บทที่ 251 ผู้ชายเหมือนกันจะกลัวอะไร
หลินหนานไม่อยากที่จะเสียเวลาพูดไร้สาระกับมันอีกแล้ว เขาจึงพูดออกไปเพียงแค่ว่า
“ปล่อยมือข้านะไอ้ลูกหมา!! ไม่งั้นเจอดีแน่!” ว้าว เจ้าลูกบอลสีขาวเก็บมือสั้นๆของตัวเองไปและไม่กล้าที่จะแตะหลินหนานอีก
หลินหนานอุ้มเจ้าลูกบอลสีขาวไปไว้อีกด้านและพูดกับจ้าวฉีว่า “เฝ้ามันไว้!”
จ้าวฉีอุ้มเสี่ยวไป๋ไว้และพยายามที่จะจับแขนที่กำลังขัดขืนของมันด้วย
หลินหนานไม่สนใจเสี่ยวไป๋อีกแล้ว เขาหันกลับมาและอยากที่จะถอดเสื้อผ้าของมู่เทียน ที่ร่างกายเขามีแผลอยู่มากมาย ดังนั้นพวกเขาะต้องรีบรักษาแผลพวกนี้อย่างเร็วที่สุด เสี่ยวไป๋รีบพ่นลูกบอลไฟเล็กๆออกมาซึ่งไหม้หลังของหลินหนานทันที
หลินหนานรู้สึกได้ถึงความร้อนที่หลัง เขารีบใช้บอลน้ำเพื่อดับไฟทันที โชคดีที่เจ้าลูกบอลสีขาวไม่ได้มีพลังอะไรมากมาย มันจึงทำได้แค่ลูกบอลไฟเล็กๆ
“นี่เจ้าจะทำอะไรเนี่ย?! นี่มู่เทียนใช่เจ้านาย เจ้าหรือเปล่า?!! สัตว์เลี้ยงที่ไหนจะนั่งดูเจ้านายตัวเองบาดเจ็บแล้วไม่ยอมให้รักษา…” หลินหนานถอดเสื้อโค้ตซึ่งไหม้เป็นรูใหญ่และรีบเปลี่ยนเป็นชุดอื่น
“พูดสั้นๆนะ ตรงนี้มีผู้หญิงอยู่ด้วย เจ้าตั้งใจที่จะถอดเสื้อผ้าเขา เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่…” เสี่ยวไป๋พูดอย่างไม่พอใจ
“ข้าออกไปก่อนก็ได้นะ!” หวู่เสี่ยวเหมยรีบหันหลังทันที ในตอนนี้เธอกำลังที่จะก้าวเท้าและเดินออกไปข้างนอก
“นั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน!” เจ้าลูกบอลสีขาวพูดออกมา
จู้หมิงที่ตอนนี้กำลังสร้างกำบังที่ทางเข้าถ้ำ “มีเรื่องอะไรเหรอ?! พวกเจ้ากำลังเถียงอะไรกัน?” เขาไม่เข้าใจ
“เจ้าลูกบอลอ้วนนี่ไม่ยอมให้เราทายาให้มู่เทียน ไม่รู้ว่ามันมีเจตนาอะไร!” จ้าวฉีพูด อุ้มเจ้าลูกบอลสีขาวอยู่
จู้หมิงมองไปที่มันด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าก็ไม่น่าที่จะเป็นสายลับได้นะ!” ตอนนี้พวกเขารู้สึกแปลกๆอย่างมาก เจ้าลูกบอลสีขาวดูเหมือนจะไม่ได้เป็นห่วงเรื่องของมู่เทียนเลยสักนิด แม้แต่ตอนที่มีการต่อสู้ ยิ่งพวกเขาเห็นมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นเท่านั้น คนที่เหลือต่างก็มองไปที่เจ้าลูกบอลสีขาวด้วยสายตาเย็นชาราวกับว่ามองเห็นทะลุปรุโปร่ง
เสี่ยวไป๋รู้สึกหนาวไปชั่วขณะทั้งๆที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยไขมัน “นี่…ข้าจะบอกอะไรให้นะ อย่าคิดว่ามู่เทียนสลบ พวกเจ้าจะรังแกข้ายังไงก็ได้ เดี๋ยวอีกไม่นานเขาก็จะฟื้นเอง ข้าจะให้เขาบอกพวกเจ้าเอง…”
หลินหนานส่งสายตาไปที่จู้หมิง หลินหนานพยักหน้า เพียงแค่มองตากันพวกเขาต่างก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เป็นแบบนี้มานานแล้ว
จู้หมิงรีบสร้างค่ายกลเล็กๆขึ้นมาที่พื้นแล้วจึงพยักหน้าไปที่จ้าวฉี
จ้าวฉีไม่สนใจเรื่องการขัดขืนของเจ้าลูกบอลสีขาวอีกแล้วแต่กลับจัดการมันด้วยวิธีที่จำเป็น
“บ้าจริง พวกเจ้ากล้าดียังไงมาขังข้า…”
“ปล่อยนะ…”
“ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก…”
เสี่ยวไป๋ตีไปที่บาร์เรียโปร่งแสงรอบๆตัวมันและพยายามที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณ เขาเปิดมันไม่ได้ บ้าจริง เมื่อระดับการฝึกตนของเขากลับมา เขาจะจัดการเจ้าพวกนี้ให้ไม่เหลือดีเลย
จู่หมิงขมวดคิ้วและใช้พลังมากขึ้นไปอีก จู่ๆเสียงดังโวยวายของเสี่ยวไป๋ก็เงียบหายไปแล้วเขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ
หลินหนานหยิบขี้ผึ้งขึ้นมาอีกครั้งและวางไว้ข้างๆ แล้วเขาก็ค่อยๆถอดเสื้อคลุมของมู่เทียนออก พยายามอย่างระวังเพื่อที่จะไปโดนบาดแผลของมู่เทียน
ทันทีที่เขากำลังจะถอดเสื้อด้านในของมู่เทียนออก
ขนตาของมู่หรงก็เริ่มสั่น ดวงตาสีเข้มคู่สวยค่อยๆเปิดออก เมื่อเห็นท่าทางของหลินหนานในตอนนี้ เธอก็รีบเอามือบังหน้าอกทันทีแล้วลุกขึ้นนั่ง “เจ้าจะทำอะไร?”
เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของมู่เทียนมองมาที่เขา เขาไม่รู้ว่าทำไม หลินหนานรีบปล่อยมือทันทีอย่างเขินๆและพูดออกมา “อย่า…อย่าเข้าใจข้าผิดนะ เจ้าบาดเจ็บ ข้าก็แค่จะช่วยทายาให้เจ้า…” เขาพูด พร้อมเขย่าขวดยาที่อยู่ในมือ
ในตนนี้ เสื้อผ้าครึ่งหนึ่งของมู่เทียนถูกถอดออกไปแล้ว ผมเผ้าของเขาก็ยุ่งเหยิงและผิวที่เปิดเผยออกมาก็มีบาดแผลหลายจุดซึ่งทำให้มู่เทียนที่เดิมทีดูเย็นชาดูบอบบางมากขึ้น เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกสงสารหลินหนาน ดูเหมือนว่าถ้าน้ำเสียงเขาหนักแน่นกว่านี้ เขาก็คงจะเจ็บตัวไปแล้ว
มู่หรงรีบหยิบเสื้อคลุมที่อยู่ด้านข้างและรีบเอามาสวมทันที แล้วจึงพูดออกมาว่า “ไม่ต้อง ข้าทาเองได้…”
เสี่ยวไป๋โล่งอกหลังจากที่เห็นมู่หรงเสวี่ยฟื้น
และมู่หรงก็หันไปเห็นเสี่ยวไป่ที่ถูกตรึงไว้แล้วจึงถามออกมาด้วยความสงสัย “มันเป็นอะไรงั้นเหรอ?”
จู้หมิงรีบแก้ค่ายกลอย่างรวดเร็วและมองออกไปข้างนอกแต่เขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นไปหามู่เทียน
เจ้าลูกบอลสีขาวจ้องไปที่เขาอย่างโกรธๆ แล้วจึงรีบกระโดดขึ้นไปที่ตัวมู่หรงเสวี่ยด้วยท่าทางเสียใจ “พวกนี้รังแกข้า ช่วยข้าสั่งสอนพวกมันทีนะ…”
หลินหนานโบกมือตัวเองอย่างเก้ๆกังๆ “มันไม่ใช่แบบนั้น เราอยากที่จะช่วยทายาให้เจ้าแต่มันไม่ยอม ก็เลยแค่ตรึงไว้แป๊ปเดียวและไม่ได้รังแกอะไรมันเลยนะ…”
เสี่ยวไป๋บ่น ราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้ชายใจร้ายร่างใหญ่ที่รังแกสัตว์เลี้ยงของเขาในระหว่างที่เจ้าของกำลังสลบ
มู่หรงเสวี่ยตะลึงไปเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจดี “มันทำเพื่อข้าเอง…”
“อย่าคุยเรื่องนี้เลยนะมู่เทียน เจ้าควรที่จะทาซะก่อน ที่แผลเลือดยังไหลอยู่เลย…”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและรับยามาจากมือของหลินหนาน แล้วเขาก็ทายาลงไปที่แผลตรงมือและเท้า เหลือไว้เพียงแค่แผลตรงบริเวณหน้าอก แล้วเขาก็ส่งคืนให้หลินหนาน
หลินหนานไม่ได้ถามอะไร คิดเพียงแค่ว่าเขาคงลืมเลยพูดเตือนออกไป “มู่เทียน เจ้ายังมีแผลที่ยังไม่ได้ทายาอีกนะ…”
“ข้ารู้ ไม่จำเป็นต้องทาตรงนั้นหรอก ข้าไม่สนใจ…” มู่หรงเสวี่ยพูด
หลินหนานขมวดคิ้ว “ไม่ได้สิ ถ้าเจ้าไม่ทายา เดี๋ยวแผลมันจะอักเสบนะ ถ้าเจ้าทาไม่ถนัดข้าจะทาให้เอง…”
มู่หรงเสวี่ยกำเสื้อแน่นและพูดออกมา “ข้าไม่ชินกับการต้องถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่น…”
“เราก็ผู้ชายกันทั้งนั้น เจ้าจะกลัวอะไร…”
จู้หมิงและจ้าวฉีเองก็มองมาที่มู่เทียนแบบแปลกๆ
มู่หรงทำปากบิดเบี้ยว “ข้าเป็นโรคที่น่าอายมาก…” เธอพูดข้ออ้างออกมามั่วๆ
เสี่ยวไป๋ที่กำลังนอนอยู่ในแขนของเธอ และตัวของมันก็กำลังสั่น อย่าเข้าใจผิดนะ นี่มันเจ็บเกินกว่าที่จะหัวเราะออกมาได้ แม้แต่ร่างกายของเธอก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไปด้วย
มู่หรงเสวี่ยหยิกเจ้าตัวอ้วนอย่างแรง ไอ้ทุเรศเสี่ยวไป๋ไม่มีความเห็นใจกันเลยสักนิดและไม่ยอมคิดหาวิธีที่จะช่วยเธอเลย
“เราไม่ใช่คนแบบนั้นนะ ไม่ว่าจะอะไรพวกเราก็ไม่รังเกียจหรอก…” หลินหนานพูดอย่างจริงใจ คนอื่นๆเองก็พยักหน้าอย่างแรงตามไปด้วย
มู่หรงแสร้งทำสีหน้าเศร้าๆแล้วจึงพูดออกมาเสียงเบาอย่างอายๆ “พวกเจ้าช่วยหยุดถามเรื่องนี้ทีได้ไหม?” เธอถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่นไม่ได้จริงๆ
คิ้วของผู้ชายหน้าสวยดูตกลงเล็กน้อยซึ่งทำให้หลินหนานรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที “ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นพวกเราจะหลบออกไปเอง พวกเราจะไม่ช่วยทาก็ได้แต่ก็อย่าลืมทายาด้วยล่ะ พวกเราจะออกไปรอข้างนอกแล้วถ้าทาเสร็จแล้วก็ค่อยเรียกพวกเราแล้วกันโอเคไหม?! แบบนี้เป็นไง?” หลินหนานถาม
มู่หรงพยักหน้า “ขอบคุณนะ”
พวกเขารีบเดินออกไปจากถ้ำ มู่หรงเสวี่ยเพียงแค่ถอดหายใจอย่างโล่งอก จ้องไปที่เสี่ยวไป๋ที่ยังยิ้มอยู่ แล้วก็อุ้มมันขึ้นมาและแวบเข้าไปในมิติลับทันที
หลังจากที่ทายาเสร็จพร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวไป๋ก็ออกมาอีกครั้ง มู่หรงเสวี่ยใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อตรวจสอบพวกเขาและพบว่าหลินหนานยืนอยู่ไม่ห่างจากทางเข้าถ้ำมากนัก และพวกเขาก็ยังคอยเฝ้ายามอย่างระมัดระวัง
เสี่ยวไป๋ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่มู่หรงเสวี่ยกำลังทายาในมิติลับกินผลไม้เข้าไปเยอะมาก แถมในตอนนี้มันยังเรอออกมาอีก
มู่หรงเสวี่ยตะโกนออกไป “โอเคแล้วนะ!”
หลินหนานพร้อมทั้งคนอื่นๆค่อยๆเดินเข้ามา
“มู่เทียน เจ้ามีอาการบาดเจ็บภายในบ้างหรือเปล่า? อวัยวะภายในมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” วันนี้ พวกเขาตรวจเช็กไม่ได้เลย หวู่เสี่ยวเหมยถามออกมาอย่างเป็นห่วง สิ่งที่กลัวที่สุดคือเข้าจะบาดเจ็บภายใน
“ข้าไม่เป็นไร!” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เสี่ยวไป๋ถาม
มู่หรงยกมือที่มีแหวนมังกรขึ้นมา “โชคดีที่แหวนวงนี้ช่วยชีวิตข้าไว้ แต่เดาว่าข้าคงใช้มันเป็นเกราะได้ไม่นานพอ” ตอนนี้เธอมองไปที่แหวนมังกรและเห็นว่าแหวนโทรมๆนี้ดูโทรมมากขึ้นกว่าเดิมอีก เธอรู้สึกได้เลยว่ามันหายใจอย่างอ่อนแรงกว่าเดิมอีกซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเศร้าอยู่นิดหน่อย
“แหวนงั้นเหรอ?! แหวนวงนี้เป็นอาวุธแห่งจิตวิญญาณด้วยงั้นเหรอ?” หลินหนานอุทานออกมา
มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่แหวนในมือและถามออกมา “เจ้ารู้วิธีที่จะเพิ่มพลังให้กับอาวุธแห่งจิตวิญญาณบ้างหรือเปล่า?! ข้ารู้สึกว่ามันกำลังอ่อนแอลง…”
หลินหนานเงียบไปชั่วขณะ “อาวุธแห่งจิตวิญญาณทั่วไปจะเชื่อมโยงใกล้ชิดกับเจ้าของ บางทีการฝึกตนของเจ้าอาจจะยังไม่พอ มันเลยไม่รักษาตัวเอง หรือเจ้าอาจจะขอให้อาจารย์ช่วยเพิ่มพลังให้มันอีกครั้งก็ได้ แต่มันมีความเป็นไปได้ที่จะไม่สำเร็จนะ…”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าล้มเหลว?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ถ้าเจ้าล้มเหลว แหวนก็จะตายแต่ถ้าเจ้าทำสำเร็จ แหวนก็จะมีพลังสูงขึ้นด้วย…”
“งั้นก็ต้องสำเร็จ…” เธอไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เธอต้องการเพียงแค่แหวนวงนี้ เธอไม่รู้ว่าทำไม เธอเพิ่งจะได้ใช้มันแค่ช่วงสั้นๆ แต่กลับผูกพันกับแหวนมังกรอย่างลึกซึ้ง
มันดูเหมือนจะรับรู้ความตึงเครียดของมู่หรงเสวี่ยได้ แหวนที่นิ้วของเธอแวบลำแสงออกมาในตอนที่ทุกคนไม่ได้สนใจแล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างก็เข้าใจความหมายของมู่เทียน สำหรับคนที่ฝึกตนแบบพวกเขา เวลาที่ใช้อาวุธแห่งจิตวิญญาณพวกเขาก็จะรู้สึกได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีระดับออร่าที่สูงกว่า แต่พวกเขาก็จะสร้างจิตสำนึกทางจิตวิญญาณของพวกเขาด้วยและทำให้มันมีความคิดของตนเอง
“ข้าไม่คิดเลยนะว่าเซี่ยเหลียนน่าจะกลับไปจ้างคนมาได้เร็วขนาดนี้…” เมื่อพูดถึงเรื่องเซี่ยเหลียนน่า หวู่เสี่ยวเหมยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้านิดหน่อย ยังไงซะพวกเธอก็เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมกันมาก่อน แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะหันมาแว้งกัดกันจนกลายเป็นศัตรูกันแบบนี้!