ณ ด้านนอกเมืองเพลิงมายา กลุ่มคนจำนวนมากกำลังรวมตัวกันโดยมีฉินเหยียน—ผู้ปกครองโลกมายาในปัจจุบันเป็นผู้นำทัพ นอกเหนือจากฉินเหยียนก็ยังมีฉินเฟิง ฉินหวยและคนอื่นที่กำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ราบเรียบใจเย็น นอกจากนี้ก็ยังมีฉินเหว่ยที่ยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน และข้างหลังทุกคนคือกองกำลังทรงพลังของฉินเหยียน
ประตูเมืองเพลิงมายาเปิดออกอย่างช้า ๆ และฉินขุยพร้อมกองกำลังก็เดินออกมา ผู้ที่อยู่หน้าสุดคือซูวั่งชวน ฉินขุย ฉินจิน เลี่ยหยางและเฉิงห่าวซวน ข้างหลังของพวกเขาคือกองกำลังของเมืองเพลิงมายา รวมถึงจอมยุทธ์อิสระและคนจากกองทหารหงเฟิง
“เหอะ ฉินขุย ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าเสนอหน้าออกมา !”
เมื่อเห็นฉินขุยและคนอื่น ๆ เดินออกมา สีหน้าของฉินเหยียนก็กลายเป็นเยือกเย็นและแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ
“เหตุใดจะไม่กล้าล่ะ ?”
ฉินขุยตอบโต้โดยที่ไม่มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“แม้ดูเหมือนความแข็งแกร่งของเราจะอ่อนแอกว่าเจ้า พวกเราก็ไม่เกรงกลัว ในเมื่อพวกเจ้ากล้านำกองกำลังมาถึงเมืองเพลิงมายาเช่นนี้ หากไม่ออกมาต้อนรับและประจันหน้ากันก็คงจะไม่ใช่พวกเรา”
ฉินจินซึ่งยืนถัดจากฉินขุยกล่าวโดยไร้ซึ่งความกลัวเช่นกัน
“ข้าพยายามถามตัวเองว่าข้าเคยทำสิ่งใดที่เลวร้ายต่อพวกเจ้ารึไม่ ทว่าข้าก็คิดไม่ออก เหตุใดพวกเจ้าจึงคิดทรยศและแปรพักตร์ไปหาเทพมายาคนใหม่เช่นนี้ ?”
ฉินเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เข้าใจสาเหตุของเรื่องนี้เลยสักนิด
ก่อนหน้านี้ ฉินขุยและคนอื่น ๆ จงรักภักดีต่อผู้เป็นนายมาเสมอ แล้วเหตุใดจู่ ๆ พวกเขาจึงแปรพักตร์ไปหาศัตรูเช่นนี้ ?
“พวกเจ้าถูกข่มขู่รึไม่ ? หากเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าก็สามารถพูดมาได้เลย ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อท่านอาจารย์และพูดแก้ต่างให้กับพวกเจ้าเอง”
ต้องกล่าวเลยว่าฉินเหยียนชาญฉลาดยิ่งนักและนางคาดเดาได้ในทันที
ฉินขุยและฉินจินมองหน้ากันทว่าสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง หากเป็นตอนแรกเริ่ม จริงอยู่ที่ว่าพวกเขาถูกฉินอวี้โม่ข่มขู่จนนำไปสู่การปฏิญาณตนภักดีต่อนาง ทว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขายอมจำนนต่อสตรีผู้นั้นจากใจจริงและยินดีทำทุกอย่างเพื่อนาง
“ฉินเหยียน เจ้านี่ช่างมีใบหน้าที่ด้านหนายิ่งนัก คำว่าเลวร้ายยังเป็นคำพูดที่ฟังดูดีเกินไปด้วยซ้ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ นอกเหนือจากเมืองที่มอบให้พวกเรารับผิดชอบดูแล ยังมีสิ่งอื่นใดที่เจ้าตอบแทนพวกเราอีกงั้นรึ ? เจ้าพยายามควบคุมพลังของพวกเรามาโดยตลอดและจงใจยุแยงให้ความสัมพันธ์ของเราแตกหัก เจ้ายังกล้ากล่าวอีกหรือว่าเจ้าไม่เคยทำสิ่งใดที่เลวร้ายต่อพวกเรา ?”
ฉินจินกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าฉินเหยียนเลยสักนิด เขาเพียงกล่าวออกไปตามความจริงและเป็นความรู้สึกที่เก็บงำมาตลอด ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หากไม่ใช่เพราะฉินเหยียน เขาและคนอื่น ๆ ก็คงจะพัฒนาและแข็งแกร่งกว่านี้มาก
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ตระหนักดีว่าผู้ยิ่งใหญ่เบื้องบนเป็นบุคคลที่โหดเหี้ยมและไร้ปรานี ทว่าฉินอวี้โม่ปฏิบัติต่อพวกเขาดั่งมิตรสหายที่แท้จริง และในหัวใจของฉินเหยียนรวมถึงคนของเบื้องบนนั้น พวกเขาก็เป็นเพียงแค่หมากในเกมและอาวุธเท่านั้น
เพราะเหตุนั้น ต่อให้ตระหนักดีว่าการติดตามฉินอวี้โม่จะต้องเผชิญกับภยันตรายมากมาย พวกเขาก็ยินดียอมจำนน ต่อให้ต้องสละชีวิต พวกเขาก็ไม่กลัวเกรง
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องกล่าวกันอีก วันนี้ข้าจะจับตัวพวกเจ้ากลับไปส่งให้ท่านอาจารย์เพื่อให้นางจัดการพวกเจ้าด้วยตัวเอง !”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินจิน สีหน้าท่าทางของฉินเหยียนก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แน่นอนว่านางทราบดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดศตวรรษที่ผ่านมา แม้ว่ามิใช่คำสั่งของตนเองโดยตรง มันก็เกี่ยวข้องกับนางพอสมควร เพราะฉะนั้นนางจึงไม่ต้องการอธิบายสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม การทรยศก็คือการทรยศ มันไม่มีคำอธิบายที่ดีใด ๆ
“เหอะ คิดจะจับตัวพวกเรากลับไปงั้นรึ ? มันไม่ง่ายนักหรอก”
ฉินขุยแค่นเสียงเย็นชา ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็จะถ่วงเวลาไว้จนกว่าฉินอวี้โม่จะออกมา
“ถ้างั้นก็ลองดูเถอะ เจ้าพวกคนทรยศ เมื่อพวกเจ้าถูกจับตัวกลับไป พวกเจ้าจะได้รู้ว่าชะตากรรมของผู้ที่ทรยศท่านป้าเป็นอย่างไร !”
ฉินเหว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม ตราบใดที่จับตัวกบฏเหล่านี้ได้ เขาเชื่อว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะแสดงตัวออกมาอย่างแน่นอน และหากคนผู้นั้นคือเทพมายาคนใหม่อย่างที่คิดไว้จริง นี่ก็ถือว่าเป็นแผนการที่ดีในการล่อลวงให้เทพมายาออกมา
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ร่างของฉินเหว่ยก็พุ่งตรงเข้าโจมตีฉินขุยทันที
“ฉินขุย วันนี้ข้าจะจัดการกับเจ้าเอง”
เมื่อเห็นการจู่โจมของฉินเหว่ย ฉินจินซึ่งยืนอยู่ด้านข้างฉินขุยก็เหวี่ยงกระบี่แหลมคมแวววาวในมือตรงไปที่ฉินเหว่ยทันที
ฉินขุยและฉินจินมองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนพุ่งออกไปเพื่อโจมตีฉินเหว่ยด้วยกัน
“เหอะ ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ไป๋จั่วแค่นเสียงเย็นชาและก้าวออกมาข้างหน้าอย่างเปิดเผย
“ผู้อาวุโสซู เราร่วมมือกันจัดการกับเขากันเถอะ”
เลี่ยหยางหันไปมองซูวั่งชวน ทั้งสองพยักหน้าให้กันก่อนพุ่งตรงไปเผชิญหน้ากับไป๋จั่ว
ไป๋จั่วไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียน แต่เลี่ยหยางและซูวั่งชวนก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย หากประมาทมากเกินไป ตัวเขาก็อาจตกอยู่ในอันตรายได้
“ฮ่า ๆ ๆ ได้เวลาที่ข้าจะได้ยืดเส้นยืดสายแล้ว”
ผู้อาวุโสรองยิ้มกริ่มพร้อมก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้า ๆ
เฉิงห่าวซวนและซูชิงมองหน้ากันก่อนก้าวออกไปโดยไม่ลังเล พวกเขาทั้งสองจะรับหน้าที่ต่อสู้กับผู้อาวุโสรอง
เมื่อเห็นว่าจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งของอีกฝ่ายล้วนติดพันอยู่กับการต่อสู้กับฝ่ายนาง ฉินเหยียนก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ผู้อาวุโสสาม ออกไปจัดการพวกนั้นเสีย”
นางกล่าวกับฉินหวยเพื่อให้จัดการกับจอมยุทธ์ที่เหลือ
อย่างไรก็ตาม ฉินหวยและคนอื่น ๆ ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ทว่าจากนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวเดินตรงไปยังฝั่งตรงข้าม
“ผู้อาวุโสสาม นี่เจ้า…”
เมื่อเห็นการกระทำที่เหนือความคาดหมายของฉินหวยและคนอื่น ๆ ฉินเหยียนก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ผู้นำฉินเหยียน ข้าต้องขออภัยด้วย”
ฉินหวยโค้งคำนับให้กับฉินเหยียนและกล่าวขอโทษขอโพยกับการกระทำของตนเองก่อนยืนรวมกับฝ่ายเมืองเพลิงมายา
“ดี ดีจริง ๆ ! ที่แท้พวกเจ้าก็ทรยศไปด้วย ไม่แปลกใจเลยที่แผนการของเราถูกทำลายไปได้เสมอ เป็นเพราะฝีมือของพวกเจ้านี่เอง !”
เมื่อเห็นการกระทำของฉินหวยและคนอื่น ๆ ฉินเหยียนยังมิอาจเข้าใจได้ สีหน้าของนางบิดเบี้ยวเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ และปรารถนาจะตัดเฉือนฉินหวยและพวกให้เป็นชิ้น ๆ
“พี่เฟิง ท่านไปเถอะ ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป”
เมื่อหันไปหาบุรุษที่ยืนข้างกายด้วยใบหน้านิ่งเฉย ฉินเหยียนก็สงบจิตใจลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ฉินเฟิงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหันขวับไปมองฉินเหยียนทันทีทว่าอีกฝ่ายกลับดูสงบนิ่งอย่างประหลาด
“นี่เจ้ารู้อยู่แล้ว…”
เสียงเบา ๆ จากปากมิใช่คำถาม หากแต่เป็นการยืนยันให้แน่ใจ
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าข้าต้องรู้ ผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิง—ฉินเฟิง”
ฉินเหยียนมองฉินเฟิงและหัวเราะเบา ๆ พร้อมกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดเสียดสีของฉินเหยียน ฉินเฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยายามจะเอ่ยบางอย่างออกไป ทว่าไม่มั่นใจเลยว่าต้องเริ่มจากจุดใด
“อันที่จริง ข้าทราบมาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เพียงแต่ข้าไม่กล้าเอ่ยออกไปและไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นความจริง พี่เฟิง…ท่านเย็นชากับข้ามากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่นั้น”
ฉินเหยียนสบตาฉินเฟิงโดยพยายามซ่อนเร้นความเศร้าในแววตา เมื่อสิบกว่าปีก่อน นางค้นพบความจริงว่าผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงแท้จริงแล้วเป็นอีกบทบาทหนึ่งของฉินเฟิง ทว่านางก็ไม่ต้องการเชื่อในสิ่งนั้นและพยายามมองข้ามมันมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เวลานี้ทุกอย่างดำเนินมาถึงจุดนี้แล้วและการแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ต่อไปก็คงจะไม่ถูกนัก
“อะไรนะ ! ฉินเฟิง นี่เจ้า…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเหว่ยผู้ซึ่งเหวี่ยงฝ่ามือฟาดเข้าใส่ฉินขุยและฉินจินอย่างจังก็หันขวับกลับมาด้วยสีหน้าที่เหยเก
“เฮ้อ…”
ฉินเฟิงถอนหายใจยาวขณะมองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของฉินเหยียน อย่างไรก็ตาม เขาไม่เอ่ยสิ่งใดและผละออกไปปรากฏข้างกายฉินหวยและคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว
“ฉินเฟิง ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้วก็มาสู้กับข้าเถอะ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าพัฒนาฝีมือไปมากเพียงใดตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าวันนี้จะแพ้หรือชนะมันก็ไม่สำคัญ มาสู้กับข้าอย่างเต็มที่ !”
ฉินเหยียนสงบความปั่นป่วนที่ถาโถมในหัวใจและสบตาฉินเฟิงราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า
แววตาเย็นชาของนางทำให้ฉินเฟิงกังวลไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เขาเพียงพยักศีรษะเบา ๆ ในเมื่อฉินเหยียนลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีผู้ใดได้รับข่าวจากฉินอวี้โม่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องช่วยในการถ่วงเวลาเช่นกัน
ฉินเหยียนแสยะยิ้มออกมาและตรงเข้าไปประจันหน้ากับฉินเฟิง ในขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและปลดปล่อยการโจมตีเข้าใส่ฝ่ายเมืองเพลิงมายาอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายเมืองเพลิงมายาก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย พวกเขาพุ่งตัวเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามไปตาม ๆ กัน ฝ่ายของพวกเขามีระดับความแข็งแกร่งที่อ่อนแอกว่าทว่ามีความได้เปรียบในด้านจำนวนคน สำหรับการต่อสู้ในวันนี้ยังไม่แน่ชัดนักว่าฝ่ายใดจะคว้าชัยชนะไปครอง
….
ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดในบริเวณรอบเมืองเพลิงมายานั้น จู่ ๆ ก็มีคลื่นความผันผวนอย่างรุนแรงเกิดขึ้นใต้หอคอยต้องห้าม
ตู้ม !
ฉินอวี้โม่ลืมตาโพลงพร้อมด้วยเสียงดังสนั่น
ตอนนี้นางสัมผัสได้ถึงพลังที่เอ่อล้นออกมาของตนเองเช่นเดียวกับพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว อีกทั้งความเร็วในการดูดซับพลังของนางก็รวดเร็วกว่าเดิมมากเช่นกัน
“ยินดีด้วยท่านแม่ ในที่สุดท่านก็ปลดผนึกที่สองของกายเทพมายาได้สำเร็จแล้ว”
หานอวี้ปรากฏกายข้างฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มกว้าง
มุมปากของฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจเช่นกันและนางสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของตนเองบัดนี้ทะลวงไปสู่ระดับสูงสุดของขอบเขตเซียนขั้นเก้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้สึกได้อีกว่าพลังของตนเองใกล้ที่จะทะลวงไปสู่ขอบเขตพสุธาเซียนเต็มที เพียงแต่โอกาสนั้นยังมาไม่ถึงเท่านั้น
“เสี่ยวอวี้ ข้าเข้าสู่ช่วงจำศีลไปนานเพียงใด ?”
ฉินอวี้โม่หันไปมองมังกรในร่างเด็กชายและเอ่ยถาม
หลังจากผ่านพ้นการลงทัณฑ์สายฟ้าได้ หานอวี้ในเวลานี้ก็ได้กลายเป็นเด็กหนุ่มที่ดูมีอายุประมาณสิบสามถึงสิบสี่ปีแล้ว แม้ว่ายังเยาว์วัย ใบหน้าได้สัดส่วนรูปงามก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนพอสมควรแล้ว เมื่อเติบโตเป็นบุรุษหนุ่ม มังกรน้อยในร่างมนุษย์จะต้องหล่อเหลาอย่างแน่นอน
“ท่านแม่ เวลาผ่านมาครึ่งปีแล้ว”
หานอวี้ยิ้มและกล่าวระยะเวลาโดยประมาณ
ต้องกล่าวเลยว่าการปลดผนึกที่สองของกายเทพมายานี้ยากลำบากอย่างยิ่ง ในตอนแรกเริ่ม ฉินอวี้โม่รู้สึกเหมือนกับว่าเส้นชีพจรในร่างกายถูกสร้างขึ้นใหม่ซึ่งเป็นกระบวนการที่เจ็บปวดอย่างที่สุด หลังจากนั้นพลังมหาศาลก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างรวดเร็วจนรู้สึกราวกับว่าร่างของนางจะระเบิดออกมา นางต้องใช้เวลานานในการดูดซับพลังเหล่านั้นอย่างช้า ๆ ก่อนที่ความยุ่งเหยิงบางอย่างจะแผ่เข้าสู่ความคิดจิตใจ
นางใช้เวลาถึงหกเดือนในการสร้างสมดุลพลังในร่างกายและปรับสภาวะพลังของตนเองให้เสถียรมั่นคง
“ครึ่งปีงั้นรึ…”
ด้วยความตะลึงไปเล็กน้อย ฉินอวี้โม่ก็นึกถึงบุตรน้อยทั้งสองที่มิได้พบหน้ากันมานานกว่าหกเดือนและมุ่งหน้าตรงเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัวอย่างรวดเร็ว
ภายในคฤหาสน์หลังน้อย เด็กน้อยชายหญิงทรงตัวก้าวเดินได้อย่างโซเซเล็กน้อยและเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดง่าย ๆ ได้บางคำแล้ว ผู้ที่ให้การดูแลเด็กน้อยทั้งสองน่าจะเป็นบรรดาอสูรมายาของนางเอง
“หม่าม๊า~ !”
ทันทีที่เห็นมารดา แม้ไม่พบกันนาน เด็กน้อยทั้งสองก็ส่งเสียงเรียกด้วยความดีใจ
ฉินอวี้โม่โผเข้ากอดบุตรทั้งสองอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า แม้ไม่รับรู้ถึงเวลาที่ผ่านไปนานถึงหกเดือน นางก็คิดถึงเจ้าตัวน้อยทั้งสองอย่างสุดหัวใจ
“นายหญิง โลกภายนอกวุ่นวายตาลปัตรยิ่งนัก เราต้องรีบไปแล้ว”
มารยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนออกมาเพราะมันทราบถึงสถานการณ์ภายนอกพอสมควร ในเวลานี้ฉินอวี้โม่ก็ปลดผนึกที่สองของกายเทพมายาได้สำเร็จแล้ว ถึงเวลาที่ต้องรีบออกไปโดยเร็ว
หลังจากนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการทำลายหอคอยต้องห้าม อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทำลายมัน ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่นางต้องครอบครองมาให้ได้ก่อน…