ตอนที่ 74 โมโหจนกระอักเลือด

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หวงฝู่อี้เซวียนร้องโอดครวญขอร้องอีกครั้ง “โยวเอ๋อร์ อย่าตีหน้า ประเดี๋ยวพระมารดาเห็นเข้าจะปวดใจได้”

 

 

ตามมาด้วยเสียงกระแทกโต๊ะเก้าอี้สนั่นหวั่นไหว

 

 

หวงฝู่อี้ตกใจหัวหด ห่อมือคลำหัวใจที่เกือบจะหลุดออกมา

 

 

แม้แต่จูหลีที่ไม่เคยมีสีหน้าสะทกสะท้านยังแสดงอาการตื่นตระหนกออกมา

 

 

เสียงภายในห้องยังดังต่อเนื่อง หวงฝู่อี้เป็นห่วงจนทนไม่ไหว รวบรวมความกล้า เดินเข้าไปใกล้ประตู ถามเสียงแหบสั่น “ซื่อจื่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เป็นเสียงขว้างถ้วยชามาที่ประตูที่ตอบกลับเขา

 

 

หวงฝู่อี้ตกใจถอยหลังกรูด เกือบจะล้มคะมำ รีบกลับไปยืนกลางลานเรือน คอยฟังเสียงอึกทึกภายในห้องอย่างหวาดผวา คิดในใจว่าควรไปรายงานอ๋องฉีหรือไม่

 

 

ราวกันหวงฝู่อี้เซวียนจะอ่านความคิดเขาได้ น้ำเสียงหอบกระเส่าดังลอยออกมา “หากเจ้ากล้าไปบอกพระมารดา ข้าจะลงโทษเจ้า…” ยังพูดไม่ทันจบ “โอ๊ย” เสียงโหยหวนก็ดังออกมาแทน “โยวเอ๋อร์ เจ้าจะฆ่าสามีเรอะ”

 

 

น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมา “เจ้าคนใจดำอำมหิต แม้แต่ข้าก็กล้าวางแผน ฆ่าเจ้าให้ตายก็ดี ข้าจะได้กลับไปแต่งงานที่บ้านนอก”

 

 

ว่าแล้ว ไม่รู้ว่าทำอะไร เสียงร้องโหยหวนของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อี้ยืนกลางลานเรือน ใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทนรับไม่ไหว ตัดสินใจเดินออกไปนอกลาน อุดหูตัวเอง เมื่อไม่ได้ยินก็ไม่รู้สึก

 

 

ครู่ใหญ่เสียงภายในห้องถึงสงบลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตู เดินออกมาอย่างสบายอกสบายใจ ยืนรออยู่ในลาน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ เคลื่อนย้ายสองขาของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก

 

 

หวงฝู่อี้ไม่ได้ยินเสียงเอะอะแล้ว รีบเดินเข้ามาในลาน เห็นสภาพของหวงฝู่อี้เซวียน รีบเดินอ้อมหลังเมิ่งเชี่ยนโยว หมายจะเข้าไปประคองเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงกร้าว “หากเจ้าเข้าไปประคองเขา ข้าจะตีเจ้าให้ขยับตัวไม่ได้ไปครึ่งเดือน”

 

 

หวงฝู่อี้หดมือทันควัน ยืนนิ่งอยู่อีกด้าน มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความเห็นใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปจากลาน หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลัง ทุกย่างก้าว รวดร้าวจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมา น้ำเสียงเกรี้ยว “เจ้าทำแบบนี้อยากให้คนในจวนรับรู้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง มองนางอย่างน้อยใจ ทำหน้าขอความเห็นใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ระบายอารมณ์แล้ว พอใจสบาย อารมณ์ก็ดีตามไปด้วย กลั้นขำ แสร้งชักสีหน้าพูดว่า “นี่เป็นเพียงการสั่งสอนสถานเบา หากครั้งหน้าเจ้ากล้าวางแผนกับข้าอีก ข้าจะอัดเจ้าให้ออกจากบ้านไม่ได้ไปสามวัน”

 

 

พอคิดถึงเพลิงโทสะในดวงตาเมิ่งเชี่ยนโยวที่แทบจะฆ่าเขาให้ตายได้เมื่อครู่ หวงฝู่อี้เซวียนก็กลัวจนตัวสั่นเทิ้ม รีบโบกมือรับประกัน “จะไม่มีครั้งหน้าอีก ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับไป หลุดขำ เม้มริมฝีปากเดินนำหน้าไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนฝืนเดินตามหลังแสร้งเหมือนเป็นคนปกติ

 

 

กระทั่งมาถึงหน้าประตูเรือนพระชายาเอก เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน เบี่ยงตัว หันหน้าไปส่งสายตาให้หวงฝู่อี้เซวียนเดินนำเข้าไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจทันที แอ่นอกยืดตัวตรงเดินนำเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง

 

 

พอพ้นประตูเข้ามา พระชายาเอกเห็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่มีท่าทีขุ่นข้อง นึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนพูดเกลี้ยกล่อมได้แล้ว จึงกวักมือให้นางมานั่งข้างตัวเอง ยิ้มพูดว่า “ต้องแบบนี้สิ ช้าเร็วเจ้าก็ต้องมาดูแลจวนอ๋องฉี เจ้ารีบมารับช่วงต่อไปแต่เนิ่นๆ ภายหน้าจะได้ไม่เหนื่อยมาก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มเหล่ตามองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกเจ็บแผลแปลบๆ

 

 

เกิดความเคลื่อนไหวในเรือน พระชายารองและฝ่ายบัญชีต่างมากันแล้ว

 

 

ด้วยมีบทเรียนจากครั้งก่อน พระชายารองไม่กล้าโอหังอีก พูดกับหลิงหลงที่เฝ้าหน้าประตู “ไปเรียนพี่สาวหน่อยเถิด บอกว่าข้านำบัญชีมามอบให้แล้ว”

 

 

พระชายาเอกได้ยินเสียงนาง หันไปสบตาเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง เก็บคืนรอยยิ้ม ชักน้ำเสียงสั่งการออกไปด้านนอก “เชิญพระชายารองเข้ามาได้”

 

 

พระชายารองเดินเข้ามา แสดงความเคารพพระชายาเอกตามธรรมเนียมปฏิบัติ

 

 

พระชายาเอกยื่นมือรับ “ได้ยินว่าหลายวันมานี้น้องสาวไม่ค่อยสบาย ผอมซูบไปไม่น้อย ไม่ต้องมากพิธีแล้ว นั่งลงเถอะ”

 

 

พระชายารองกล่าวขอบคุณ ทั้งทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย

 

 

พระชายารองนั่งบนเก้าอี้อีกด้าน ส่งสายตาให้ฝ่ายบัญชีนำสมุดบัญชีและกุญแจวางบนโต๊ะเบื้องหน้าพระชายาเอก พูดว่า “ท่านพี่ บัญชีทั้งหมดของจวนอยู่นี่แล้ว เชิญท่านตรวจดูความถูกต้องเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายาเอกหันมองเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งขึ้น

 

 

พระชายารองโพล่งปากถาม “ท่านพี่ นี่เป็นสมุดบัญชีของจวน ให้คนนอกดูได้อย่างไรเจ้าคะ”

 

 

พระชายาเอกพูดโต้กลับไปอย่างเนิบๆ “เรื่องนี้ข้าได้ปรึกษาท่านอ๋องแล้ว บัญชีในจวนมีมากนัก ข้าคนเดียวตรวจสอบไม่ไหว จึงขอให้แม่นางเมิ่งมาช่วย”

 

 

พอได้ยินว่าอ๋องฉีก็เห็นชอบแล้ว พระชายารองทำหน้าตกตะลึง ทั้งไม่กล้าโต้แย้งอีก ทำได้เพียงก่นด่าสาปแช่งพระชายาเอกในใจ “เมื่อไร้ความสามารถ ยังจะมาถือสิทธิ์ภายในจวน ทำเอาข้าต้องขายเครื่องแต่งงานไปเกือบหมด ถึงพอจะอุดช่องโหว่นี้ได้ ไม่เช่นนั้นพอสิ้นปีข้าก็จะได้กำไรหลายแสนแล้ว”

 

 

พอคิดได้เช่นนี้ ใบหน้าก็เหยเกแทบดูไม่ได้

 

 

พระชายาเอกเห็นดังนั้น ถามด้วยเสียงละมุน “น้องสาว ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของท่านอ๋องหรือ”

 

 

พระชายารองลนลานโบกมือ “ที่ไหนกันเจ้าคะ เรื่องในจวนท่านพี่และท่านอ๋องมีสิทธิ์ขาด น้องสาวก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของท่านมาหลายปีแล้ว”

 

 

พระชายาเอกแสดงสีหน้าอิจฉา “นั่นสิ ตอนนี้น้องสาวสบายตัว แต่พี่กลับต้องลำบากแล้ว”

 

 

ตนเองได้ประโยชน์กลับแสร้งว่าถูกเอาเปรียบ พระชายารองโมโหบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ร้องก่นด่าพระชายาเอกในใจเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าดูบัญชี แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากบทสนทนาของพวกนางเลย

 

 

บัญชีในจวนมีมาก นอกจากที่นา ร้านค้าและการค้าแล้ว ข้าวของในคลังเก็บของในจวนก็มีไม่น้อย

 

 

พระชายาเอกหยิบสมุดบัญชีคลังมาพลิกดู ร้องเรียกหลิงหลงเข้ามา ให้นางนำสมุดบัญชีพาคนไปตรวจสอบสิ่งของทุกชิ้นในคลัง

 

 

หลายปีผ่านมา ในที่สุดนายของตนเองก็จะมากุมอำนาจแล้ว ต่อไปตนเองไม่ต้องก้มหัวให้สาวใช้ของพระชายารองอีก หลิงหลงดีใจขานรับคำ ยืดตัวตรง ร้องเรียกสาวใช้ขั้นหนึ่งในเรือนพระชายาเอกจำนวนหนึ่งไปยังคลังเก็บของ ตรวจนับสิ่งของอย่างละเอียด ไม่มีตกหล่นแม้สักชิ้นเดียว

 

 

ความจริงหลิงหลงคิดมากไปเอง หลายปีมานี้นอกจากเงินทอง พระชายารองหาได้แตะต้องสิ่งของอื่นในจวนไม่

 

 

ใช้เวลาตรวจสอบตลอดช่วงบ่าย ถึงตรวจบัญชีครบทั้งหมด

 

 

ดูท่าพระชายารองจะลงแรงไปไม่น้อย ทำบัญชีได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดูบัญชีเสร็จ หันไปพูดกับพระชายาเอก “บัญชีไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายารองที่ไม่ถูกจับได้ว่าตกแต่งบัญชีก็ให้โล่งใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดขึ้นต่อว่า “ทว่าอักษรในสมุดบัญชียังมีกลิ่นน้ำหมึก น่าจะเพิ่งทำเสร็จได้ไม่นาน จวนของท่านมักจะทำบัญชีตอนใกล้เวลาหรือเจ้าคะ”

 

 

ฝ่ายบัญชีถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก

 

 

พระชายารองตกใจลุกขึ้นยืนพูดละล่ำละลัก “หลายวันก่อนตอนที่ข้าสั่งฝ่ายบัญชีเข้ามาทำบัญชี เขาเผลอทำน้ำหกใส่ ข้าจึงตวาดเขาแล้วให้เขียนขึ้นมาใหม่”

 

 

ฝ่ายบัญชีรีบพูดสมทบ “ผู้น้อยไม่ระวังทำสมุดบัญชีเปียก ขอพระชายาเอกโปรดอภัยด้วย”

 

 

เรื่องช่างบังเอิญนัก คนโง่ก็รู้ว่าพวกเขาโกหก แต่บัญชีไม่มีปัญหา พระชายาเอกจึงไม่คิดหาความพวกเขา ยกยิ้มแล้วทำมือบอกให้พระชายารองนั่งลง ทั้งโพล่งหัวเราะออกมาพูดว่า “น้องสาวไยต้องลนลานเช่นนี้ นั่งลงเถอะ อย่าว่าแต่ทำบัญชีใหม่เลย ต่อให้ทำเงินขาดไป ข้าก็ไม่ว่าอะไร อย่างไรเรื่องใหญ่น้อยในจวนก็มีมากมาย หลายปีมานี้หากจะทำเงินตกหล่นไปหลายหมื่นก็เป็นเรื่องเข้าใจได้”

 

 

พระชายารองขบฟันแน่นจนเกือบจะหัก บัญชีถูกต้อง กุญแจก็มอบให้แล้ว นางกลับมาพูดจาหน้าใหญ่ใจโต หากนางพูดเร็วกว่านี้สองสามวัน ตนเองคนไม่ต้องขายเครื่องประดับศีรษะชิ้นโปรดที่สุดไป ทำเอาตอนนี้ตนเองไม่เหลือเครื่องประดับดีๆ สักชิ้นแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางสมุดบัญชีลง แสร้งแย้มยิ้มพูดกับพระชายาเอกอย่างไม่คิดอะไร “เมื่อครู่ตอนข้าตรวจดูบัญชี เห็นว่าที่จวนมีร้านค้าหลายร้านที่อยู่ในทำเลทองของเมือง บังเอิญนัก หลายวันก่อนข้าก็เพิ่งซื้อในย่านนั้นมาได้หลายร้าน”

 

 

พระชายารองเงยหน้าพลัน มองนางอย่างไม่เชื่อ

 

 

พระชายาเอกที่ไม่รู้ว่าเรื่องที่นางซื้อร้านค้าของพระชายารอง ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ดีใจแทนด้วยใจจริง “เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก ย่านนั้นเป็นทำเลที่ดีมาก ต่อให้ไม่ทำการค้า แค่เพียงปล่อยเช่า แต่ละปีก็จะทำเงินได้ไม่น้อยแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นจึงซื้อมาทีเดียวห้าร้านเลยเจ้าค่ะ”

 

 

ย่านทำเลทองนั้นอย่าว่าแต่ห้าร้านเลย แค่เพียงร้านเดียวก็ยากจะหาได้ พระชายาเอกถึงกับตกใจถลึงตาโต ถามอย่างไม่มั่นใจ “ซื้อห้าร้านหรือ”

 

 

“อือ”

 

 

“เช่นนั้นก็ต้องใช้เงินไม่น้อยสินะ” พระชายาเอกถาม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้ม ทำท่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ น้ำเสียงคึกคะนองลำพองใจ “ร้านค้าห้าร้าน ใช้เงินไปทั้งหมดเพียงสองล้านเจ้าค่ะ”

 

 

สิ้นเสียงนาง “ปัง” เกิดเสียงดังขึ้นภายในห้อง

 

 

คนทั้งหมดสะดุ้งตกใจ หันมองไปพร้อมกัน เห็นพระชายารองทรุดนั่งลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสังเวช

 

 

“น้องสาว เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือ หลิงหลงรีบไปตามหมอเข้ามา” พระชายาเอกที่ไม่รู้เรื่องราว รีบร้อนพูด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแอบแสยะยิ้ม

 

 

พระชายารองรีบโบกมือ “ไม่ต้องๆ คงเพราะเมื่อคืนข้าพักผ่อนไม่พอ เมื่อครู่จู่ๆ ก็รู้สึกหน้ามืด ถึงได้ล้มลงไป กลับไปพักผ่อนที่ห้องก็พอแล้ว”

 

 

พระชายาเอกยิ่งให้เป็นห่วง น้ำเสียงรบเร้า “เช่นนั้นก็ยิ่งต้องเชิญหมอมา อาการวิงเวียนหน้ามืดเป็นเรื่องใหญ่” ว่าแล้ว ก็สั่งหลิงหลงเสียงเข้ม “ยังไม่รีบไปอีก!”

 

 

หลิงหลงรับคำ รีบวิ่งออกไป

 

 

พระชายารองลนลานบอกปัด “ไม่ต้องจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านพี่ ข้าเป็นเช่นนี้บ่อยๆ พักสักหน่อยก็หายเองเจ้าค่ะ”

 

 

หลิงหลงหยุดรอ

 

 

พระชายาเอกพลันทำหน้าตำหนิตัวเอง “เพราะข้าสุขภาพไม่ดี พลอยลำบากเจ้าต้องมาดูแลงานในจวนหลายปี ต้องเหนื่อยทั้งใจและกาย จนสุขภาพเจ้าทรุดโทรม ข้ารู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ ครานี้ดีแล้ว มอบงานทั้งหมดในจวนให้ข้า ต่อไปเจ้าจะได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่แล้ว”

 

 

นี่เป็นคำพูดเยาะเย้ยถากถางชัดๆ ทำเอาพระชายารองแทบอยากจะทุ่มม้านั่งข้างมือ ใส่ใบหน้าจอมปลอมของนางแตกเสียให้รู้แล้วรู้รอด จำต้องสะกดกลั้น กล้ำกลืนกัดฟันพูดว่า “การแบ่งเบางานของท่านพี่เป็นหน้าที่ของน้องแล้ว หาต้องเก็บมาใส่ใจไม่”

 

 

พระชายาเอกที่เพิ่งนึกได้ว่าพระชายารองยังนั่งไม่เหมาะสมอยู่บนพื้น ตวาดใส่หลิงหลง “นังบ่าวไม่มีตา ยังไม่รีบประคองน้องสาวข้าขึ้นมาอีก!”

 

 

หลิงหลงเองก็เพิ่งจะได้สติกลับมา เดินเข้าไปคล้องแขนพระชายารอง ค่อยๆ ประคองนางลุกขึ้น

 

 

พระชายารองรู้สึกว่าตัวเองขายหน้าไม่เหลือแล้ว พอลุกขึ้นยืนก็สะบัดมือหลิงหลงออกพลัน ทำความเคารพพระชายาเอกอย่างขอไปที “เมื่อตรวจบัญชีเรียบร้อยดีแล้ว น้องสาวก็ขอตัวลาเจ้าค่ะ”

 

 

“ไปเถอะๆ” พระชายาเอกกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย “กลับไปก็พักผ่อนให้เยอะๆ หากยังไม่สบายตรงไหน ก็รีบไปตามหมอ เรื่องสุขภาพจะรอช้าไม่ได้”

 

 

พระชายารองกล่าวขอบคุณ สาวเท้าก้าวฉับๆ ออกไปจากเรือนพระชายาเอก สาวใช้ข้างกายที่รอนางในลานเรือนรีบเดินเข้าไปหมายจะประคองนางกลับ

 

 

พระชายารองถลึงตาใส่ สะบัดมือนางออก พูดอย่างเคืองขุ่น “กลับไปค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”

 

 

สาวใช้ไม่เข้าใจ

 

 

พระชายารองไม่ต้องให้สาวใช้ประคองแล้ว เดินกระฟัดกระเฟียดกลับเรือนตัวเอง

 

 

กระทั่งพระชายารองออกไปแล้ว พระชายาเอกถึงชักสีหน้า น้ำเสียงอ่อนเนิบ แต่ละคำกลับบาดลึกเข้าไปในใจฝ่ายบัญชี “เจ้าเป็นคนเก่าแก่ของจวน ใครเป็นผู้ดูแลจวนนี้เจ้าย่อมรู้แก่ใจดี เห็นแก่ที่เจ้าทุ่มเททำงานเพื่อจวนอ๋องมาหลายปี เรื่องตบแต่งทำบัญชีขึ้นใหม่นี้ข้าจะไม่เอาความ แต่หลังจากนี้…”

 

 

“พลั่ก” ฝ่ายบัญชีตกใจคุกเข่ากับพื้น “พระชายาเอกไว้ชีวิตด้วย บ่าวเองก็ถูกบังคับไม่มีทางเลือก หลายปีมานี้พระชายารองยักย้ายเงินไปเป็นจำนวนมาก หากไม่ทำบัญชีขึ้นใหม่ไม่มีทางจะตรงกัน แต่บ่าวรับประกันได้ว่า พระชายารองคืนเงินทั้งหมดกลับมาแล้ว เงินของจวนไม่ขาดไปแม้แต่อีแปะเดียวขอรับ”

 

 

“หากไม่เพราะเงินอยู่ครบ เจ้าคิดว่าข้าจะยังเก็บเจ้าไว้พูดกับเจ้าดีเช่นนี้เรอะ” พระชายาเอกพูดเสียงกร้าว

 

 

ฝ่ายบัญชีโขกศีรษะ “ขอบคุณเหนียงเหนียงที่ไว้ชีวิต ขอบคุณเหนียงเหนียงที่ไว้ชีวิต”

 

 

“ลุกขึ้นได้” พระชายาเอกพูดเนิบๆ “ต่อไปรู้ว่าควรทำอย่างไรแล้วหรือไม่”

 

 

“บ่าวทราบแล้ว เหนียงเหนียงวางใจ นับแต่นี้ไปบ่าวจะทำบัญชีอย่างชัดเจน หากท่านไม่อนุญาต ใครก็อย่าหวังจะมาเอาเงินไปจากบ่าวได้แม้ตำลึงเดียว”

 

 

“อือ” พระชายาเอกเปล่งเสียง แล้วพูดว่า “ทำดีจะมีรางวัล ทำไม่ดีจะคิดบัญชีรวบยอดพร้อมกับครั้งนี้ ลงโทษสถานหนัก”

 

 

พระชายาเอกใช้น้ำเสียงเนิบนาบ ฝ่ายบัญชีกลับตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก ลนลานรับประกัน “เหนียงเหนียงวางใจ ต่อไปบ่าวจะทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดขอรับ”

 

 

พระชายาเอกโบกมือ

 

 

ฝ่ายบัญชีถึงลุกขึ้น ขาที่สั่นเทิ้มกำลังจะก้าวถอยออกไป ลืมแม้แต่จะหอบสมุดบัญชีออกไป

 

 

“ช้าก่อน!” พระชายาเอกพูด

 

 

ฝ่ายบัญชีขาพับขาอ่อน แทบล้มทั้งยืน

 

 

พระชายาเอกสั่งเขา “เอาบัญชีกลับไปด้วย”

 

 

ไม่ได้จะลงโทษเขา หัวใจของฝ่ายบัญชีกลับสู่สภาวะปกติ เดินตัวสั่นไปข้างโต๊ะ มือสั่นเทิ้มหอบสมุดบัญชี ถอยออกไปอย่างนอบน้อม

 

 

กระทั่งเขาออกไปแล้ว พระชายาเอกก็ยกยิ้มขึ้นทันที ทำหน้าอยากรู้อยากเห็น พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอดใจรอไม่ได้ “รีบบอกข้ามา เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ ข้าเห็นหน้าเหลียนอีแทบจะกระอักเลือดอยู่แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ บอกเรื่องที่ตัวเองพบเข้ากับสาวใช้พระชายารองที่กำลังขายร้านค้าอยู่โดยบังเอิญ จึงให้เมิ่งฉีซื้อตัดราคานางมา

 

 

พระชายาเอกฟังจบ ชอบอกชอบใจพูดว่า “เจ้านี่นะ ร้ายกาจยิ่งนัก คาดว่าครั้งนี้เหลียนอีคงต้องกระอักเลือดเป็นแน่แท้แล้ว”

 

 

พระชายาเอกคาดเดาไม่ผิดจริงๆ หลังจากพระชายารองกลับมาถึงเรือนตัวเอง ก็ตวาดสาวใช้คนสนิท “เจ้าคนหนอนบ่อนไส้ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”

 

 

สาวใช้ลนลานคุกเข่า ยังไม่ทันเอ่ยปาก พระชายารองก็ถามเสียงเกรี้ยว “พูดมา ร้านค้าทั้งห้าร้านนั่น เจ้าขายให้ใครไปกันแน่”

 

 

สาวใช้ตกใจขวัญผวา น้ำเสียงสั่นเครือ “ขายให้พ่อค้าต่างเมืองคนหนึ่ง บ่าวได้รายงานเหนียงเหนียงตั้งแต่วันที่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายารองตบหน้านางฉาดใหญ่ “ยังกล้าโกหก ต้องโดนโบยก่อนใช่หรือไม่”

 

 

สาวใช้คนนี้พระชายารองเป็นคนพามาจากจวนมหาเสนาบดี ติดตามนางมาหลายปี เป็นคนสนิทข้างกายนาง มีสถานะสูงกว่าคนทั่วไป ไม่เคยถูกลงโทษมาก่อน ตอนนี้ถูกพระชายารองตบหน้ากะทันหัน ก็ให้มึนงง กุมใบหน้ามองพระชายารองอย่างไม่เชื่อ

 

 

พระชายารองโมโหจนแทบคลั่ง ไร้สติสัมปชัญญะแล้ว เห็นนางมองตนเอง จึงตบเข้าไปที่หน้านางอีกฉาด “เรื่องเล็กแค่นี้ยังทำให้ดีไม่ได้ ยังกล้ามาจ้องข้าอีก”

 

 

สาวใช้ในห้องต่างตกใจตัวสั่น ห่อหดตัวยืนหลบอีกด้าน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

 

 

สาวใช้ถูกตบติดต่อกันสองครั้ง นางมึนงงไปหมดแล้ว

 

 

แม่นมของพระชายารองเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา เห็นพระชายารองโมโหหายใจหอบ ดวงตาลุกเป็นไฟ แทบอยากจะฆ่าสาวใช้ให้ตายคามือ รีบพูดด้วยใจร้อนรน “คุณหนูคนดีของข้า มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน โมโหเช่นนี้จะเสียสุขภาพได้นะเจ้าคะ”

 

 

พระชายารองพูดเสียงเกรี้ยว “นังทาสชั้นต่ำคนนี้ เอาร้านค้าทั้งห้าร้านของข้าไปขายให้นังเด็กสาวบ้านนอกนั่น”