ตอนที่ 815-816

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.815 – ภูติผู้ส่งสาร
  มันคือผิวหนังของชายแก่ที่ดูอ่อนโยนเขาสวมชุดนักบวช ซือหยูเคยประทับใจเขามาก เขาหาใช่ใครอื่นนอกจากผู้เฒ่าที่แนะนำเขาสิบแปดลูกให้พวกเขา จิวอัง!
  ซือหยูหยิบหยังของเขามาลูบดูมันดูเหมือนกับเปลือกที่เพิ่งจะถูกปอกออกไปเมื่อไม่นาน ยังมีร่องรอยของพลังภูติผีอยู่เลย
  “จางตี๋เก้อเจ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
  ข้อมือซือหยูเปล่งแสงเขาเรียกจางตี๋เก้อออกมา
  หลังจากที่นางยืนข้างๆนางก็หันไปมองหนังมนุษย์ที่มือของซือหยูทันที นางขมวดคิ้ว
  “มันคือหนังปลอมของเผ่าภูติผีพอได้หนังของสิ่งมีชีวิตมา พวกมันจะใช้วิธีพิเศษในการเปลี่ยนให้กลายเป็นหนังที่ภูติผีสวมได้ นั่นจะทำให้มันแปลกกายเป็นสิ่งนั้นได้ด้วย! วิธีนี้หลอกคนได้หลายคน ยากที่ใครอื่นนอกจากภูคิผีจะสัมผัสและรับรู้ได้”
  นางพูดต่อ
  “ในสงครามระหว่างมนุษย์กับภูติผีเมื่อร้อยปีก่อนเผ่ามนุษย์สูญเสียครั้งใหญ่ก็เพราะหนังปลอมนี่ ส่วนพวกภูติผีที่สวมหนังมนุษย์ก็ใช้วิธีนี้ปะปนกับคนเพื่อหาข้อมูลให้เผ่าภูติผี”
  หนังปลอมงั้นหรือ?พวกภูติผีมีพลังแบบนี้ด้วยรึ?
  แต่เมื่อคิดถึงตอนที่จางตี๋เก้อแอบอยู่ท่ามกลางมนุษย์หลอกได้แม้กระทั่งผู้เฒ่าจิวและหนีเข้ามาในกระโจมเทพสวรรค์ เช่นนั้นก็แสดงว่าเผ่าภูติผีมีพรสวรรค์เช่นนั้นจริง
  แกร๊ง!
  ตราตกลงมาจากหนังปลอมเมื่อซือหยูก้มหน้ามองดูก็ตบตราสีเลือดที่มีข้อความ ‘ภูติผู้ส่งสาร’ เขียนเอาไว้ ตรานี้ทำให้ซือหยูรู้สึกคุ้นเคยราวกับได้เจอมาก่อนในที่ใดสักแห่ง
  ฟึ่บ!
  ในตอนนั้นเองแหวนในมือของซือหยูเปล่งแสง ตราโลหิตปรากฏในมือ มันเป็นสีแดงฉานที่ดูราวกับทำมาจากเลือดจริงๆ มันมีคำว่า ‘ภูติผู้ส่งสาร’ เขียนเอาไว้เช่นกัน
  ตราทั้งสองคือตราชนิดเดียวกันความต่างก็คือซือหยูมีตราหมายเลขหนึ่งหมื่น ส่วนตราจากหนังปลอมนี้มีหมายเลขเก้าพัน
  “ตราภูติผู้ส่งสาร!”
  จางตี๋เก้อมองตราทั้งสองในมือซือหยูอย่างไม่เจอสายตา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและโหยหา
  ซือหยูเลิกคิ้ว
  “หืม?เจ้ารู้จักมันสินะ?”
  จางตี๋เก้อมิอาจละสายตาไปจากตราทั้งสองนางรีบพูดอย่างตื่นเต้น
  “ข้าต้องรู้จักอยู่แล้ว!มันคือตราที่สูงสุดในเผ่าข้า! มีแค่ผู้ส่งสารเท่านั้นที่จะได้มัน!”
  “ทางเดี๋ยวที่จะได้ตรานี้มาก็คือการต่อสู้ตราบเท่าที่มีพลังในเผ่าอยู่ที่หมื่นลำดับแรก คนที่ได้รับตราก็จะกลายเป็นภูติผู้ส่งสาร!”
  ซือหยูมองตราสีเลือดในมืออย่างละเอียดเขาถามด้วยความสงสัย
  “ถ้าอย่างนั้นฐานพลังระดับใดกันที่จะได้ตราระดับต่ำที่สุด?”
  “จ้าวเทวะชั้นต้นลำดับระหว่างเก้าพันถึงหนึ่งหมื่นเป็นจ้าวเทวะชั้นต้นทั้งหมด ส่วนที่สูงกว่าเก้าพันก็คือจ้าวเทวะชั้นกลางเป็นอย่างน้อย”
  จางตี๋เก้อเลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้น
  นางอยากจะพูดต่อแต่นางก็หยุดตัวเองและพูดอย่างลังเล
  “นายท่านจะให้…”
  “เอาไปสิ”
  เมื่อได้ฟังคำอธิบายเขาโยนตราทั้งสองให้นางโดยไม่คิดอะไร เพราะสิ่งนั้นไร้ประโยชน์ต่อเขา เขาให้กับจางตี๋เก้อก็ไม่เสียหาย
  จางตี๋เก้อตกใจกับโชคดีที่ไม่ทันตั้งตัว!เผ่าภูติผีนั้นมีอยู่หลายร้อยล้านตน การได้อยู่ในหมื่นลำดับแรกเป็นความใฝ่ฝันของภูติผีทุกตนรวมถึงจางตี๋เก้อ
  ในอดีตนางเป็นเพียงทหารธรรมดาที่ไม่ต่างกับปืนใหญ่ใช้แล้วทิ้ง นางไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านวิกฤติครั้งใหญ่และถูกผนึกอยู่ในก้นบึ้งมังกรของโลกเฉินหลงแล้วนางจะกลายเป็นทาสของซือหยู
  นางยอมรับชะตาไปแล้วแต่ตอนนี้นางเพิ่งจะได้ตราล้ำค่ามาสองชิ้น นางดีใจมาก!
  ถ้าหากนางบ่มเพาะและรับสืบทอดวิชาจากตราทั้งสองพลังของนางก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอน นางอาจจะมีโอกาสได้เป็นจ้าวเทวะ เลื่อนจากภูติสวรรค์มาเป็นราชันย์ภูติ!
  “ขอบคุณนายท่าน”
  จางตี๋เก้อขอบคุณแก่ซือหยู
  ซือหยูโบกมือไม่สนใจ
  “ถ้าเจ้าทำงานอย่างเหมาะสมและซื่อตรงกับข้าเจ้าก็จะได้ประโยชน์เช่นนี้เรื่อยไป”
  จางตี๋เก้อยืนข้างซือหยูอย่างเชื่อฟังซือหยูถอนหายใจมองหนังปลอม ดูเหมือนว่าจิวอังจะตายมานานแล้ว เหลือเพียงเนื้อหนังที่ถูกผีใช้แปลงกายเท่านั้น
  แต่ซือหยูยังคงสับสนในเรื่องบางอย่าง…ภูติผู้ส่งสารควรจะกลับโลกภูติผีไปตั้งแต่ร้อยปีแล้วเหตุใดถึงจู่ๆมาปรากฏตัวตอนนี้? แล้วมันมาจากไหน?
  ซือหยูเริ่มตรวจสอบแท่นบูชาเขาพบสัญลักษณ์ของเผ่าภูติผีมากมายที่เขียนเอาไว้ในค่ายกลรอบแท่น
  ซือหยูสับสนถึงการใช้งานค่ายกลนี้เขาจึงถาม
  “จางตี๋เก้อเจ้าเคยบอกว่าผีอสูรเนรมิตรเท่านั้นที่จะสร้างค่ายกลแบบนี้ได้ มันคือเรื่องจริงสินะ?”
  จางตี๋เก้อพยักหน้า
  “ใช่แล้วนายท่านมีแค่ภูติผู้ส่งสารขอบเขตนั้นเท่านั้นที่จะสลักสัญลักษณ์ค่ายกลขึ้นมาได้ จ้าวเทวะน่ะทำไม่สำเร็จหรอก”
  ซือหยูถามอีกคำถามขณะที่มองหนังปลอมตรงหน้า
  “ภูติผู้ส่งสารที่มีร่างของจิวอังควรจะเป็นอสูรเนรมิตรตอนที่มีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่?เช่นนั้น ทำไมเขาถึงอ่อนแอนัก?”
  ซือหยูที่เคยต่อสู้กับจักรพรรดิโลหิตรู้สึกว่าแม้พลังของภูติผีอสูรเนรมิตรตนนั้นจะฟื้นมาถึงแค่จ้าวเทวะชั้นกลางมันก็น่าจะไม่อ่อนแออย่างที่เห็น จางตี๋เก้อเพียงแค่กระพริบตาเมื่อได้ยินคำถาม นางไม่เข้าใจว่าซือหยูหมายถึงอะไร
  ฟึ่บ!ฟึ่บ!
  ในตอนนั้นเองซือหยูหูกระตุกเมื่อได้ยินเสียง เขายื่นมือคว้าไหล่จางตี๋เก้อและพานางกลับมุกวิญญาณเก้าหยก อสูรทั้งสี่รวมถึงผู้เฒ่าทั้งห้าที่เจออุโมงค์ทางเข้าได้ตามพลังภูติจนมาถึงแท่นบูชา
  “น้องซือ!”
  ไป่ชานเหลียงสบายใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าซือหยูยังมีชีวิตอยู่เขาคิดว่าซือหยูช่วยชีวิตเสวี่ยฉีไม่ได้และตายจากการจู่โจมของผีไปแล้ว
  “เจ้ายังไม่ตาย!”
  ปิงหวูชิงพูด
  ซือหยูไม่ค่อยพอใจกับท่าทางของทั้งสอง
  “ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าผิดหวังนะโชคดีที่มียอดฝีมือหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาช่วยข้าเอาไว้”
  ซือหยูสีหน้าหนักแน่นเยือกเย็นคำพูดอันเรียบเฉยของเขาทำให้ทุกคนหันไปจ้องเป็นตาเดียว
  “นี่เจ้ารีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังที”
  สายตาของผู้เฒ่าที่ใช้โซ่ไป่หยางกระตุกเขาสนใจเรื่องชายหนุ่มผมขาวมาก
  ซือหยูตอบอย่างละเอียด
  “ท่านผู้เฒ่าตอนที่ข้ากำลังจะหาทางช่วยเสวี่ยฉี ข้าก็ถูกผีมันเจอตัวซะก่อน ข้าคิดว่าข้าจะต้องตายแน่นอน แต่ก็มีชายหนุ่มผมขาวผ่านมาช่วยเสวี่ยฉีแล้วนำผีออกไป ข้าไม่รู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น”
  เขานำรอยต่อของทั้งสองเรื่องที่เกิดขึ้นมารวมกันยากที่ทุกคนจะรู้ว่าเขาโกหก ทุกคนต่างผิดหวัง เพราะพวกเขาไม่รู้ถึงตัวตนของชายหนุ่มลึกลับคนนั้นเลย
  “เอาล่ะตอนนี้เจ้าหลบไปได้แล้ว ที่นี่คือจุดที่เสวี่ยฉีถูกจับตัวสินะ?”
  ไป่หยางมองรอบๆ
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่แล้ว…ผีมันอยู่ที่แท่นบูชา…”
  ผู้คนมองแท่นบูชาและสังเกตเห็นหนังมนุษย์อย่างง่ายดายมันเป็นหนังที่พวกเขาคุ้นเคย
  “หนังปลอมเรอะ?”
  ไป่หยางกับผู้เฒ่าอื่นๆรู้จักเรื่องหนังปลอมอยู่แล้ว
  ฟึ่บ!ฟึ่บ!
  ทั้งห้าพุ่งเข้าไปดูราวกับสายฟ้า
  “ไม่ผิดแน่!ตามบันทึกของภูติผีที่เขาวิญญาณจรัสเก็บมา มันคือผนังพิเศษของพวกมัน ข้าไม่รู้เลยว่าจิวอังที่อยู่กับพวกเราหลายปีจะเป็นมัน!”
  ไป่หยางถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า
  จากนั้นสีหน้าของเขาก็เยือกเย็นลง
  “พวกผีถอยออกจากทวีปไปร้อยปีแล้วพวกมันคงไม่กลับมาจิวโจวโดยไม่มีเหตุอันควร ถ้าเราผูกเรื่องที่สำนักน้อยใหญ่เพิ่งจะถูกจู่โจม เช่นนั้นก็แสดงว่าเผ่าภูติผีกำลังเริ่มลงมืออีกครั้ง พวกมันอาจจะบุกพวกเราในอีกไม่นาน!”
  “ใช่แล้วโชคดีที่เจ้าตำหนักกำลังจะมาถึง นางจะได้ตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเอง…”
  หนึ่งในผู้เฒ่ากล่าว
  ในใจซือหยูกับอสูรทั้งสี่สั่นเครือ…เผ่าภูติผีจะมาบุกอีกครั้งรึ?
  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงภัยพิบัติครั้งใหญ่ของเผ่ามนุษย์ก็กำลังจะมาถึง! ถ้าพวกมันบุกมาอีก ถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครที่จะเผชิญหน้ากับราชาภูติผีได้แล้ว!
  บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้ผู้เฒ่าทั้งห้าที่ถูกส่งมาป้องกันที่นี่นำซือหยูกับคนที่เหลือกลับที่พัก
  “เจ้าชื่อซือหยูเซี่ยนใช่หรือไม่?อย่าไปไหน เจ้าตำหนักกำลังจะกลับมา ท่านมีเรื่องจะถามเจ้า”
  ไป่หยางกล่าว
  ซือหยูพยักหน้าและรอกับอสูรทั้งสี่อย่างเงียบๆหลังจากครึ่งชั่วยาม เสวี่ยฉีที่หน้าซีดเผือดก็กลับมา นางอ่อนแอ แต่นางก็ไม่มีบาดแผลบนร่างกาย
  หลังจากได้ยินว่านางกลับมาอย่างปลอดภัยไป่หยางได้มาหาพวกเขาอีกครั้งและถามสิ่งที่เกิดขึ้น
  “ศิษย์พี่เสวี่ยฉียินดีด้วยรอดชีวิตกลับมา”
  ซือหยูยิ้ม
  เสวี่ยฉีหวาดกลัวสถานการณ์อันตรายที่เพิ่งจะได้เจออย่างมากนางได้แต่ฝืนยิ้มตอบ
  “ขอบคุณมากที่เจ้าเป็นห่วง”
  กงซุนหวูซื่อหัวเราะเบาๆ
  “ศิษย์พี่ไม่รู้ว่าพวกเราออกตามหาหลังจากที่ศิษย์พี่หายตัวไปซือหยูเซี่ยนถึงกับเสี่ยงตายตามหา!”
  เสวี่ยฉีหันไปมองซือหยูด้วยความอบอุ่นในใจพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่ซือหยูได้เสี่ยงชีวิตเพื่อนาง ซึ่งในความจริงก็เป็นเพราะเขา นางถึงรอดมาได้
  “ขอบคุณเจ้ามาก”
  เสวี่ยฉีขอบคุณอีกครั้งและมองซือหยูด้วยความซึ้งใจ
  ซือหยูหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจนัก
  “มันไม่ถึงกับที่นางพูดหรอกศิษย์พี่ไม่ต้องคิดมากนัก และข้าก็ยังไม่ได้ตอบแทนที่ศิษย์พี่เตือนข้าเรื่องตระกูลเฉา”
  ในตอนนั้นเองม่านกระโจมเปิดออก ศิษย์พี่สตรีอีกกลุ่มกับคนที่เหลือที่ได้ข่าวพากันมาเยี่ยมเสวี่ยฉี
  “ศิษย์น้องเสวี่ยฉีดีจริงๆที่เจ้ารอดกลับมา”
  นางพยายามจะเอาใจเสวี่ยฉีเช่นเดียวกับอีกสี่คนที่เป็นศิษย์ใน เพราะเสวี่ยฉีนั้นมีฐานะสูงส่งในตำหนักใน
  เสวี่ยฉีเผยรอยยิ้ม
  “ขอบคุณที่เป็นห่วงเป็นเพราะศิษย์น้องซือที่เสี่ยงชีวิตเพื่อข้าจนข้ารอดมาได้”
  ซือหยูเซี่ยนงั้นเรอะ?พวกนางหันไปมองซือหยูพลางคิดในใจ…ศิษย์นอกผู้นี้แตกต่างกับคนทั่วไปจริงๆ
DND.816 – ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าตำหนัก
  นางมองซือหยูอย่างลึกซึ้งและพูดอีกไม่นานก่อนจะยืนขึ้นกล่าวลา
  “ศิษย์น้องเสวี่ยฉีข้าขอตัวก่อน พักผ่อนให้ดีล่ะ”
  หลังพูดจบนางก็นำสี่คนที่เหลือบินจากไป ดูเหมือนว่าพวกนางกำลังจะแข่งกับเวลา
  กงซุนหวูซื่อพูดออกมาทันที
  “พวกนั้นมาเร็วไปเร็วนัก!มีไฟลนก้นอยู่หรือยังไง?”
  ไป่ชานเหลียงนั่งข้างซือหยูและเหลือบมองเขา
  “พวกนั้นไม่ได้มีไฟลนก้นหรอกแต่พวกเขาเสียคนไปสองคน กลุ่มพวกเขามีอยู่เจ็ด เจ้าไม่เห็นหรือว่าหายไปสองคน”
  ไป่ชานเหลียงหันไปมองซือหยูอย่างอดไม่ได้
  “น้องซือเจ้ารู้ไหมว่าสองคนนั้นอยู่ไหน?”
  เมื่อได้ฟังคำถามหลายคนคิดตาม ตอนที่ซือหยูแยกตัวออกไป เขามั่นใจอย่างมาก เขาพูดว่าเขาจะช่วยเสวี่ยฉีได้อย่างแน่นอน ซือหยูถึงกับบอกให้พวกเขาไปเรียกผู้เฒ่ามา
  จากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างที่ซือหยูคิดภูติผีได้ปรากฏตัว! ทุกคนสงสัยเป็นอย่างยิ่ง…นี่เขารู้ทุกอย่างล่วงหน้ารึ? หรือว่าเขาเป็นคนบงการทุกอย่าง?
  และทั้งสองคนที่หายตัวไปนั้นเป็นจ้าวเทวะที่ใกล้ชิดกับตระกูลเฉาพวกเขาหยุดคิดไม่ได้เลยว่าการหายตัวไปของทั้งสองจะไม่เกี่ยวข้องกับซือหยู โดยเฉพาะเมื่อซือหยูทำท่าทางประหลาดๆเช่นนี้!
  “สองคนไหนล่ะ?”
  ซือหยูถามและเบิกตาโพลงเขาทำหน้าสงสัย
  กงซุนหวูซื่อหัวเราะคิดคัก
  “ศิษย์ในสองคนที่อยากจะจัดการเจ้าสองคนเป็นคนที่ตระกูลเฉาส่งมาจัดการ พวกเรารู้เรื่องนี้กันหมดอยู่แล้ว”
  ซือหยูรู้ว่าเหล่าอสูรทั้งสี่พูดอะไรแต่เขาก็แค่ส่ายหน้า
  “ข้าไม่รู้ข้าไม่เห็นสองคนนั้น พวกเขาอาจจะขุดหาสมบัติที่อื่นอยู่ก็ได้”
  อสูรทั้งสี่ไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าซือหยูเป็นคนสังหารไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้ในตอนนี้
  พวกเขาเหลือบมองกันไปมาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ถ้าพวกเขามีหลักฐานถึงความจริง ซือหยูจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่! หากศิษย์นอกอย่างเขาสังหารศิษย์ใน โทษประหารก็คงไม่พอที่จะชดใช้ความผิดนั้น!
  เมื่อม่านแห่งรัตติกาลพ่านพ้นวันต่อมาจึงมาถึง…
  “ซือหยูเซี่ยนไปหาเจ้าตำหนักกับข้า”
  ไป่หยางพูดหลังจากเดินทางมาหาเขา
  เจ้าตำหนักจางกลับมาแล้วรึ?ซือหยูตกใจ…ถ้าอย่างนั้น เจ้าตำหนักม่อเทียนฉวนก็มาที่นี่ด้วยเหมือนกันงั้นหรือ?
  ซือหยูตามไป่หยางไปยังตำหนักวิญญาณจรัสเขาเจอกับเจ้าตำหนักจางที่โถงข้าง ที่นั่นมีผู้เฒ่าทั้งแปดพร้อมกับผู้เฒ่าคนอื่นๆที่เข้ามาต้อนรับเจ้าตำหนักด้วย แต่ม่อเทียนฉวนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่
  จากนั้นเจ้าตำหนักจางได้นั่งในที่นั่งลำดับแรก ถ้าเช่นนั้นม่อเทียนฉวนก็คงไม่มาแน่แล้ว…ม่อเทียนฉวนไม่คิดจะมาจัดการเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้สินะ?
  “ซือหยูเซี่ยนเล่าเรื่องที่เจ้าเจอในถ้ำจนถึงพบที่ซ่อนของมันให้ข้าหน่อยสิ”
  เจ้าตำหนักจางกล่าว
  ซือหยูเล่ารายละเอียดทุกอย่างแม้ส่วนมากจะเป็นเรื่องแต่งก็ตาม เมื่อเล่าจนจบ เหล่าผู้เฒ่าก็ชักสีหน้า
  “ทีนี้บอกพวกเราเรื่องชายหนุ่มผมขาวที”
  เจ้าตำหนักจางเอนกายมาด้านหน้าดูเหมือนว่าเขาจะสนใจเรื่องนี้มากกว่าภูติผีที่ซือหยูเจอ
  ซือหยูตกใจเล็กน้อยแต่เขาก็เล่าเรื่องที่เขาแต่งมาก่อนล่วงหน้า ไม่ว่าจะอย่างไร เขาจะปล่อยให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าชายหนุ่มผมขาวมีส่วนเกี่ยวข้องกับชายแก่ผมสีเทาอย่างเขา!
  หลังจากบอกเรื่องทั้งหมดทุกคนก็เริ่มกระซิบกระซาบต่อกันและปรึกษาหารือ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสงสัยเรื่องชายหนุ่มผมขาว
  “เอาล่ะตอนนี้เจ้าไปพักได้แล้ว”
  เจ้าตำหนักจางกล่าว
  ซือหยูพยักหน้าและออกจากโถงไป
  หลังจากเขาออกไปไป่หยางก็พูดออกมา
  “ท่านเจ้าตำหนักหากท่านเจ้าม่อเทียนฉวนมีเรื่องด่วนในคราสุดท้ายและไม่มาที่ตำหนักวิญญาณจรัส แล้วพวกเราจะจัดการกันอย่างไร?”
  เจ้าตำหนักจางครุ่นคิดเมื่อผ่านไปนานเขาจึงเงยหน้าขึ้นมา
  “อืมข้าไม่รู้ว่าท่านเจ้าตำหนักอยู่ที่ใด ตอนนี้เก็บข่าวไว้ก่อน รอจนกว่าเราจะรู้ว่าท่านเจ้าตำหนักอยู่ที่ไหน แต่อย่างไรก็ต้องให้ความสนใจเรื่องชายหนุ่มผมขาวคนนั้น”
  เหล่าผู้เฒ่าสงสัยในเรื่องนี้ไม่ต่างกันดูเหมือนว่าเรื่องชายหนุ่มผมขาวในสายตาเจ้าตำหนักจางจะสำคัญยิ่งกว่าเรื่องภูติผี
  “ท่านเจ้าตำหนักเด็กผมขาวนั่นมีฐานะพิเศษงั้นรึ?”
  ไป่หยางถาม
  เจ้าตำหนักจางพยักหน้า
  “ใช่ถึงข้าจะไม่แน่ใจว่าเขาเป็นใคร แต่เราต้องระวังตัวให้มาก ข่าวเร็วๆนี้เรื่องฆาตกรที่สังหารองครักษ์แสงกระจ่างที่แข็งแกร่งที่สุดยังไม่ทันถึงหูใครมากนัก แต่จักรพรรดิโลหิตตายแล้ว”
  ครืน!
  เหล่าผู้เฒ่าตกตะลึงราวกับสายฟ้าพันสายซัดใส่จิตใจของพวกเขา
  “จักรพรรดิโลหิตน่ะรึ?หนึ่งในสิบยอดฝีมือของราชาเขตกลางน่ะรึ? เป็นไปไม่ได้! นอกจากราชาสักเขตจะลงมือ ใครกันจะสังหารเขาได้?”
  ผู้เฒ่าคนหนึ่งถามเพราะไม่มีผู้เฒ่าคนใดที่เชื่อข่าวนี้
  เจ้าตำหนักจางพูดอย่างล้ำลึก
  “ข้าก็ไม่เชื่อข่าวนี้ในทีแรกแต่ข่าวส่งตรงมาจากสมาชิกตำหนักในชั้นสูง คนผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ในเขตกลาง เขาเห็นกับตาว่าจักรพรรดิโลหิตถูกตามล่าโดยใครบางคนเป็นพันล้านลี้ เขาถูกตามล่าข้ามเมืองหลายเมืองตลอดทาง มีคนเห็นนับล้าน”
  เจ้าตำหนักจางพูดต่อ
  “จากนั้นก็มีข่าวเรื่องความตายของจักรพรรดิโลหิตจากเขตกลางมันต้องเป็นเรื่องจริง”
  ทุกคนเงียบราวกับเป่าสากจักรพรรดิโลหิตคืออสูรเนรมิตรผู้ที่อยู่ในจุดสุดยอดแห่งจิวโจว มีไม่กี่คนเท่านั้นที่สังหารเขาได้ แต่ยอดฝีมือในยอดฝีมืออย่างเขากลับถูกบางคนไล่ล่าจนตาย! ไม่มีใครอยากจะเชื่อเลย!
  “ท่านเจ้าตำหนักข้าขอถามว่าเป็นฝีมือผู้ใด?”
  ไป่หยางใจสั่นคนที่ตามฆ่าจักรพรรดิโลหิตจะต้องเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานแห่งจิวโจวไม่ผิดแน่!
  เจ้าตำหนักจางกล่าว
  “ข้าไม่รู้แต่ข่าวลือว่าเป็นชายหนุ่มผมขาวที่มีเมฆโลหิตล้อมรอบกาย อาวุธที่เขาใช้คือมุกที่บดขยี้จักรพรรดิโลหิตจนเป็นก้อนเนื้อ!”
  ชายหนุ่มผมขาวกับมุกงั้นรึ?เหล่าผู้เฒ่าชาไปทั้งตัว ภาพของซือหยูปรากฏในใจทันที…นั่นเขาไม่ใช่รึ? แต่ไม่นานพวกเขาก็ส่ายหน้า เพราะความแตกต่างในด้านพลังของทั้งสองนั้นยิ่งใหญ่เกินไป
  “เรื่องเกิดเมื่อสองเดือนก่อนแต่เก็บเป็นความลับไว้ก่อน พวกเจ้ารู้ไว้แต่ห้ามบอกใครอื่น ตอนนี้เลิกประชุมได้”
  เจ้าตำหนักจางกล่าว
  หัวใจของไป่หยางกับผู้เฒ่าอื่นๆสั่นระริกเขารีบถาม
  “ท่านเจ้าตำหนักยังมีอีกหลายเรื่องที่ท่านต้องจัดการ ท่านจะไปที่ใดหรือ?”
  เจ้าตำหนักจางหันไปตอบ
  “ข้าต้องจัดการเรื่องส่วนตัวพวกเจ้ารอข้าก่อน”
  หลังพูดจบเขาก็สาวเท้าเดินออกไปซือหยูที่กลับค่ายมานั้นสีหน้าหม่นหมอง เมื่อไปถึง เขาเห็นว่าปิงหวูชิง เสวี่ยฉี และอีกสามคนกำลังบ่มเพาะพลังอยู่เงียบๆ
  “เจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้เลยรึ?”
  ไป่ชานเหลียงตกใจเขายืนขึ้น
  “ดีล่ะวันนี้เป็นวันสุดท้าย รีบขุดค้นภูเขากันเถอะ! ข้ายังรอเอาทุกคืนอยู่นะ!”
  กงซุนหวูซื่อหัวเราะคิกคัก
  “ใช่แล้วพี่หยูเซี่ยน! พี่ยังติดค้างสมบัติของข้าอยู่นะ!”
  ซือหยูกลับมีสีหน้าประหลาดเขาพูดอย่างลึกล้ำ
  “ถ้าพวกเจ้าไม่หนีตอนนี้พวกเจ้าจะต้องตาย! หนีกันเถอะ! เร็วเข้า!”
  ทั้งห้าตึงเครียดขึ้นมาทันทีพวกเขารู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นสีหน้าของซือหยูในตอนนี้
  “ศิษย์น้องเกิดอะไรขึ้น? เจ้าอธิบายให้พวกเราไม่ได้หรือ?”
  รอยยิ้มของไป่ชานเหลียงหายไปแทนที่ด้วยความเคร่งเครียด
  ปิงหวูชิงถอนหายใจแรง
  “ถ้าเจ้ากล้าหลอกเราข้าจะเอากระบี่ฟันเจ้าให้ขาดสองท่อน!”
  “น้องหยูเซี่ยนรีบบอกมาเร็ว ข้าก็เป็นกังวลเพราะเจ้านะ!”
  เทียนเหรินเหยาเดินมาพูดเห็นได้ง่ายๆว่าพวกเขาหวาดกลัวกับท่าทางของซือหยูในตอนนี้
  ความหวาดกลัวปรากฏในแววตาซือหยูเช่นกัน
  “พวกเรายังกำจัดภูติผีไม่หมดยังมีอีกตนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ ตอนนี้เขาวิญญาณจรัสอันตรายมาก เราต้องรีบหนีไป”
  ผีอีกตนเรอะ?ทั้งห้าชักสีหน้า พวกเขาทุกคนเห็นชะตาของไป่หยางกับอีกสี่คนที่ร่วมมือกันจู่โจมภูติผีตนก่อนแล้วว่าเป็นอย่างไร
  แม้ห้าคนจะร่วมมือกันพวกเขาก็พ่ายแพ้หมดท่า ถ้าหากยอดฝีมือหนุ่มไม่ผ่านมา พวกเขาก็อาจจะเป็นอาหารของมันหมดแล้ว! และตอนนี้ซือหยูยังพูดออกมาอีกว่ายังมีผีอีกตน!
  “ถ้าอย่างนั้นเราควรจะอยู่ที่นี่และไม่หนีไปไหน เราต้องรีบบอกเจ้าตำหนัก! เจ้าตำหนักจางเพิ่งจะกลับมา ถ้ามีเขาอยู่ด้วย พวกเราก็กำจัดมันเหมือนกับตนก่อนได้…”
  เสวี่ยฉีพูดอย่างแปลกใจ
  เพราะซือหยูควรจะคิดเรื่องนี้ได้เป็นคนแรกดังนั้นการหนีจึงเป็นสิ่งที่ไร้ปัญญาที่สุดที่จะทำ เพราะหากเจอภูติผีที่ซ่อนอยู่เมื่อไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตายเร็วขึ้น!
  แต่ตอนนั้นเองซือหยูสีหน้าเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
  “ก็เป็นเพราะเขากลับมาเราถึงต้องหนีเดี๋ยวนี้! นั่นก็เพราะ…เขาเป็นผีที่ซ่อนตัวอยู่! เขาก็เป็นผีที่สวมหนังปลอม!”
  ในที่สุดซือหยูก็พูดความจริงจางตี๋เก้อเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเขา
  เขาคิดมาตลอดว่ารังสีพลังภูติผีที่จางตี๋เก้อสัมผัสได้เป็นของจิวอังแต่เมื่อเขาได้เจอเจ้าตำหนักจางเมื่อครู่ก่อน จางตี๋เก้อก็บอกว่ารังสีพลังเดิมยังคงอยู่ ซือหยูเคยเจอกับผู้เฒ่าคนอื่นๆมาแล้วแต่จางตี๋เก้อก็ไม่ได้เตือน นางเตือนเมื่อเจ้าตำหนักจางกลับมาเท่านั้น
  แค่เรื่องนี้อย่างเดียวก็สรุปได้ทุกอย่างแล้ว!ซือหยูย้อนคิดถึงเหล่าสัญลักษณ์ในค่ายกลต่างๆ และมันคือสิ่งที่มีเพียงแค่อสูรเนรมิตรเท่านั้นที่จะทำได้
  ซือหยูจึงคิดว่าผิวหนังของจิวอังนั้นเป็นหนึ่งในหนังปลอมที่พวกมันมีเขาสงสัยอยู่เล็กๆว่าพวกมันจะต้องมีหนังปลอมที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น…ซึ่งนั่นก็คือหนังปลอมของเจ้าตำหนัก!
  ถ้าพวกเขาไม่หนีตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้วที่จะหนี!
  ไป่ชานเหลียงกับคนอื่นๆยังคงตกตะลึงกับข่าวในตอนนั้นเอง มิติในที่พักได้หยุดนิ่ง ทุกคนติดอยู่ในมิติและขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!
  “ควบคุมมิติ!พลังของอสูรเนรมิตร!”
  เสวี่ยฉีอุทานด้วยความตกตะลึง
  ฟึ่บ!
  สายลมเย็นพัดเข้ามาชายวันกลางคนปรากฏตัวกลางค่ายอย่างกับผี เขายิ้มมุมปากยืนท่ามกลางพวกซือหยู
  “หึหึซือหยูเซี่ยน ทำไมเจ้าถึงอยากจะทำลายแผนการของข้านัก?”
  คนที่พูดก็คือเจ้าตำหนักจาง!
  พวกเขาจำเจ้าตำหนักจางได้ในทันทีแต่ในเบ้าตาของเขามิได้ใช้ตามนุษย์ แต่มันมีเพลิงสีม่วงปะทุอยู่ ร่างของเขาปล่อยพลังที่น่ากลัวออกมา!
  “เจ้าตำหนักจาง!เจ้า…เจ้าเป็นผี!”
  ไป่ชานเหลียงตะโกนด้วยความตกใจ
  ทุกคนที่อยู่ด้วยตกใจเช่นกันหนึ่งในสมาชิกชั้นสูงของตำหนักโลหิต เจ้าตำหนักวิญญาณจรัสผู้ยิ่งใหญ่คือผีที่ปลอมตัวมาโดยตลอด! เรื่องนี้เกินกว่าที่ทุกคนคาดคิด!
  สถานการณ์พลิกฝ่ามือยากที่พวกเขาจะรับความจริงได้ทัน แต่เจ้าตำหนักจางก็ไม่ได้สนใจ เขามองเพียงแค่ซือหยู
  “ข้าชอบคนฉลาดนักถ้าเจ้ายินดี ข้าจะเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นผีอย่างจิวอัง เจ้าคงจะได้เห็นแล้วว่าพลังเพิ่มขึ้นเท่าใดเมื่อกลายเป็นผี เจ้าจะว่าอย่างไร?”
  ซือหยูตากระตุก
  “แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ?”
  เจ้าตำหนักจางส่ายหน้าขณะที่ยังคงยิ้ม
  “เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอีกไม่นานเจ้าก็ตายแล้ว!”
  “แต่ก่อนเจข้าจะตายข้าอยากจะรู้ว่าเจ้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าได้ด้วยวิธีใด”
  ตอนนั้นเองเจ้าตำหนักจากมองข้อมือซือหยู เขาตาเป็นประกาย
  “น่าสนใจนัก…มีพลังของคนเผ่าข้าจากตัวเจ้าเจ้าใช้คนเผ่าข้าเป็นทาสสินะ ไม่แปลกที่เจ้าจะหาจิวอังกับตัวตนของข้าเจอ”
  รอยยิ้มอันเยือกเย็นฉีกออกจากปากเจ้าตำหนักจาง  “แต่สุดท้ายเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าจะมาทำลายแผนการของข้า?”