ส่วนที่ 4 ตอนที่ 55 - 1 สงคราม

ความลับแห่งจินเหลียน

จ่านป๋ายอยู่ๆ ก็รู้สึกว่า สิ่งที่ตัวเองหาข้อมูลของเธอมา ตอนนี้กลับไร้ประโยชน์ ทำไมเขาไม่เคยรู้เลยว่าเธอยังมีความสามารถนี้อยู่

 

 

ฆ่าปลาไหล แล้วฆ่างูอีก? จู่ๆ เขาคิดขึ้นมาว่าเธอคงไม่เอาเครื่องในงูออกแล้วตัดหัวตัดหางทิ้ง เหลือตรงกลางไว้ จากนั้นก็ตัดเป็นท่อนๆ เตรียมต้มใส่หม้อเพื่อจะกินหรอกนะ?

 

 

“จินเหลียน ที่คุณเรียกให้ผมมา คงไม่ใช่ว่าจะเอามันมาต้มกินนะ?” จ่านป๋ายถามลองเชิงเธอ นี่ไม่ใช่งานอดิเรกที่ดีอะไร แม้ว่าเขาจะกินงู แต่นั่นก็เป็นอาหารที่ทำมาจากโรงแรมอย่างเสร็จสรรพ ถ้าทำเองเขาก็ไม่เคยลองทำมาก่อน

 

 

ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่งูพลางส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “งูตัวนี้ผอมเกินไป ถูกเลี้ยงดูมาไม่ค่อยดี เนื้อคงไม่ได้เยอะมาก ผิวของมันคงจะไม่อร่อยแน่นอน ปกติฉันจะกินแค่งูเขียวเท่านั้น เนื้อมันก็แน่นเด้งนุ่มเหลือเกิน…”

 

 

ในเวลานี้จ่านป๋ายก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่เขลายิ่งนัก

 

 

“เสี่ยวป๋าย จะว่าไปท้องของฉันก็เริ่มร้องขึ้นมาแล้ว แต่ฉันเรียกคุณมาไม่ใช่จะมาพูดคุยเรื่องเนื้องูชนิดไหนอร่อยกว่ากัน ฉันอยากจะถามคุณว่างูนี้มาจากไหน” ซีเหมินจินเหลียนถาม “คุณก็เคยคุยโม้ไม่ใช่เหรอว่าคฤหาสน์ของเราแม้แต่แมลงวันยังบินเข้ามาไม่ได้เลย ถึงแม้ในห้องครัวจะมีแมลงวันบินเข้ามาหนึ่งตัว ฉันก็ไม่ได้หาเรื่องคุณ แต่นี่ห้องฉันมีกลับมีงูเข้ามา คุณก็น่าจะให้คำตอบอะไรฉันสักหน่อยไหม”

 

 

“ผมรับประกันได้เลยว่าผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับงูตัวนี้” จ่านป๋ายรีบสาบานต่อฟ้าดิน น่าตายยิ่งนัก งูตัวนี้มาจากไหนกัน?

 

 

โอเค บ้านหลังนี้อาจจะสร้างขึ้นตรงทางขึ้นภูเขา ทำให้แถวๆ คฤหาสน์มีสวนสาธารณะเป็นของตัวเอง ส่วนงูที่หลบซ่อนอยู่ในนั้นคงมีไม่น้อย แต่ปัญหาก็คืองูตัวนั้นช่างโชคร้ายนัก ทำไมถึงได้เลื้อยเข้ามาได้

 

 

นี่เป็นเพราะว่ามันเลื้อยขึ้นมาเอง หรือว่ามีคนตั้งใจเอามาปล่อยกันแน่? ถ้าหากมีคนตั้งใจเอามาปล่อยแล้วจะเป็นใครกัน

 

 

จินอ้ายหัวหรือหลิงซูฟาง? สองคนนี้เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนที่จะกล้าบ้าบิ่นแบบซีเหมินจินเหลียน ที่เห็นงูแล้วคิดเพียงแต่ว่างูตัวไหนถึงจะอร่อย ผัดน้ำแดงหรือว่าจะต้มซีอิ้วดี…

 

 

นอกจากเธอสองคนแล้ว วันนี้ก็มีแค่หลินเสวียนหลานที่มาที่บ้าน แต่จ่านป๋ายรับรองได้ว่าคนอย่างหลินเสวียนหลานเองก็น่าจะกลัวงูอยู่เหมือนกัน เขาคงจะไม่กล้าเอางูมาปล่อยที่บ้านซีเหมินจินเหลียนแน่ แถมเขาก็เหมือนว่าจะไม่ได้ขึ้นมาด้านบนด้วย? ถ้าเขาเอางูมาปล่อยไว้ด้านล่าง ตนเองน่าจะเห็นตั้งแต่แรกแล้วสิ

 

 

จ่านป๋ายมองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้วไม่หยุด หน้าต่างภายในห้องก็ปิดเรียบร้อยดี นี่พวกเขาก็ถูกผีหลอกหรือ งูตัวนี้เข้ามาได้อย่างไรกัน

 

 

ไม่นานเขาก็รู้สึกตกใจ หน้าต่างในห้องน้ำ ถึงแม้ว่าจะมีผ้าม่านปิดอยู่ แต่หน้าต่างก็เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง

 

 

“จินเหลียน คุณว่างูตัวนี้เลื้อยมาจากหน้าต่างนี่หรือเปล่าครับ” จ่านป๋ายพูดพลางสายตาตกไปอยู่ที่ต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่ กิ่งของมันบางส่วนทอดยาวเข้ามาประชิดที่หน้าต่าง

 

 

พรุ่งนี้คงจะต้องเรียกคนมาจัดการสวนสักหน่อยแล้ว

 

 

“ไม่มีทาง” ซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

 

 

“ทำไมครับ” จ่านป๋ายถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “คุณดูนี่สิ งูก็น่าจะเลื้อยมาจากทางต้นไม้ ถ้าหากมันมาจากทางนี้แล้วเลื้อยเข้ามาทางหน้าต่าง แน่นอนว่ามันก็สามารถเลื้อยเข้ามาในห้องของคุณได้”

 

 

“ถ้าหากเป็นคน อาจจะเป็นไปได้ แต่นี่เป็นงูนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “คุณไม่รู้เหรอว่างูใช้ส่วนท้องในการเลื้อย ถ้าหากลื่นจนเกินไป มันก็อยู่ได้แต่ที่ของมัน ไม่อย่างนั้นจะเลื้อยไปไหนก็ลำบากเอาการ ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ ฉันเคยจับลูกงูตัวเล็กๆ มาใส่ไว้ในขวดโหลแก้วที่ไม่ได้ใช้ ไม่ว่ามันจะเลื้อยยังไงก็เลื้อยขึ้นมาไม่ได้”   

 

 

จู่ๆ จ่านป๋ายก็รู้สึกว่าสมองของตัวเองเฉื่อยชาไปทั้งหมด พวกเขาจะจับงูไปทำอะไรกัน   

 

 

“เอาเถอะ ถ้าหากคุณไม่ได้จับงูมาแกล้งให้ฉันตกใจ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือเผาซากมันทิ้ง!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขึ้น “รบกวนคุณจ่านบอร์ดี้การ์ดผู้ยิ่งใหญ่ช่วยฉันเอางูตัวนี้ไปฝังที่สวนสาธารณะด้วยนะคะ ฉันจะไปนอนแล้ว เวลาก็ย่างเข้าเช้ามืดแล้ว”

 

 

จ่านป๋ายพยักหน้า ในใจคิดแต่ว่างูตัวนี้เข้ามาได้อย่างไรกัน เขาต้องสืบหาให้ดี ครั้งนี้ยังดีที่เป็นงูเลี้ยง ใครจะไปรู้ว่าครั้งหน้าอาจจะเป็นงูพิษก็ได้

 

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่กลัวงูก็จริง แต่ถ้าหากถูกงูพิษทำร้าย นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย

 

 

เขาก็รู้ว่าการที่ซีเหมินจินเหลียนสงสัยเขานั้นมันก็สมเหตุสมผล แล้วยิ่งมีแค่เขาที่เคยมาห้องของเธอ อีกทั้งนี่ก็ยังเป็นงูที่ถูกคนเลี้ยง สงสัยเธอคงคิดว่าเขาอยากจะแกล้งทำให้เธอตกใจ

 

 

เมื่อหาที่โกยขยะแล้วรีบดึงมีดจากตัวงูออกมา จ่านป๋ายก็เริ่มสงสัยอีกครั้ง เธอทำให้งูอยู่นิ่งได้จริงๆ จากนั้นค่อยเสียบมีดเข้าไปหรือ? ไม่เหมือนกับฤทธิ์มีดสั้นนั่น ที่ยืนอยู่ห่างๆ แล้วโยนมีดลงไปเสียบอย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว ตรงกับหัวพอดิบพอดี มีดเข้าไปโดนตัวงูขนาดยาวถึงเจ็ดนิ้วยังว่าไป นี่ยังเล็งให้พอดีช่องว่างระหว่างพื้นไม้อีก แถมยังไม่ทำให้พื้นไม้เสียหายแม้แต่นิด…

 

 

จ่านป๋ายนำซากงูที่น่าสงสารใส่ไว้ในถุงขยะพร้อมมีดผลไม้นั่นด้วย ก่อนจะวิ่งไปที่สวนสาธารณะ ทำตามที่ซีเหมินจินเหลียนกำชับไว้ โดยขุดหลุมเผาศพงูนั่น ขอให้เจ้าของของงูตัวนี้อย่ามาหาพวกเขาเลย!

 

 

เมื่อผ่านเรื่องราวยุ่งยากนี่ไป ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายก็ยังนอนหลับไม่สนิทนัก ไหนยังเจียระไนหินออกมาเป็นงู ไหนจะในห้องมีงูเข้ามาอีก ถ้าเป็นใครในใจคงจะไม่สงบแน่

 

 

เพราะอย่างนั้นตอนเช้าเวลาแปดโมงครึ่งซีเหมินจินเหลียนจึงตื่นนอนด้วยใบหน้าบวมปูดไปหมด เมื่อส่องกระจกดูก็พบกับตาหมีแพนด้าออกมาทักทาย

 

 

“คืนนี้คงต้องนอนเร็วสักหน่อย ฉันยังต้องพยายามให้ตัวเองแต่งงานให้ได้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดคุยกับกระจกอยู่นานสองนาน พร้อมทำท่าตลกๆ แลบลิ้น ดูแล้วราวกับผู้หญิงสาวที่ซุกซน

 

 

ซีเหมินจินเหลียนปล่อยผมยาวสยายลงมา ผมของเธอเป็นผมหยักศกธรรมชาติ ถ้าไม่ดูแล ผมก็จะแตกปลายฟูฟ่อง ไม่มีหน้าไปพบเจอใคร เมื่อใช้น้ำคอยจัดทรงผม แล้วหยิบเสื้อยืดออกมาหนึ่งตัวใส่คู่กับกางเกงยีนส์ทรงหลวม ทำให้สามารถปกปิดสิ่งเหล่านั้นได้ เมืองเซี่ยงไฮ้นี้ถ้าบอกว่าใหญ่ก็ใหญ่ ถ้าจะบอกว่าเล็กก็เล็ก มักจะชอบเจอคนที่รู้จักหยกอยู่มาก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคิดว่าหยกเป็นแก้วเสียหมด

 

 

เธอสวมใส่สร้อยข้อมือลูกปัดหยกสีเขียวสดไว้ในมือ ช่างดูหรูหราเรียบง่าย

 

 

เวลาเก้าโมงตรง หลินเสวียนหลานมารับเธอตรงตามเวลาที่นัดหมาย ซีเหมินจินเหลียนตกปากรับคำกับเขาเมื่อคืนวาน เลยไม่ได้พูดอะไรมากนั่งรถพร้อมออกจากย่านหลานกุ้ยไปพร้อมเขา

 

 

แต่เมื่อรถออกจากย่านหลานกุ้ยแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกแปลกใจ จึงถามขึ้นว่า “พี่หลินคะ พี่ก็บอกว่าคุณปู่ป่วยหนักไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงไม่ไปโรงพยาบาลล่ะ” นี่มันก็เป็นทางไปบ้านตระกูลหลินนี่นา

 

 

“ทางโรงพยาบาลบอกว่าไม่ต้องรักษาแล้วล่ะครับ” หลินเสวียนหลานถอนหายใจ ในน้ำเสียงมีความเจ็บปวดอยู่ในนั้น

 

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจที่เขาอธิบายเลยถามกลับไปว่า “หมายความว่ายังไงคะ”

 

 

“ก็หมายความว่าเขาไม่มีหนทางที่จะรักษาคุณปู่แล้ว” หลินเสวียนหลานพูดอย่างอ่อนแรง “บ้านพวกเรากำลังวุ่นวาย”

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกันคะ”

 

 

“ทุกๆ วันอาสะใภ้รองมักจะหาเรื่องมาให้ผมกับคุณพ่อตลอด ทั้งๆ ที่คุณปู่ป่วยแบบนี้แต่เธอก็ยังไม่สนใจ วันๆ คอยกรอกหูอารองให้ทำให้คุณปู่เขียนจดหมายพินัยกรรมให้เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นชื่อเธอให้ได้ ไม่สนว่าจะเป็นหุ้นของคุณปู่ หรือบ้าน อีกทั้งยังมีธุรกิจในอดีตของคุณปู่อีก ทุกวันนี้เธอก็เห็นพวกเราเป็นแค่ศัตรูเท่านั้น” หลินเสวียนหลานพูด

 

 

เมื่อเป็นเช่นนั้น ซีเหมินจินเหลียนจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เธอเพียงแต่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คุณปล่อยเธอไปเถอะค่ะ คุณปู่ก็ไม่มีทางที่จะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่อาสะใภ้รองคนเดียวหรอก”

 

 

“ผมไม่เป็นไรครับ ถ้าปล่อยได้ก็ปล่อย แต่น้องสาวของผมนี่สิ…” หลินเสวียนหลานพูดได้เท่านี้ก็ถอนลมหายใจอีกครั้ง “นิสัยของเธอเป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่อวานความคิดไม่ลงรอยกัน พวกเขาทั้งคู่ก็เลย…มีเรื่องให้ต้องลงไม้ลงมือ ตอนที่ผมกลับไปก็วุ่นวายหนักเลย”

 

 

“แล้วอารองของคุณไม่สนใจเลยเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ

 

 

“ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไร อารองก็เอาแต่ฟังเธอทั้งหมด คุณไม่รู้หรือว่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของเขา อารองกับเธอแต่งงานกันมาตั้งนาน แต่ไม่เคยมีลูกเลย แต่พอตอนนี้มีลูก อารองก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากจะตามใจเธอเสียหมด” หลินเสวียนหลานพูดขึ้น

 

 

“ถ้าอย่างนั้นการที่ลงไม้ลงมือแบบนี้ ก็ไม่ใช่ทำให้เด็กในท้องได้รับอันตรายหรอกหรือคะ แล้วทำไมยังกล้าลงมืออีก?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว ทำให้เธอนึกขึ้นได้ในสิ่งที่จ่านป๋ายเคยพูดไว้ว่าหวังเซียงฉินท้อง แต่เหมือนเขาจะเคยบอกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของหลินเจิ้ง?

 

 

“อาสะใภ้รองอยากจะให้เซียนเอ๋อร์แต่งงานออกไป แต่คุณก็รู้ว่าน้องของผมสวยขนาดไหน สเป็คก็สูง คนธรรมดาเธอจะไปมองที่ไหนกัน เมื่อก่อนมีคนมากมายที่พอใช้ได้ ส่วนตอนนี้เธอไม่รู้ว่าแม่สื่อจะแนะนำญาติสนิทที่รู้จักให้กับเซียนเอ๋อร์ แถมไม่สนใจว่าเธอยินยอมหรือไม่ เมื่อคืนก็พาเขามากินข้าวที่บ้าน ผู้ชายคนนั้นมือไม้ไว จับนู่นจับนี่เซียนเอ๋อร์ไปหมด เธอเลยโกรธมาก ตบชายผู้นั้นจนหูแทบบอด พร้อมชี้หน้าด่าหวังเซียงฉินอีก” หลินเสวียนหลานอธิบาย

 

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ชมว่า “ด่าได้ดีเลยค่ะ!” คุณปู่ป่วยหนักจนอาการไม่สู้ดีแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีกระจิตกระใจนำหลานสาวไปแต่งงานอีก จิตใจของเธอทำด้วยอะไรกัน?