้าจะให้โอกาสเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
แสงสีแดงฉายผ่านดวงตาพลังมิติพุ่งออกไปล้อมรอบตัวผีอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อนเจ้าทำอะไร?”
สีหน้าของผีเปลี่ยไปและนึกถึงวิชาเดียวกับที่มีคนเคยใช้ช่วยหญิงสาวที่เขาจับตัวมา
เขาอยากจะขัดขืนต่อต้านแต่มันก็สายไปแล้ว มิติเคลื่อนคล้อย เขาปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือตำหนักเขาวิญญาณจรัส
แต่สิ่งที่เขาไม่พอใจที่สุดก็คือเขาถูกส่งมาที่กลางกลุ่มจ้าวเทวะ!ซือหยูมีพลังควบคุมมิติในระดับสูง เขาจึงทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น ซือหยูเพียงแค่โยนมันไปในฝูงหมาป่า!
คนในเขาวิญญาณจรัสตกตะลึงไปชั่วครู่พวกเขาจ้องมองภูติผีด้วยสายตาว่างเปล่า แต่เมื่อพวกเขาได้สติ พวกเขาก็ร่วมมือโจมตีออกไปพร้อมกัน
แม้ว่าผีตนนี้จะแข็งแกร่งมากแต่มันก็มิอาจเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะห้าคนได้ด้วยตัวคนเดียว และจ้าวเทวะห้าคนนี้ยังเป็นจ้าวเทวะชั้นสูงเหมือนมันอีก!
“อ๊ากกก!”
เสียงกรีดร้องดังก้องนภามันกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก
เมื่อโดนรุมทำร้ายมันโมโหจนแทบจะเป็นบ้า ส่วนผู้เฒ่าทั้งห้านั้นดีใจเป็นอย่างมาก
ซือหยูรีบบินไปหาทั้งห้าเขาถือมุกสีครามอำพันด้วยมือหนึ่งข้างขณะที่อีกข้างถือเส้นไหมคมกริบ เขายิ้มบางๆและพูด
“เจ้าทำสิ่งที่น่านับถือยิ่งนักเจ้าเต็มใจเป็นกระสอบทรายด้วยตัวเองเช่นนี้ เจ้ายังช่วยพวกผู้เฒ่าในเขาวิญญาณจรัสให้ได้ฝึกฝนฝีมือ! ข้านับถือความทุ่มเทของเจ้าจริงๆ!”
ภูติผีโกรธจนเริ่มก่นด่าสาปแช่งเพราะเป็นซือหยูที่ยักย้ายมันมาที่กลางวงจ้าวเทวะจนมันตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่ซือหยูยังจะกล้าเยาะเย้ยมันอีก!
“ข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นชิ้นๆ!”
มันแยกเขี้ยวและร้องเสียงแหลม
มันฉีกตัวผ่านทางจ้าวเทวะชั้นต้นสองคนและพุ่งเข้าใส่ซือหยูแต่เมื่อบินฝ่าวงล้อมออกมาก็มีโซ่ปรากฏจากด้านหลังรัดมันเอาไว้
เมื่อหันไปมองก็เห็นชายแก่หน้าเด็กที่ปล่อยโซ่ออกมารัดขา!โซ่นี้พิเศษมาก มันไม่เพียงแต่จะมัดร่าง แต่มันยังกดพลังภูติผีไว้อีกด้วย ชายแก่นี้เองก็เป็นจ้าวเทวะชั้นกลาง!
“ที่แล้วมาเจ้าก่อเรื่องมามากพอแล้ว สุดท้ายเจ้าก็ปรากฏตัวออกมาเอง เตรียมตัวถูกประหารซะเถอะ!”
ชายแก่สะบัดมือภูติผีกระเด็นไปราวกับก้อนหิน มันกระแทกกับภูเขาเบื้องล่างอย่างแรง ภูเขานั้นจมไปทั้งลูก
ผู้เฒ่าทั้งห้ารีบวางค่ายกลขังมันไว้อย่างมั่นคงจากนั้นพวกเขาจึงเริ่มจู่โจมมันด้วยพลังทุกประเภท
ภูติผีได้สร้างควันออกมามันร้องคำรามเมื่อถูกโจมตี ตัวมันมีพลังชีวิตอันน่าทึ่ง ถึงจะถูกล้อมโจมตีอย่างหนัก มันก็ยังไม่ตาย
“อ๊าากกก!จะไม่มีพวกเจ้าซักคนที่มีชีวิตรอด!”
ดูเหมือนว่ามันจะโมโหจัดคลื่นอากาศรุนแรงพุ่งมาจากควัน มันกระจัดกระจายเผยให้เห็นร่างของภูติผีที่สภาพย่ำแย่
และสิ่งที่ทุถกคนเห็นก็คือสัตว์ประหลาดสูงสามเมตรมันมีร่างกายกำยำ ร่างนั้นหนากว่ามนุษย์ แขนขานั้นแข็งแกร่งมาก
มันดูเหมือนกับมนุษย์วานรที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ที่ทำให้คนกลัวแม้ทั้งตัวของมันจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ไม่มีแผลไหนที่ร้ายแรงถึงชีวิต
“คำรามบทแรก…เวหาพัดถ้ำว่าง”
มันอ้าปากปล่อยคลื่นทมิฬที่ทรงพลังออกมามันมีพลังที่ชั่วร้ายและกัดกร่อนได้ทุกสิ่ง
หญิงชราที่เป็นจ้าวเทวะชั้นต้นถูกพลังนั้นซัดเข้าใส่นางตัวสั่น โลหิตไหลออกมาจากจมูก เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ถูกพลังนี้
ชายแก่คนหนึ่งชักสีหน้า
“ใช้ผนึกเทพมันคือสายลมที่จะทำให้พลังชีวิตโกลาหล มีแค่ผนึกเทพที่จะต่อต้านได้”
ผนึกวิเศษปรากฏเหนือศีรษะของจ้าวเทวะทั้งห้ามันดูเหมือนกับวงแหวนตราและมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ไม่เหมือนกัน
ภูติผียิ้มเยาะเมื่อได้เห็น
“ผนึกเทพกระจอกๆจะขัดขวางข้าได้งั้นเรอะ?คำรามบทสอง…ทะลวงทุกทวาร!”
ในตอนนั้นคลื่นอากาศได้กลายเป็นเข็มเหล็กที่บางยิ่งกว่าเส้นผม พวกมันพุ่งเข้าแทงทั้งห้าคน รัศมีแสงจากผนึกเทพที่อยู่บนศีรษะของพวกเขาหยุดเปล่งแสงและแตกสลายไป
“อ๊ากกก!อ๊าา! อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องดังมาจากจ้าวเทวะชั้นต้นทั้งสี่ที่ถูกเข็มเหล็กแทงพลังชีวิตภายในร่างกายของพวกเขาเริ่มปั่นป่วนและอ่อนแอ
“คำรามบทสาม…เงาตามตัว!”
มันหัวเราะอย่างน่าสะอิดสะเอียนเมื่อเข็มที่เต็มฟ้ากลายเป็นเงาจู่โจมชายแก่
ฉั่วะ
สุดท้ายแม้แต่ชายแก่ที่เป็นจ้าวเทวะชั้นกลางก็กระอักเลือดออกมา เพียงสิบลมหายใจ ผู้เฒ่าทั้งห้าคนก็พ่ายแพ้ทั้งหมด
แม้ว่าผู้เฒ่ากับชายแก่จะเป็นจ้าวเทวะชั้นกลางเหมือนกันแต่คนเผ่าภูติผีนั้นมีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว
DND.814 – ซือหยูแสดงพลัง
“ไอ้แก่บัดซบคิดรึว่าข้าจะกลัวเจ้า? ถ้าข้ามาขวางทางข้าก็อย่าหาว่าข้าไร้ปรานี ข้าจะใช้โลหิตพวกเจ้าทุกคนเป็นเครื่องเซ่น!”
มันพูดอย่างเย็นชาและโบกมือดึงตัวผู้เฒ่าที่อยู่ใกล้ที่สุดไปหนึ่งคน
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังจากท้องฟ้า
“เจ้าสนใจโลหิตของคนแก่ด้วยหรือ?เจ้านี่หิวเอาเรื่องเหมือนกันนะ! ทำไมไม่ลองดื่มเลือดตัวเองดูเล่า?”
เมื่อมันเงยหน้าจิตสังหารก็พุ่งทะลักออกจากดวงตา มันกำลังจะพุ่งไปฉีกร่างซือหยูให้เป็นชิ้นๆ
ในตอนนั้นเองแสงสีม่วงประหลาดได้เปล่งประกายจากดวงตาของซือหยู มังกรม่วงบินออกมารัดร่างของภูติผีเอาไว้ มันตกใจมากที่ตัวเองขยับไม่ได้ ราวกับว่ามิติเวลารอบตัวของมันถูกแช่แข็ง
แต่ในสายตาของผู้เฒ่าทั้งห้านั้นดูเหมือนว่าภูติที่บินอยู่ช้าลงไปหลายเท่าซือหยูขว้างมุกบาดาลที่มือซ้าย มุกที่มีน้ำหนักมหาศาลซัดใส่ภูติผีบดขยี้มันลงกับพื้น
ครืน!
ซือหยูขว้างมันลงไปอย่างแรงดังนั้นพลังของมันจึงรุนแรงและรวดเร็วถึงขีดสุด เมื่อมันบดขยี้ไปกับพื้นก็เกิดหลุมขนาดยักษ์ขึ้น และมันยังคงจมลึกลงไปอีก
หลุมลึกลงไปเรื่อยๆจนถึงร้อยเมตรนั่นทำให้พื้นรอบๆเริ่มถล่ม พอถึงตอนนั้นจึงหยุดลง
ตรงจุดนี้คือสนามรบในอดีตหลายส่วนแข็งแกร่งไม่ต่างจากเขาสิบแปดลูก
หลังผ่านไปสามวินาทีภูติผีกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน ร่างกายของมันฉีกขาด กระดูกและเลือดเนื้อกลายเป็นฝุ่นผง เหลือเพียงแค่ร่างกายครึ่งส่วนที่ยังประกบติดกัน
แต่ถึงจะอยู่ในสภาพนี้มันก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ มันตะโกนพร้อมกับเปลี่ยนร่างกายที่เหลือเป็นหมอกพุ่งลงพื้นเพื่อหนี
แต่ในตอนนั้นเองก็มีคนร่อนลงไปหามันเขาโบกมือพร้อมกับมีเส้นไหมที่มองไม่เห็นพุ่งไปตัดคอของมัน!
ร่างกายของมันถูกทำลายครบทุกส่วนแต่ก็มีวิญญาณหนีออกมาด้วยความกลัว และเมื่อหลักจากหนีได้ครึ่งทาง มันก็ตระหนักว่าวิญญาณของมันกำลังถูกดูดกลืน!
มันตะโกนสุดเสียง
“เจ้าเป็นใคร?”
มันไม่เชื่อว่าซือหยูที่เป็นแค่ภูติจะมีสมบัติวิเศษนับไม่ถ้วนและมีวิชาที่น่ากลัวอยู่กับตัวแม้แต่จ้าวเทวะก็ต้องตายถ้าหากต้องสู้กับภูติคนนี้!
แต่สิ่งที่ตอบเขาก็มีเพียงการจ้องมองจากดวงตามันถูกส่งไปยังมิติวิญญาณอันเงียบสงบ หลังสังหาร ซือหยูเรียกมุกบาดาลกลับและมองดูซากศพแหลกเหลวที่เหลืออยู่ แหวนมิติของมันถูกบดขยี้ไปพร้อมกับร่างกาย
ซือหยูหมดหวังอย่างมากถึงมุกบาดาลจะแข็งแกร่ง แต่มันก็บดขยี้ทุกสิ่งแม้แต่สมบัติของศัตรู ซือหยูเสียดายมันจริงๆ
หลังจากสังหารภูติผีเสร็จซือหยูสบายใจขึ้นเล็กน้อย เขาบินขึ้นมาจากหลุมลึก เมื่อบินมาถึงขอบหลุมก็พบกับสายตาหวาดกลัวหลายคู่ที่มองมา
ผู้เฒ่าทั้งห้าอ้าปากค้างความกลัวปรากฏในดวงตาเหล่านั้น พวกเขาเห็นซือหยูสังหารภูติผีที่แข็งแกร่งในไม่กี่กระบวนท่า และซือหยูยังกลืนกินวิญญาณของมันเข้าไปอีก!
วิชาลับต่างๆที่เด็กหนุ่มผมขาวผู้นี้แสดงออกมาไม่ต่างกับสิ่งลี้ลับผู้เฒ่าทั้งห้ารู้สึกกดดันอย่างมากเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเขา
“สหายตัวน้อยขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้าคือใคร? แล้ว…เหตุใดถึงมาปรากฏตัวในเขตแดนของตำหนักโลหิต?”
ผู้เฒ่าที่ใช้โซ่ประสานหมัดให้ซือหยูและปฏิบัติต่อเขาในฐานะเดียวกันแม้ว่าชายหนุ่มผมขาวตรงหน้าจะเป็นแค่ภูติก็ตาม
ซือหยูตกใจกับการแสดงท่าทางเช่นนั้นเขายิ้ม
“ข้าเพียงผ่านทางมาและเห็นผีเร่ร่อนข้ารู้ว่าข้าต้องช่วย ส่วนชื่อของข้า…ข้าชื่อซือหยู”
“ซือหยู….”
ผู้เฒ่าพูดชื่อเขาเบาๆและหันไปมองผู้เฒ่าทั้งสี่ผู้เฒ่าทั้งสี่ส่ายหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า ไม่มีใครเลยที่รู้จักชื่อนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาหายตกตะลึงกับชายหนุ่มผู้นี้เขาที่เป็นแค่ภูติระดับสองเพิ่งจะบดขยี้จ้าวเทวะชั้นกลางอย่างง่ายดาย
มันเหนือจินตนาการอย่างยิ่ง!ในทั้งจิวโจว นอกจากราคาเก้าเขตก็ไม่มีใครอีกแล้วที่ทำเรื่องน่าตกใจแบบนี้ได้!
“ใต้เท้าซือขอบคุณเหลือเกินที่มาช่วยสังหารมันให้พวกข้า ข้ามีนามว่าไป่หยาง ขอขอบคุณแทนผู้เฒ่าคนอื่นๆที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้”
ไป่หยางกล่าว
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
“ผู้เฒ่าไป่ไม่ต้องเจียมตัวเช่นนั้นเป็นเพราะพวกท่านช่วยถ่วงเวลามัน ข้าจึงมีโอกาสสังหารมันได้”
นี่มิใช่คำตอบที่ถ่อมตัวถ้าซือหยูสู้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมีโอกาสสังหารภูติผีตนนี้ แต่เพราะผู้เฒ่าทั้งห้าดึงดูดความสนใจให้ เขาจึงทำได้ ซือหยูคงจะตายไปแล้วหากต้องสู้เพียงคนเดียว!
“ใต้เท้าซือสุภาพเกินไปแล้วข้ากับผู้เฒ่าทั้งสี่ไม่ได้ช่วยเหลือประการใดเลย”
ไป่หยางหัวเราะเบาๆด้วยความละอายใจ
“ใต้เท้าซือใยไม่ไปที่ตำหนักเพื่อเป็นแขกของเราเล่า? หลังเจ้าตำหนักกลับมา เขาจะต้องให้รางวัลท่านอย่างเอื้อเฟื้อแน่นอน”
ซือหยูปฏิเสธคำเชิญ
“ใต้เท้าไป่ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ข้าต้องไปทำเรื่องอื่น ข้าจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้ง”
ซือหยูจึงบินจากไปเมื่อผ่านอสูรทั้งสี่ เขาก็มองและยิ้มเบาๆ อสูรทั้งสี่มองซือหยูที่บินจากไปจนลับสายตา แววตาของพวกเขาแปลกไปอย่างมาก ไป่ชานเหลียงหายใจเข้าลึกและถอนหายใจยาว
“ไม่คิดเลยว่าจะมียอดฝีมือไร้เทียมทานอายุเท่านี้อยู่บนโลก!ข้าอยู่ตำหนักโลหิตมานานเกินไปจนกลายเป็นคนโง่เหมือนกบที่มองฟ้าผ่านรูกะลา!”
ปิงหวูชิงกระชับกระบี่ในมือแน่นด้วยมือขวาที่สั่นระริก
“มีอัจฉริยะอีกคนที่ข้าต้องก้าวข้ามอีกคนแล้ว”
แม้แต่กงซุนหวูซื่อที่มักจะร่าเริงก็เงียบลงไป
“สำนักไหนกันที่ฝึกฝนชายคนนี้?”
เทินเหรินเหยาใบหน้าเคร่งเครียดเขากำหมัดแน่น ถึงพวกเขาทุกคนจะวิปลาส แต่ทุกคนก็หยิ่งยโส พวกเขาต่างคิดว่าตนเป็นยอดฝีมือในขั้นสูงสุด
แต่เมื่อได้เจอชายหนุ่มผมขาวบดขยี้จ้าวเทวะชั้นกลางพวกเขาก็ต้องทึ่งเมื่อได้เห็นตัวตนเช่นนี้อยู่ในจิวโจว!
หลังจากเงียบไปนานเทียนเหรินเหยาพูดขึ้นมา
“นี่…แล้วน้องหยูเซี่ยนล่ะ?พวกเราลืมเขาได้ยังไง? เร็วเข้า! รีบไปตามหากันเถอะ!”
หลังจากไป่หยางกับคนอื่นๆพักหายใจพวกเขาก็มองไปยังทิศทางที่ซือหยูบินหายลับ ไป่หยางพูดออกมา
“ไปกันเถอะเจ้าผีนั่นมาจากภูเขาสิบแปดลูก”
เมื่อไปถึงเขาสิบแปดลูกพวกเขาเจอถ้ำโดยไม่ยากเย็น ส่วนซือหยูนั้นก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลับเป็นคนแก่ เขาไปยืนที่หน้าประตูศิลาบานยักษ์
ที่นี่เป็นห้องลับของภูติผีตนนั้นมันอาจจะยังมีสมบัติอยู่ก็ได้ ซือหยูจะไม่ปล่อยมันทิ้งไว้เฉยๆ!
หลังจากก้าวไปด้านในซือหยูมองรอบๆและจ้องมองแท่นบูชา เขาแตะพื้นด้วยปลายเท้าและบินขึ้นไปมองมันใกล้ๆ
เมื่อเห็นอย่างชักเจนเขาก็เบิกตากว้างขึ้นมาเล็กน้อยเขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ไม่สิ…มันเป็นแค่ผิวหนังภายนอกเท่านั้น!