บทที่ 252 ดึงดูดความสนใจ
จากป่าแห่งความตายกลับไปที่สำนักเฟิงฮัวก็น่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งเดือน “รู้แล้ว เธอน่าจะต้องใช้เครื่องรางที่อาจารย์เซี่ยให้นางไว้แน่ๆ…” หวู่เสี่ยวเหมยพูดด้วยเสียงต่ำ
เพราะปกติแล้ว เซี่ยเหลียนน่าชอบที่จะเอาเครื่องมือพิเศษล้ำค่ามาอวดเสมอๆ เธอเคยเห็นเครื่องรางเคลื่อนย้ายมาแล้วด้วย
“อย่าพูดถึงนาง ดีที่ครั้งนี้คนที่ส่งไม่ได้อยู่ในระดับสีม่วง เพราะถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราคงแพ้กันหมดแล้ว…” จู้หมิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจแต่ก็รู้สึกขอบคุณมู่เทียน
“ข้าคุยเรื่องนี้กับหลินหนานแล้ว เราควรที่จะผ่านไปอีกด้านของป่าแห่งความตายและไปที่สำนักหลงหยู่ ถ้าเป็นแบบนั้น อย่างน้อยเราก็ยังเลี่ยงอะไรได้บ้าง…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา
“สำนักหลงหยู่งั้นเหรอ?!! แต่เรา…” หวู่เสี่ยวเหมยกัดริมฝีปากและรู้สึกเศร้านิดหน่อย พวกเขาจะเข้าไปที่สำนักหลงหยู่ได้ยังไงกัน
หลินหนานตบไปที่ไหล่ของทุกคน “ไม่ต้องห่วงนะ เราเป็นทีมเดียวกัน งั้นเราก็จะช่วยกันหาวิธี!”
“พักก่อนเถอะ! เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” มู่หรงเสวี่ยพูด
“ข้าจะไปเฝ้ายามเอง แล้วพวกเจ้าก็พักก่อนนะ!” หลินหนานพูด
พวกเขาจะออกไปข้างนอกตอนนี้ไม่ได้ พวกเขาต่างก็ปูหญ้าลงที่พื้นกันแล้วก็หลับ
ในช่วงกลางดึกของคืนนั้น มู่หรงเสวี่ยตื่นขึ้นมาและเห็นว่าหลินหนานนั่งสมาธิอยู่ที่ทางเข้าถ้ำ เธอเดินออกไปและพูดว่า “หลินหนาน เจ้าเข้าไปพักเถอะ ข้าจะเฝ้าคืนที่เหลือต่อเอง ถ้าเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน เดี๋ยวจะไม่ไหวนะ”
“ไม่ เจ้าไปพักเถอะ ข้ายังไม่ง่วง” หลินหนานพูดพร้อมรอยยิ้ม
มู่หรงแตะไปที่ไหล่ของเขาอย่างไม่เห็นด้วย “ถึงแม้เจ้าจะเป็นกัปตันแต่เจ้าจะมาอวดดีแบบนี้ไม่ได้นะ ไปเลย!” เธอเห็นตาของเขาที่เริ่มจะดำคล้ำ
เธอเดินไปนั่งอย่างสบายๆ
ดวงตาของหลินหนานเผยรอยยิ้มแล้วจึงหันเดินกลับเข้าไปพัก นี่ไม่ใช่เวลาที่จะอวดดี เขาเองก็เหนื่อยอยู่หน่อยๆด้วยเหมือนกัน ก่อนที่จะหลับไปเขาก็ยังคิดอยู่ว่า คนแบบนี้แล้วจะไม่ให้เขาสาบานที่จะติดตามด้วยชีวิตได้ยังไง?!!!
หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน จ้าวฉีและจู้หมิงเองก็ตื่นขึ้นมาด้วยและเดินออกไปเห็นมู่เทียนอยู่ที่ทางเข้าถ้ำ ทั้งสามต่างก็ส่งยิ้มให้กัน
ยิ่งพวกเขารู้จักกันมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาถูกลิขิตไว้แล้วให้ได้มาเจอกันและได้กลายเป็นเพื่อนกัน
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกถึงความเศร้าในหัวใจ เธอคิดถึงพ่อแม่และฮวงฟูอี้ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นยังไงบ้าง แต่แล้วก็ต้องพยายามทำหัวใจเข้มแข็งขึ้นมา
หลังจากรุ่งสาง มู่หรงเสวี่ยก็หยิบผลไม้แห่งจิตวิญญาณในระดับพลังที่ต่ำๆออกมาเพื่อให้ทุกคนกินแก้หิว อย่างไรก็ตามพวกเขาหยิบผลไม้ไปแต่ไม่ได้กิน แถมยังทำสีหน้าแบบไม่เต็มใจกันด้วย
“เป็นอะไรเหรอ?! ไม่ชอบกันเหรอ?” มู่หรงกัดผลไม้และถามออกมา
หลินหนานส่ายหน้าและพูดออกมา “ผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่มีระดับพลังที่ต่ำแบบนี้เอาไปขายได้เหรียญคริสตัลหลายสิบเหรียญเลยด้วยเหมือนกัน ข้ากินเนื้อก็ได้ แล้วเก็บผลไม้นี้เอาไว้ขายดีกว่า จะได้เก็บเงินค่าเรียนได้เร็วๆ…”
มู่หรงเสวี่ยหยุดปากที่กำลังกัดผลไม้ และสายตาเธอก็แวบประกายความคิดแล้วจึงอ้าปากและพูดออกมา “ข้ามีผลไม้แบบนี้เยอะเลย ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเรียนนะ”
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่ยอมกิน
เสี่ยวไป๋กำลังกินเงียบๆอย่างมีความสุขอยู่ในถ้ำ
“ทำไมยังไม่กินกันอีกล่ะ…” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่หลินหนานและคนอื่นๆ
“มู่เทียน นี่เป็นของของเจ้า ถึงแม้จะมีเยอะก็ตาม แต่มันก็ต้องมีวันหมด ข้าคืนให้เจ้าจะดีกว่า…” จ้าวฉีส่งผลไม้คืน
มู่หรงเสวี่ยกลอกตาและหยุดพูด เธอรีบโบกมือทันทีแล้วผลไม้แห่งจิตวิญญาณระดับพลังงานต่ำๆก็โผล่มาเต็มไปครึ่งถ้ำ พวกเขาต่างก็ยืนขึ้นมองด้วยความตกตะลึงสุดขีด
ดวงตาของจู้หมิงเบิกกว้าง
“เยอะ…ขนาดนี้เลยเหรอ…” หลินหนานพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ถึงแม้ผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่มีพลังงานต่ำจะไม่ใช่ของหายากเท่าผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่ระดับพลังงานสูงๆ แต่ปริมาณที่มากขนาดนี้ก็ยังน่าตกใจอยู่ดี มีบางคนที่ปลูกผลไม้แห่งจิตวิญญาณพลังงานต่ำแต่มันก็โตช้าอย่างมากและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกลูกทุกปีเหมือนผลไม้ทั่วๆไป ผลไม้พวกนี้ต้องใช้เวลากว่าสิบปีกว่าที่จะเก็บเกี่ยวได้ ดังนั้นมันจึงขายได้ราคาดีมากๆ
“ข้าบอกแล้วไง ว่าข้ามีเยอะ โอ๊ย ยังจะอ้ำอึ้งอะไรกันอีก รีบมากินเร็วสิ…” มู่หรงไม่อยากที่จะพูดแล้ว
หลินหนานพูดอะไรไม่ออกเลย ใครจะไปคิดว่าที่มู่เทียนจะมีเยอะขนาดนี้ พวกเขาก็คิดว่าอย่างมากก็คงแค่ไม่กี่สิบลูก
“เราเข้าใจแล้ว ช่วยเก็บมันไปทีนะ” จ้าวฉีพูดอย่างช่วยไม่ได้ ในตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะมีเถียงกันเรื่องผลไม้แห่งจิตวิญญาณ ซึ่งน่าขำจริงๆ
“เอาไปเลย!” มู่หรงเสวี่ยพูดหลังจากที่กินผลไม้อีกลูก เธอจะต้องการมากแค่ไหนกันเชียว หนึ่งวันข้างนอกเท่ากับ 10 ในมิติลับ เพียงแค่วันเดียวก็มีผลไม้มากมายเติบโตอยู่ข้างในแล้ว และมีมากมายที่หล่นอยู่บนพื้นและกลายไปเป็นปุ๋ย
“ไม่ ไม่ได้! เราจะรับของมีค่าแบบนี้ไม่ได้หรอก…” หลินหนานพูด
มู่หรงเสวี่ยกลอกตา แล้วก็โบกมือ ชั่วพริบตาพวกเขาก็แทบจะไม่เหลือที่ยืน มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจท่าทางประหลาดใจและพูดออกไป “ข้ามีเยอะมากจริงๆ…”
เมื่อเห็นว่าทุกคนยังยืนนิ่ง “ไม่เชื่อหรือไง?” เมื่อพูดจบ มือของเธอก็ยกขึ้นอีกครั้ง
ด้วยความกลัว หลินหนานจึงรีบจับมือของเธอไว้ทันทีแล้วจึงพูดออกมา “พอแล้ว รีบเก็บมันไปก่อนเถอะ อย่าเอาออกมาอีกนะ…” เขาพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มบิดเบี้ยว
“ยอมตั้งแต่แรกก็จบแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่พวกเขา
เพราะงงจนไม่รู้จะต้องทำยังไง หลินหนานจึงไม่พูดอะไรต่อ พวกเขาต่างก็เก็บผลไม้เข้าไปปในกระเป๋ามิติลับ แต่ในหัวใจกลับยิ่งรู้สึกตะลึง มู่เทียนเป็นใครกันแน่ ผลไม้แห่งจิตวิญญาณมากมายขนาดนี้ซื้อไม่ได้ด้วยเงินแน่ๆ
และในหัวใจของพวกเขาต่างก็มีความคิดเดียวกัน คือตัดสินใจแน่วแน่นแล้วที่จะติดตามมู่เทียนและยินดีมอบวิญญาณให้เขา
มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ความคิดของพวกเขาแต่ก็รู้สึกว่าในใจเธอพวกเขาก็เหมือนกับโม่อ้ายลี่ พวกเขาเป็นเพื่อนที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันได้
ที่อีกด้าน ที่สำนักเฟิงฮัว
“ป้ายชีวิตของตาเฒ่าหวู่แตกไปแล้ว มันเป็นไปได้ยังไง?” เซี่ยเต๋าพึมพำออกมาอย่างตกใจ
ผู้ฝึกตนทุกคนจะมีป้ายชีวิตของตัวเอง ป้ายชีวิตของสมาคมทหารรับจ้างจะถูกเก็บไว้ที่สมาคมทหารรับจ้างและดูแลโดยผู้ที่ได้รับมอบหมายพิเศษ ถ้าป้ายชีวิตถูกพบว่าแตก ก็จะเป็นเครื่องบ่งบอกว่าทหารรับจ้างบังเอิญเสียชีวิตในหน้าที่ ถึงแม้เซี่ยจะสั่งงานผ่านทางสมาคมทหารรับจ้างแต่เขากับท่านหวู่ก็สนิทกันอย่างมากด้วย
ท่านหวู่เป็นชายแก่ของสมาคมทหารรับจ้าง เขาเป็นทหารรับจ้างที่ไม่เคยทำงานพลาด อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าเขาจะต้องมาตายในงานครั้งนี้ สมาคมทหารรับจ้างเองก็ประหลาดใจด้วยเหมือนกัน เขาให้ความสนใจกับหลินหนานที่เป็นภารกิจของท่านหวู่เพิ่มมากขึ้นไปอีก ส่วนเรื่องมู่หรงเสวี่ย ไม่มีใครรู้จักตัวตนของเธอ เรื่องนี้สร้างความสนใจให้กับสมาคมทหารรับจ้างเองด้วยเหมือนกัน
“อันที่จริง นี่เป็นเรื่องจำเป็นที่ทางเราจะต้องทำการสืบสวนเรื่องภารกิจของคุณว่ามันจริงหรือเปล่า…” เจ้าหน้าที่ต้อนรับของสมาคมทหารรับจ้างพูด
สีหน้าของเซี่ยเต๋าเย็นชา “หมายความว่ายังไง นี่สงสัยว่าข้าโกหกหรือไง?” พร้อมกันนั้นเขาก็แสดงสีหน้าเหนือกว่าเพราะตัวเองอยู่ในชั้นสูงสุดของระดับสีฟ้า
เจ้าหน้าที่ต้อนรับเริ่มที่จะเหงื่อตกและหน้าซีด อย่างไรก็ตามเพราะศักดิ์ศรีของสมาคมทหารรับจ้างของพวกเขาที่จะไม่ยอมให้ใครปลุกปั่นได้ “นี่จะเป็นศัตรูของทหารรับจ้างเทียนเหวยงั้นหรือ อาจารย์เซี่ย?”
สีหน้าของเซี่ยเต๋าเครียดขึ้นแต่ก็เก็บกดความกดดันเอาไว้และพูดออกมา “ข้าบอกแล้วไง!”
“ขอบคุณ แต่จะต้องปรับเลื่อนระดับภารกิจก่อน จึงจะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้”
“อะไรนะ?! เจ้าต้องเลื่อนระดับภารกิจเป็นระดับ S ก่อนถึงจะจัดการเรื่องเล็กแบบนี้ได้งั้นเหรอ นี่ความสามารถของสมาคมทหารรับจ้างของพวกเจ้ามันต่ำต้อยขนาดนี้เลยเหรอ ข้าไม่มีทางที่จะยอมจ่ายค่าแรงเพิ่มหรอกนะ!” ในทีมมีเด็กหนุ่มอยู่เพียงไม่กี่คนและพวกเขาก็ยังเด็กกันอยู่ด้วย และก็ไม่ได้เก่งที่สุดในสำนัก มีเพียงหลินหนานเท่านั้น นอกนั้นแค่นิ้วเดียวก็สามารถที่จะจัดการได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม สมาคมทหารรับจ้างทำงานพลาดแบบนี้แต่ยังมีหน้ามีขอขึ้นค่าตอบแทนอีก
“อาจารย์เซี่ย เรื่องเล็กที่คุณพูดถึงได้ฆ่าผู้นำของสมาคมทหารรับจ้างของเราไปนะครับ คุณหวู่เป็นอาจารย์ในระดับสีฟ้าเลยนะครับ!”
“อืม! ก็เพราะแบบนั้นไง!!! บางทีในระหว่างทางเขาอาจจะเจอเข้ากับอสูรแห่งจิตวิญญาณในระดับที่สูงกว่าและพ่ายแพ้ให้มันก็ได้”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ทางสมาคมทหารรับจ้างของเราจะส่งคนออกไปสืบสวนเอง ถ้าเหตุการณ์มันเป็นอย่างที่อาจารย์เซี่ยบอก เราก็จะไปปรับระดับภารกิจขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่ อาจารย์เซี่ยจะต้องรับผิดชอบความสูญเสียของสมาคมทหารรับจ้าง!”
“ข้าจะรอดู!” เซี่ยเต๋าพูดอย่างเย็นชา! แล้วจึงเดินออกมา
แต่ในหัวใจเองก็รู้สึกตกใจเช่นกันเด็กหลินหนานนั้นพัฒนาไปอีกแล้วงั้นเหรอ?!! ถึงแม้จะพัฒนาไป แต่ก็ไม่น่าที่จะสู้กับท่านหวู่ได้สิ
“ท่านพ่อ เป็นไงบ้าง?! จัดการเจ้าพวกสารเลวพวกนั้นหมดหรือยัง?” เซี่ยเหลียนน่า ที่ยังนอนอยู่บนเตียงหลังจากที่ฝึกตนเสร็จรีบพยุงตัวเองลุกขึ้นและถามออกไปเมื่อเห็นอาจารย์เซี่ย
เซี่ยเต๋ามองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของลูกสาวและพูดออกมาอย่างปวดใจ “รีบนอนลงก่อน จะลุกขึ้นมาทำไม?”
เขาตามใจลูกสาวคนนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว แม่ของเธอตายไปเพราะอุบัติเหตุหลังจากที่ทิ้งเธอไป ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อฝึกลูกสาวอย่างหนัก โชคดีที่ลูกสาวของเขาไม่ทำให้ผิดหวัง เธอสามารถขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวได้ตั้งแต่อายุยังน้อยและเธอก็เป็นผู้สืบทอดของสำนักเฟิงฮัวด้วย