ตอนที่ 554 แอบปีนขึ้นเตียง / ตอนที่ 555 คุณจูบผมสิ

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 554 แอบปีนขึ้นเตียง

 

 

           ดวงตาแต้มรอยยิ้มของเขาสบตากับไมเคิลพอดี ไมเคิลยิ้มหัวเราะ “ไป๋จิ่ง?”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “อืม ใช่”

 

 

           “ฉันไมเคิลนะ”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะ สายตาวางไว้ที่รองเท้าแตะของเขา “เดาได้แล้ว”

 

 

           ไมเคิลเองก็ไม่ได้รู้สึกอายอะไร เขาเองก็ก้มหน้ามองเท้าของตัวเองแวบหนึ่ง “ซือเหยี่ยนบอกนายเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งลูบจมูกปอยๆ เขานึกถึงคำพูดของซือเหยี่ยน

 

 

           “ไม่ดูรองเท้าแตะที่ใส่อยู่ที่เท้า ที่จริงคนแต่งกายดูดีไร้ศีลธรรมมีถมไป”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าซือเหยี่ยนพูดได้ถูกต้องมากถึงที่สุด

 

 

           เขาเอาแต่ลูบจมูกไม่พูดจา แต่ไมเคิลรู้ความหมายของเขาแล้ว ไมเคิลถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “พลาดเป็นเพื่อนกัน”

 

 

           “เอ่อใช่ ซือเหยี่ยนบอกฉันว่า นายมีอะไรอยากให้ฉันช่วยสืบ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “ฉันอยากให้นายช่วยฉันสืบเรื่องในห้าปีมานี้ทั้งหมดของเซียวเย่ว์”

 

 

           ไมเคิลพยักหน้า “โอเค เดี๋ยวหลังจากนี้นายเอาข้อมูลขั้นต้นของเธอให้ฉัน ฉันจะช่วยนายสืบให้เร็วที่สุด”

 

 

           “ได้ยินซือเหยี่ยนบอกว่า นายดำเนินการได้เร็วมาก”

 

 

           ไมเคิลกะพริบตาปริบๆ “นายวางใจได้ เร็วกว่าที่นายจะจินตนาการไว้ ถึงยังไงฉันก็เป็นมืออาชีพ”

 

 

           ไมเคิลเป็นคนติดตลกมีอารมณ์ขัน ทั้งยังไม่มีมาดอะไร พูดคุยกันแล้วกลับใช้ได้มากทีเดียว

 

 

           อาจจะเป็นเพราะว่าตรงกลางยังมีซือเหยี่ยนอีกคน บรรยากาศระหว่างคนสองคนจึงกลมกลืนกันเป็นพิเศษ

 

 

           พูดคุยกันมาได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ทั้งสองคนถึงได้แยกกัน        

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งลากันกับไมเคิลแล้ว เขากลับมาที่โรงพยาบาลทันที ยื่นมือผลักเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นมั่วไป๋นอนสงบเงียบอยู่บนเตียง เอียงตัวเล็กน้อย หลับได้สงบนิ่งมาก

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น หัวใจของไป๋จิ่งก็อ่อนยวบลงโดยอัตโนมัติ ราวกับว่าไม่ว่าจะทำอะไร ขอเพียงแต่ได้เห็นมั่วไป๋ เขาก็นึกถึงอะไรไม่ออกแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งพลิกมือปิดประตูเบาๆ

 

 

           เขาเบาฝีเท้าเดินมาถึงหน้าเตียงของมั่วไป๋ ในห้องค่อนข้างมืดสลัว แต่มองดูมั่วไป๋แบบนี้กลับมีความเงียบสงบอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           ไป๋จิ่งอยากยื่นมือไปลูบใบหน้าของมั่วไป๋ แต่มือยังไม่ทันได้วางบนใบหน้าของมั่วไป๋ก็เก็บมือกลับเข้าไปแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งลงข้างๆ สักพักหนึ่ง มองดูเวลาแล้ว คิดว่าตอนนี้มั่วไป๋น่าจะยังไม่ตื่นขึ้นมาได้

 

 

           เขายืนขึ้นมา ถอดเสื้อคลุมออกวางลงที่ข้างๆ หลังจากนั้นก็ปีนขึ้นมาอยู่ข้างๆ มั่วไป๋อย่างเบามือเบาเท้า นอนลงไปอย่างระมัดระวัง

 

 

           เตียงคนไข้ไม่ถือว่าใหญ่เท่าไหร่นัก ไป๋จิ่งแทบจะนอนชิดขอบเตียงแล้ว นอนได้ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่

 

 

           แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ไป๋จิ่งก็ยังคงนอนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน

 

 

           เขาเอื้อมมือไปวางบนมือมั่วไป๋ที่ตกอยู่ข้างตัวอย่างแผ่วเบา ทำให้อยู่ในท่าที่กำลังโอบกันอยู่

 

 

           พอลืมตาก็เห็นใบหน้ามั่วไป๋ ไป๋จิ่งเบิกตากว้างมองดูเขาไปอย่างนี้ตลอด

 

 

           เพียงไม่นานไป๋จิ่งยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขารู้สึกว่าโลกใบนี้มีเรื่องบางเรื่องที่มหัศจรรย์อยู่จริงๆ

 

 

           ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน บางทีตัวเขาเองอาจจะคิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ตัวเองชอบคนคนหนึ่งจนในกระดูกก็ยังเป็นคนคนนั้นอยู่ทั้งหมดได้

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ทำอะไรสักอย่าง ทำแค่เพียงมองดูเขาอยู่อย่างนี้ รู้สึกว่าชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความสุข

 

 

           เขาดีใจที่บังเอิญโชคดีมากที่เจอมั่วไป๋อีกครั้งหนึ่งได้ ดีใจมากที่ความผิดพลาดของตัวเองยังไม่ถือว่าไกลเกินไป ยังมีโอกาสเปลี่ยนกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง

 

 

           โชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเขาคือการได้พบมั่วไป๋ และยังได้มีเขาซ้ำใหม่อีกครั้งด้วย

 

 

           ไป๋จิ่งเชิดมุมปากขึ้นเบาๆ ครั้งนี้เขาจับไว้แน่นแล้ว ไม่มีวันจะปล่อยไปได้ตลอดชีวิต

 

 

           ……

 

 

           ยามที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ในห้องก็ยังคงมืดสลัวอยู่เช่นเดิม มั่วไป๋หลับไปจนแยกเวลาได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว

 

 

           เขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็เห็นใบหน้าขนาดขยายใหญ่อยู่ตรงข้าม มั่วไป๋ชะงักงันไปครู่หนึ่ง ไป๋จิ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาถึงไม่รู้เลยสักนิด

 

 

           ไป๋จิ่งอยู่ในท่าโอบเขาเอาไว้ หลับสนิทมาก

 

 

           

 

 

ตอนที่ 555 คุณจูบผมสิ

 

 

           มั่วไป๋กะพริบตาปริบๆ สงบนิ่งลงได้เร็วมาก พอคิดถึงว่าไป๋จิ่งยังไม่ตื่น ตอนนี้ตัวเองลุกขึ้นต้องทำให้ไป๋จิ่งตกใจตื่นขึ้นมามีเสียงอย่างแน่นอน

 

 

           มั่วไป๋คิดดูแล้วก็ล้มเลิกความคิดที่จะลุกจากเตียงไป นอนต่อเป็นเพื่อนไป๋จิ่ง

 

 

           เขานอนอยู่ตรงนั้น ไม่มีความง่วงอะไร เบิกตาพินิจมองไป๋จิ่งโดยละเอียด เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เขาได้มองไป๋จิ่งใกล้ขนาดนี้

 

 

           บอกตามจริง ไป๋จิ่งคนนี้มีเครื่องหน้าตรงเป็นสัดส่วนชัดเจน ให้ความรู้สึกไปทางยุโรปอเมริกา โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น มั่วไป๋ต้านทานไม่ได้แม้แต่น้อย

 

 

           เหมือนกับฟองน้ำก้อนหนึ่งที่ค่อยดึงดูดมั่วไป๋เข้าไปทีละนิด

 

 

           ยามบ่ายที่เงียบสงบ บางครั้งบางคราวก็มีสายลมผัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำผ้าม่านปลิวไสว นำพาแสงแดดสาดส่อง

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มแล้วยิ้มอีก รู้สึกว่าอยู่กับไป๋จิ่งแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็ดีมากๆ เหมือนกัน

 

 

           กินข้าวด้วยกัน พูดคุยอยู่ด้วยกัน ตกกลางคืนก็นอนกอดกันแบบนี้

 

 

           นั่นเป็นชีวิตที่เขาเคยวอนขอมากที่สุด

 

 

           ปัจจุบันนี้ทำได้ทั้งหมดทุกอย่างแล้ว

 

 

           มั่วไป๋คิด ถ้าสมมติตอนนี้เขาตายไป บางทีเขาอาจจะไม่มีอะไรที่ไม่ยินดีแล้ว

 

 

           ……

 

 

           ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ไป๋จิ่งก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

 

 

           พอลืมตาก็เห็นใบหน้าของมั่วไป๋ได้ ไป๋จิ่งยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ

 

 

           อยากจะห่อมั่วไป๋กลับบ้านจริงๆ ปิดประตูลงกลอน ไม่ไปที่ไหน นอนกกกอดเขาไว้สามวันสามคืน

 

 

           หนึ่งชั่วโมงต่อมา มั่วไป๋นอนไม่หลับ เพียงแต่ว่าเบิกตาก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงหลับตาพักผ่อนสักพัก

 

 

           สายตาที่ไป๋จิ่งใช้จ้องเขาชัดเจนเกินไปแล้วจริงๆ เขาหลับตาก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงในแววตานั้น

 

 

           มั่วไป๋แกล้งนอนต่ออีกไม่กี่นาที รู้สึกว่าแสร้งทำต่อไปไม่ลงแล้ว

 

 

           ด้วยเหตุนี้แพรขนตายาวจึงสั่นสะเทือน ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

 

           ไป๋จิ่งเพิ่งจะเตรียมโน้มเข้าไปใกล้จะจูบเขาสักหน่อย ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้จูบก็โดนมั่วไป๋จับได้คาหนังคาเขาเสียก่อน

 

 

           เขาไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าอาย ยกมือขึ้นมาลูบปลายจมูกปอยๆ หัวเราะแหะๆ

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่า เจ้าหมอนี่หนังหนาจนเกินเยียวยาแล้ว

 

 

           เขากะพริบตาปริบๆ มองดูไป๋จิ่งที่ไม่คิดจะปล่อยตัวเองสักทีอยู่นานสองนานแล้ว เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น “นายเตรียมจะกอดฉันไปถึงเมื่อไหร่กัน”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินมั่วไป๋ถามขนาดนี้ก็ยิ่งกอดรัดคนแน่นขึ้นไปอีก เขาส่ายหัวทำตัวกะล่อน “ไม่ปล่อย ตีให้ตายยังไงก็ไม่ปล่อย”

 

 

           ทั้งชีวิตเขาจะไม่ปล่อยมืออีกแล้ว ปล่อยมืออีกเขาก็เป็นควายแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ “นายไม่ปล่อยแล้ว ฉันจะลุกได้ยังไง”

 

 

           ‘นอนกันมาหลายชั่วโมงแล้ว หรือว่ายังอยากจะนอนแบบนี้ต่อไปอีก’

 

 

           ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ จู่ๆ ก็เอ่ยอย่างหน้าไม่อายขึ้นมา “ไม่งั้นคุณจูบผมสิ จูบผมแล้ว ผมก็จะปล่อย”

 

 

           มั่วไป๋ลำบากใจ รู้สึกว่า เจ้าหมอนี่ช่างหน้าไม่อายจริงๆ

 

 

           มองเขาด้วยสีหน้าที่ทำอะไรไม่ได้ “นายอย่าทำตัวกะล่อนจะได้ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว ครั้งนี้เขายังอยากจะเอาคำว่า ‘กะล่อน’ แสดงออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจอยู่ ไป๋จิ่งเชิดตามองเขา “จูบไม่จูบ ไม่จูบไม่ปล่อยมือแล้วนะ”

 

 

           ขณะที่พูดอยู่ มือก็ยังโอบเอวมั่วไป๋ไว้แน่น

 

 

           มั่วไป๋ชักจะว้าวุ่นใจ ไม่ปล่อยมือไม่ได้ ถ้าปล่อยมือก็ต้องจูบเขา…

 

 

           เขาปวดหัวนิดหน่อยแล้ว

 

 

           ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจูบกันมาหลายครั้ง แต่ว่าทุกครั้งไป๋จิ่งเป็นฝ่ายจูบเขาเอง เขายังไม่เคยเป็นฝ่ายจูบไป๋จิ่งเองมาก่อน

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เพียงชั่วขณะก็รู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้

 

 

           ‘ตัวเองไปจูบไป๋จิ่ง’

 

 

           มั่วไป๋เขินอายอยู่ในที

 

 

           ไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่มองมั่วไป๋ด้วยสีหน้ารอคอยเหมือนสุนัขตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกับมั่วไป๋จะยังเห็นหางส่ายดุ๊กดิ๊กอยู่ข้างหลังเขาได้

 

 

           ‘ก็แค่เรื่องที่ต้องพุ่งเข้าไปกอดเขาแล้วขบสักคำไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงเขินอายขนาดนี้ นี่มันอะไรกัน’

 

 

           มั่วไป๋เอาแต่แน่นิ่ง ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ ด้วยความขบขัน “ไม่จูบผมก็ไม่ปล่อยมือแล้วนะ”