“ถึงในใจผมก็คิดแบบนั้นก็เถอะครับ” หลินเสวียนหลานพูดขึ้นเบาๆ “แต่ว่าก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเธอทะเลาะกันได้หรอก”
“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
“อาสะใภ้รองกับเซียนเอ๋อร์ทะเลาะกัน ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ที่บ้านพอดี ส่วนคุณพ่อผมก็มัวยุ่งอยู่กับธุรกิจ อารองก็ออกไปข้างนอก อาสะใภ้รองอุ้มท้องเด็กเอาไว้อยู่ แน่นอนย่อมไม่ใช่คู่กรณีของเซียนเอ๋อร์ เมื่อเธอถูกเซียนเอ๋อร์จับตบ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง จากนั้นอาสะใภ้รองก็นอนกองอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่าเรื่องราวจริงแท้ขนาดไหน น้ำตาไหลร้องเรียกว่าเจ็บท้อง เซียนเอ๋อร์ก็ลนลานทำตัวไม่ถูก…โทรศัพท์ไปหาอารอง…” หลินเสวียนหลานพูด
“จากนั้นเรื่องเป็นยังไงต่อคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ถ้าพออารองกลับมา แล้วพาอาสะใภ้รองไปส่งโรงพยาบาลเสียโดยดี เรื่องนี้คงจบตั้งแต่แรก” หลินเสวียนหลานยิ้มขมขื่น
“หรือว่าอารองของคุณทำเรื่องอะไรอีก?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
หลินเสวียนหลานฉุกคิดอยู่ชั่วครู่ถึงเริ่มพูดออกมา “เขาตบเซียนเอ๋อร์ไปหนึ่งที“
“คุณหนูเซียนเอ๋อร์คงอาละวาดไม่หยุดแน่” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว เธอจำได้ว่าฉินเฮ่าเคยพูดว่า หลินเซียนเอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่เรียกว่าเล็กพริกขี้หนู แสบซ่าแก่นแก้วยิ่งนัก
หลินเสวียนหลานมองเธอแล้วพูดขึ้นว่า “คุณเดาไม่ถูกหรอกว่าเธอทำอะไรต่อไป”
“ทำอะไรหรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามตามน้ำไป
“อารองของผมไปส่งอาสะใภ้รองที่โรงพยาบาล ส่วนเซียนเอ๋อร์ไปในครัวหามีดหั่นผักเข้าไปในห้องของอารอง ทำลายของทุกอย่างจนไม่มีชิ้นดี…” หลินเสวียนหลานพูดอย่างเหนื่อยหน่าย
จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่าคุณหนูหลินเซียนเอ๋อร์มีความเอาแต่ใจ เอาแต่ใจกว่าหลินเสวียนหลานที่ในตอนงานหมั้นทิ้งญาติสนิทและเพื่อนฝูงมา ไม่สนใจคู่หมั้นของตัวเอง เพื่อมาทำกับข้าวที่บ้านเธอเสียอีก
“คุณยังหัวเราะอีกเหรอครับ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว!” หลินเสวียนหลานพูดอย่างหมดแรง
“จะทำอะไรได้อีกล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ถ้าฉันไม่หัวเราะ แล้วจะทำอะไรได้กัน?”
ในระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากันนั้น หลินเสวียนหลานก็ได้ขับรถมาถึงหน้าประตูของบ้านตระกูลหลินแล้ว รถจอดลงอย่างสนิท ก็มีคนรับใช้คอยขับรถไปเก็บในโรงจอดรถ หลินเสวียนหลานเรียกให้ซีเหมินจินเหลียนเข้าไปด้านใน
ภายในห้องรับแขก ยังเหมือนในครั้งที่แล้วไม่มีผิด เพียงแต่ไม่มีหยกก้อนใหญ่แล้วจึงทำให้เห็นความโอ่โถงได้อย่างชัดเจน สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็น
“ไปกันเถอะครับ คุณปู่ของผมอยู่ด้านบน” หลินเสวียนหลานบอก
“โอเคค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเดินตามหลินเสวียนหลานขึ้นไปด้านบน แต่กลับเห็นสีหน้าซีดเซียวของหวังเซียงฉินที่กำลังประคองตัวเองเกาะราวบันไดลงมาด้านล่าง
ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะสังเกตเธอ ท้องของเธอไม่ได้ใหญ่มาก น่าจะไม่มีอาการหนักอะไร ใบหน้ามีรอยฟกช้ำเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าสวยมีร่องรอยบาดเจ็บฟกช้ำดำเขียว
หวังเซียงฉินเองก็เห็นซีเหมินจินเหลียนเช่นกัน เธอที่เดิมทีตั้งใจจะลงไปด้านล่างก็หยุดชะงักลง
หลินเสวียนหลานเงยหน้าขึ้นไปมองเธอสักพัก จากนั้นก็แกล้งทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน พาซีเหมินจินเหลียนขึ้นไปด้านบน เมื่อทั้งคู่เดินผ่านร่างของเธอไป หวังเซียงฉินก็พูดออกมาทันควัน “เสวียนหลาน ทำไมเธอถึงกลับมาเวลานี้”
“คุณปู่อยากจะพบคุณซีเหมิน ผมเลยไปพาคุณซีเหมินมาหา” หลินเสวียนหลานพูดความจริงออกไป เพราะว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องโกหกเธอ
“จริงเหรอ? ทำไมฉันไม่ยักจะได้ยินคุณพ่อพูดเลยล่ะ” หวังเซียงฉินควบคุมสถานการณ์ มองซีเหมินจินเหลียนด้วยสายตาที่เหยียดหยาม จากนั้นก็พูดจาเสียดสีใส่ “ฉันว่า ดูเหมือนคุณซีเหมินอยากจะเจอคุณพ่อเสียเองมากกว่า”
ซีเหมินจินเหลียนขี้เกียจจะหาเรื่องกับเธอ ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะทำตัวให้มันดีๆ บ้างหรืออย่างไร?
“อาสะใภ้รอง อาก็กำลังท้องอยู่ ควรนอนพักผ่อนอยู่ในห้องให้มากๆ น่าจะดีกว่านะครับ อย่าทำให้กระทบกระเทือนไปถึงเด็กในท้องเลย” หลินเสวียนหลานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแล้วเดินขึ้นไปด้านบน
ซีเหมินจินเหลียนไม่มีเรื่องอะไรให้พูดอยู่แล้ว เธอจึงเดินตามหลังหลินเสวียนหลานเพื่อที่จะขึ้นไปด้านบน แต่หวังเซียงฉินก็ได้มาขวางทางเธอไว้
“คุณซีเหมิน ครั้งนี้คุณอยากจะส่งของขวัญอะไรเพื่อตอบแทนพระคุณคุณปู่อีกล่ะ?” หวังเซียงฉินขมวดคิ้วถามยกใหญ่ ตั้งใจหัวเราะแดกดัน “คุณซีเหมินก็ใจกว้างมากเลยนะ ถึงขนาดให้หยกสีเขียว คิดว่าหยกสีเขียวไม่ต้องใช้เงินซื้อหรือยังไง? หรือว่าเจตนาของคุณซีเหมินสูงกว่านั้น เลยส่งหยกมาสักชิ้นสองชิ้นเพื่ออยากได้บริษัทจิวเวอรี่มาเป็นของตอบแทน?”
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่หัวเราะน้อยๆ เธอก็อยากได้บริษัทจิวเวอรี่มาจริง แต่ไม่ใช่ทำด้วยวิธีที่เธอคิด ในใจอยากจะเดินอ้อมผ่านหวังเซียงฉินแล้วขึ้นไปด้านบน
แต่หวังเซียงฉินมาขวางเธอไว้ทุกทาง ทำให้เธอไม่สามารถเดินไปได้
“เธอคิดว่าบ้านตระกูลหลินของพวกเราเป็นสถานที่แบบไหนกัน นึกอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป? เธอคิดว่าคุณปู่เป็นคนยังไง เธออยากจะเจอก็ได้เจออย่างนั้นเหรอ?” หวังเซียงฉินยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น เธอจะไม่ยอมให้หลินเสวียนหลานพาผู้หญิงคนนี้เข้ามาในเวลานี้ เพื่อที่จะมาแบ่งมรดกไปจากเธอแน่ ถ้าอยากจะเจอคุณปู่หลิน ฝันไปเถอะ ไม่มีทาง!
เมื่อวานเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูก็ไม่ได้มีอาการร้ายแรงอะไร วันนี้ตอนเช้าเธอจึงไม่ฟังคำแนะนำจากหมอ รีบคิดค่าใช้จ่ายแล้วกลับบ้าน เธอจะต้องคอยตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ามอง นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ จะไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเป็นอันขาด ที่เธอรอมาทั้งชีวิตก็เพื่อไม่ใช่ว่าจะมาเป็นคุณนายมหาเศรษฐีหรอกเหรอ?
แต่การแต่งงานกับหลินเจิ้งอย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอ เธอจะต้องทำให้หลินเจิ้งเป็นผู้นำของบริษัท ถึงจะมีสิทธิครอบครองอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอถึงจะสบายใจ
“อาสะใภ้รอง อาหลีกทางเถอะครับ คุณปู่อยากจะพบเธอ!” หลินเสวียนหลานขมวดคิ้ว
“ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าคุณพ่ออยากจะพอเธอ?” หวังเซียงฉินพูดอย่างเยือกเย็น “ฉันว่านะ เสวียนหลาน หลานก็อย่ามัวแต่ลุ่มหลงเหลวไหล แล้วปล่อยผู้หญิงที่ดีเพียบพร้อมอย่างเฟยอวี๋ไป แต่กลับมาคว้าผู้หญิงชั้นต่ำแบบนี้เลย อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านผู้ชายมามากเท่าไหร่แล้ว แต่หลานยังเอากลับมาที่บ้านของเราอีก หรือหลานก็ไม่สนใจว่าเธอจะมาทำให้บ้านเราแปดเปื้อน?”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็โกรธเป็นอย่างมาก เดิมทีเห็นว่าเธอตั้งท้องเลยไม่ได้อยากจะหาเรื่องอะไร แต่ปากผู้หญิงอย่างเธอน่าจะต้องจับมารีดให้บาง เหมือนว่าเธอจะไม่ได้หาเรื่องผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรก แถมไม่รู้ว่าเธอเริ่มหาเรื่องเธอจากตรงไหน?
“เธอกำลังพูดถึงใครเหรอ” ด้านหลังมีเสียงใสดังเข้ามา
ซีเหมินจินเหลียนหันหลังกลับไปมองก็เห็นใบหน้าเฉยเมยของหลินเซียนเอ๋อร์อยู่ตรงปากบันไดที่กำลังจดจ้องไปที่หวังเซียงฉิน “เรื่องที่บ้านเราแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกโสมม ก็มาจากผู้หญิงที่ไร้ยางอายแบบเธอนั่นละ ใครๆ ก็รู้ว่าเธอท้อง แต่ไม่รู้ว่าท้องกับใคร แล้วเธอยังกล้าจะมาโทษคนอื่นอีก? ไม่รู้ว่าอารองตาบอดหรืออย่างไง ถึงได้เลือกผู้หญิงเจ้ามารยาแบบนี้เข้ามาในบ้าน”
“เธอกำลังว่าใคร?” หวังเวียงฉินสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วหันไปมองหลินเซียนเอ๋อร์ด้วยตัวสั่นระริก “เธอ…เธอ…ทำเกินไปแล้ว ฉัน…ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ฉันจะตายไปกับเด็กในท้องของตระกูลหลิน…” ผู้หญิงคนนี้พูดพลางร้องไห้ออกมา
“เธออยากจะตายงั้นเหรอ?” หลินเซียนเอ๋อร์แค่นเสียงเหอะออกมาพลางปรายตามองไปทางปากประตู “จำไว้ว่าออกไปนอกประตูก่อนแล้วค่อยตาย อย่าเอาเลือดสกปรกมาแปดเปื้อนบ้านของฉัน อยากตายก็เอาให้เจ็บหน่อยนะ อย่าทำให้มันไก่อ่อน แบบนี้จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ ถ้าน้อยไปอีกคนฉันจะได้ตัดคนออกจากกองมรดกน้อยลงไปอีกหนึ่ง!”
ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หลินเซียนเอ๋อร์เป็นคนพูดตรงๆ ประโยคเช่นนี้ยังกล้าพูดออกได้ ไม่น่าล่ะฉินเฮ่าเลยเรียกเธอว่าเล็กพริกขี้หนู ไม่ใช่พริกทั่วๆ ไป
หวังเซียงฉินโกรธจนกลอกตาขาวเกือบจะเป็นลมล้มพับไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่เธอก็ด่าและตบตีสู้หลินเซียนเอ๋อร์ไม่ได้ ได้แต่ยอมแพ้ไปก่อนเท่านั้น
ซีเหมินจินเหลียนเดินตามหลินเสวียนหลานไปถึงปลายทางด้านบน จากนั้นด้านหลังมีเสียงของ หลินเซียนเอ๋อร์แผดเสียงออกมา
“เธอหยุดก่อน!”
ซีเหมินจินเหลียนหยุดฝีเท้าลงและหมุนตัวหันไปมองหลินเซียนเอ๋อร์
“ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นมากก็จริง แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบเธอเหมือนกัน!” หลินเซียนเอ๋อร์จดจ้องมองไปที่เธอ
“ถึงเธอจะหน้าตาสะสวย แต่ฉันก็ไม่ชอบเธอเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอ่อน
“เธอน่าจะขอบใจฉันที่มาช่วยเธอไว้” หลินเซียนเอ๋อร์เชิดคอขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนยืนอยู่บนชั้นสองแล้วเห็นสีหน้าเขียวฟกช้ำของหวังเซียงฉินแล้วได้แต่หัวเราะ อยากจะควบคุมจัดการคนคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่จะใช้วาจาคมคายก็จัดการได้
“ขอบใจ” หลังจากซีเหมินจินเหลียนพูดขอบใจแล้ว จากนั้นก็เดินตามหลินเสวียนหลานเพื่อที่ไปห้องคุณปู่หลินต่อไป