ฉินอวี้โม่ไม่มีเวลาถามให้มากความ นางจรดริมฝีปากแนบหน้าผากเพื่อบอกลาบุตรน้อยทั้งสองโดยบอกเพียงว่ากำลังยุ่งมากก่อนมุ่งหน้าออกจากมิติพิเศษพร้อมมารยาและหานอวี้
แม้ว่าเด็กแฝดทั้งสองจะไม่เข้าใจนัก แต่ทั้งสองก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีและมิได้ร้องไห้งอแงที่ต้องจากมารดาอีกครา เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ จะทำหน้าที่ดูแลพวกเขาซึ่งช่วยให้ฉินอวี้โม่วางใจได้
หลังออกจากมิติพิเศษ หนึ่งมนุษย์สองอสูรมายาก็ปรากฏกายขึ้นมาที่ชั้นหนึ่งของหอคอยต้องห้ามอย่างรวดเร็ว
“นายหญิง ผลึกหัวใจมายาอยู่บนชั้นที่เจ็ดของหอคอยนี้ เราไปเก็บมันมาก่อนเถอะ จากนั้นเราก็จะทำลายหอคอยต้องห้ามนี้เสีย ตอนนี้สงครามนอกเมืองเพลิงมายาไม่สู้ดีนัก เราต้องรีบไปที่นั่นโดยเร็ว มิฉะนั้นพวกเขาอาจต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้าย”
มารยาอธิบายกับฉินอวี้โม่อย่างรวบรัดขณะก้าวเดินไปด้วยกัน
ฉินอวี้โม่กังวลใจขึ้นมาเมื่อได้ทราบสถานการณ์นอกเมืองเพลิงมายาในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม นางเข้าใจดีว่าสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือสิ่งใดและเดินขึ้นไปยังชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของหอคอยต้องห้ามแห่งนี้
เมื่อมาถึงจุดหมาย ทั้งสามก็พบว่าทั่วทั้งชั้นที่เจ็ดของหอคอยมีเพียงความว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งล้ำค่าหรือแม้แต่สิ่งประดับตกแต่งใด ๆ
“นายหญิง ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือนั่นมีข่ายอาคมลวงตาปิดบังอยู่ ไม่แปลกที่ท่านจะมองไม่เห็นมัน”
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านข่ายอาคม มารยาจึงค้นพบผลึกหัวใจมายาที่ตามหาทันทีและกล่าวบอกผู้เป็นนาย
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เชื่อมั่นในคำพูดของมารยาและไม่มีข้อสงสัยใด นางรีบจ้ำอ้าวตรงไปที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือตามคำบอกทันที
ทว่าเพียงครู่เดียว สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ ฉินอวี้โม่มองเห็นโต๊ะตัวหนึ่งปรากฏตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่มารยากล่าวไว้ บนโต๊ะตัวนั้นมีผลึกรูปทรงหัวใจวางอยู่ซึ่งน่าจะเป็นผลึกหัวใจมายาที่นางตามหานั่นเอง
ก่อนที่จะสำรวจหรือพินิจพิเคราะห์ใด ๆ นางรีบหยิบผลึกดังกล่าวเก็บลงในแหวนมิติอย่างไว รวมถึงกล่องใบหนึ่งซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งก็ถูกเก็บลงในแหวนมิติเช่นเดียวกัน จากนั้นพวกนางก็กลับลงไปยังชั้นที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่จำได้ดีจากวาจาของบรรพชนเทพมายาว่าหากต้องการทำลายหอคอยต้องห้าม นางต้องไปที่ชั้นแรกของหอคอยและทำลายเสาหลักของมันเสีย
นางเริ่มจากการเปิดประตูหอคอยต้องห้ามและเหลือบมองเสาหลักขนาดใหญ่ในชั้นแรกของหอคอยก่อนที่ลูกไฟขนาดใหญ่จะปรากฏในมือ
นางไม่รอช้าและปล่อยลูกเพลิงร้อนแรงพุ่งตรงไปยังเสาหลักต้นนั้นทันที
ตู้ม !
ด้วยเสียงปะทะดังสนั่น เสาหลักของหอคอยต้องห้ามแห่งเมืองมายาก็พังทลายกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านปลิวว่อนและตัวอาคารหอคอยเริ่มสั่นคลอน
“ไปเร็ว !”
หนึ่งมนุษย์สองอสูรก็ไม่รอช้าวิ่งออกจากหอคอยต้องห้ามอย่างรวดเร็วก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของเมืองเพลิงมายา
หลังจากทั้งสามก้าวพ้นออกไป มีเพียงเสียงพังทลายเท่านั้นที่ดังสนั่นอยู่เบื้องหลัง หอคอยต้องห้ามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโลกมายามาช้านานในเวลานี้กลับกลายเป็นเพียงฝุ่นผงปลิวว่อนกลางอากาศ
“สวรรค์ ! หอคอยต้องห้ามถล่มลงมาแล้ว เห็นทีว่านี่คงจะเป็นผลจากความโกรธเกรี้ยวของเทพมายาเมื่อได้เห็นสถานการณ์ในปัจจุบันของเรา !”
ภายในเมืองมายามีคนทั่วไปหลายคนที่ยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่ที่นี่ เมื่อเห็นหอคอยต้องห้ามพังทลายลง สีหน้าของพวกเขาก็เปี่ยมไปด้วยความตกตะลึงและความหวาดกลัว
หอคอยต้องห้ามคือสัญลักษณ์ของโลกมายาและบัดนี้เมื่อมันถล่มลงมาอย่างกะทันหัน มันก็ทำให้พวกเขายอมรับไม่ได้ไปชั่วขณะ
“จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เดิมทีโลกมายาของเราถูกสร้างขึ้นโดยเทพมายา ทว่าพวกเราทั้งหมดกลับจำนนต่อผู้ทรยศและทำหลายสิ่งหลายอย่างให้คนผู้นั้น หากท่านเทพมายาไม่โกรธเกรี้ยวก็คงเป็นเรื่องแปลก ตอนนี้หอคอยต้องห้ามก็ถล่มลงมาแล้ว เกรงว่านี่คือสัญญาณเตือนจากท่านเทพมายา หากเรายังไม่สำนึกผิด ต่อไปสิ่งที่ต้องสลายหายไปก็คงจะเป็นโลกมายาของเรา”
อีกคนกล่าวด้วยความหวาดกลัว ทว่าเขาเชื่ออย่างที่กล่าวออกไปจริง ๆ
“อา… ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรต่อไป ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนกทันที
“เราควรปฏิญาณความจงรักภักดีต่อท่านเทพมายา มิฉะนั้นหากโลกมายาต้องล่มสลายจริง เราคงต้องสลายหายไปพร้อมกับมัน ข้ายังไม่อยากตายในตอนนี้”
อีกคนกล่าวความคิดของตนและเสนอให้ทุกคนปฏิญาณตนและยอมจำนนต่อเทพมายาโดยที่ไม่มีวันทรยศอีก เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเขา พวกเขาก็คล้อยตามในทันที พวกเขาไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะทรยศอีกต่อไป
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ล่วงรู้เลยว่าการถล่มทลายของหอคอยต้องห้ามจะก่อให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ต่อชาวเมืองมายาเช่นนี้ บัดนี้นางอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวขณะมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเพลิงมายาอย่างรวดเร็วพลางวิงวอนในหัวใจหวังมิให้ไปถึงที่นั่นสายเกินไป
ในขณะเดียวกัน ภายในคฤหาสน์หรูหรางดงามในดินแดนเทพมายา โฉมนารีงดงามผู้หนึ่งซึ่งกำลังหลับตานิ่งก็ลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“หอคอยต้องห้ามแหลกสลายแล้ว !”
นางกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงเจือความเยือกเย็นดุจดั่งน้ำแข็ง
“เทพมายาคนใหม่… เจ้าปรากฏตัวขึ้นแล้วจริง ๆ !”
นางกล่าวต่ออีกประโยคก่อนที่ร่างของนางจะหายวับไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
…..
ณ นอกเมืองเพลิงมายา การต่อสู้ดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้งตลอดทั้งวันทั้งคืน
ต้องกล่าวเลยว่าฉินเหยียนและคนอื่น ๆ แข็งแกร่งยิ่งนัก แม้ว่าฝ่ายเมืองเพลิงมายาจะมีคนจำนวนมาก พวกเขาก็มิอาจครองชัยได้เลย
การต่อสู้ที่ยาวนานตลอดวันตลอดคืนไม่เพียงแต่จะไม่สามารถขับไล่ฉินเหยียนและพวกออกไปเท่านั้น ทว่ายังทำให้พวกเขาบาดเจ็บและเริ่มอ่อนแรงพอสมควร
ฉินขุยและฉินจินร่วมมือกันต่อสู้กับฉินเหว่ย และการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มต้นด้วยการต่อสู้อย่างเท่าเทียม ทว่าหลังจากการต่อสู้อันดุเดือดยาวนาน พวกเขาก็ค่อย ๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ฉินเหว่ยเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตพสุธาเซียน ไม่ว่าจะเป็นพลัง ความแข็งแกร่งทางร่างกายหรือพลังวิญญาณ เขาก็เหนือชั้นกว่าทั้งสองมาก
หากมิใช่เพราะอสูรมายาของพวกเขาที่มีส่วนช่วยได้มาก เกรงว่าพวกเขาคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินขุย ฉินจิน อยากจะเห็นนักว่าพวกเจ้าจะทนสู้ได้นานแค่ไหน !”
แน่นอนว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่ค่อย ๆ อ่อนแอลงของทั้งสอง ฉินเหว่ยก็ยิ้มอย่างผู้ชนะและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เขายังมีไพ่ตายที่ซ่อนไว้ หากมันถูกนำมาใช้ ฉินขุยและฉินจินคงไม่มีโอกาสแสดงฝีมือได้อีก
“เหอะ !”
ฉินขุยและฉินจินเกียจคร้านเกินกว่าจะใส่ใจกับวาจาเยาะเย้ยของฉินเหว่ยและเพียงจู่โจมเขาต่อไปอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามถ่วงเวลาให้ได้นานยิ่งขึ้น
แท้ที่จริงแล้วพวกเขามิได้คิดที่จะเอาชนะฉินเหว่ยด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรแล้วความแข็งแกร่งของฉินเหว่ยก็เหนือกว่าพวกเขาทั้งสองและเป็นถึงจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียน พวกเขาเพียงคิดที่จะถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุดเท่านั้น
“เหอะ ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นอสูรมายาของข้า”
เมื่อเริ่มหมดความอดทนกับอสูรมายาของฉินขุยและฉินจิน ฉินเหว่ยก็แค่นเสียงเย็นชาและตัดสินใจที่จะไม่ยั้งมืออีก
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา อสูรมายาที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวก็ปรากฏตัวถัดจากเขา
แม้ว่าอสูรตัวนี้จะมีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดยิ่งนัก ทว่ามันก็ทำให้สีหน้าของฉินขุยและฉินจินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“เหอะ นี่คืออสูรโบราณที่ท่านป้ามอบให้ข้า—อัปลักษณ์ อยากเห็นนักว่าพวกเจ้าจะรับมืออย่างไร !”
ฉินเหว่ยแค่นเสียงเย็นชา ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการต่อสู้ให้ยืดเยื้ออีกต่อไปแล้วและเชื่อว่าอสูรมายาของเขาเพียงอย่างเดียวก็สามารถเอาชนะฉินขุยและฉินจินได้
อัปลักษณ์… เพียงชื่อของมันก็บ่งบอกถึงความน่าเกลียดน่ากลัวอย่างยิ่งแล้ว รูปร่างของมันเป็นสีดำสนิทและมีขนาดไม่ใหญ่นัก มันไม่มีจมูกที่เห็นได้ชัดด้วยซ้ำแต่ก็แผ่กลิ่นอายที่รุนแรงอย่างยิ่ง
“โฮกกก…”
เจ้าอัปลักษณ์อ้าปากคำรามอย่างน่าขนลุก
แรงดึงดูดทรงพลังที่แผ่ออกมาและอสูรมายาสองตัวของฉินขุยและฉินจินก็ถูกดูดเข้าไปในปากกว้างของมันโดยตรง
“เอิ๊กกก~”
มันส่งเสียงที่เหมือนกับเสียงเรอออกมาและหน้าตาน่าเกลียดของมันก็แสดงถึงความพึงพอใจอย่างยิ่ง
เมื่อสัมผัสได้ว่าขาดการเชื่อมต่อกับอสูรมายาของตนเองแล้ว ทั้งฉินขุยและฉินจินต่างก็ตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าเจ้าอัปลักษณ์ตัวนี้จะน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก มันสามารถกลืนกินอสูรมายาของพวกเขาทั้งสองได้โดยตรง
“วะฮะฮ่า ! เป็นอย่างไร ? อสูรของข้าไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ ?”
เมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของฉินขุยและฉินจิน ฉินเหว่ยก็แสยะยิ้มและหัวเราะเสียงดังก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย
“ไม่ต้องห่วง เมื่อมันย่อยสลายอสูรมายาทั้งสอง พวกเจ้าจะกลายเป็นอาหารของมันในไม่ช้า”
ฉินเหว่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงยโสโอหัง
“ฉินขุย ฉินจิน ถอยไปก่อนเถอะ พวกท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา !”
แน่นอนว่าฉินเฟิงก็รับรู้สถานการณ์ของพวกเขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและกล่าวเตือนเสียงดัง
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิง ทั้งสองก็รีบถอยออกไปไกลทันที
ผลัวะ !
หลังละสายตาเพียงชั่วขณะ ฉินเฟิงก็ถูกฝ่ามือของฉินเหยียนฟาดเข้าใส่อย่างแรงจนกระเด็นออกไปและร่วงลงกระแทกพื้น
“พรวด !”
เขาพยุงตัวลุกขึ้นนั่งและกระอักเลือดคำโต ใบหน้าของฉินเฟิงซีดเซียวลงเล็กน้อย
“พี่เฟิง !”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของฉินเฟิง ฉินเหยียนก็ตะโกนด้วยความเป็นห่วงทันที นางตะโกนออกไปโดยที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด นางไม่ได้ต้องการทำร้ายฉินเฟิงเลย และในการต่อสู้เมื่อครู่นี้นางก็รู้สึกได้ว่าเขายังยั้งมืออยู่ เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางมิอาจคิดอะไรได้มากนัก
“ท่านลุงฉินเฟิง ท่านเป็นอะไรรึไม่ ?”
ซูน่าและอาอู่ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วและช่วยพยุงฉินเฟิงลุกขึ้นพร้อมกล่าวด้วยความกังวล
“ข้าไม่เป็นไร”
ฉินเฟิงส่ายศีรษะเบา ๆ ขณะสายตาของเขาทอดมองไปที่ฉินเหยียนซึ่งอยู่ห่างออกไป เมื่อเห็นความเป็นห่วงกังวลที่ฉายชัดในแววตาของนาง เขาก็ยิ้มบาง ๆ และไม่ได้เปิดฉากโจมตีอีกต่อไป
ตูม ! ผลัวะ !
ด้วยเสียงโจมตีสองครั้ง ซูวั่งชวนและเลี่ยหยางผู้ซึ่งต่อสู้กับไป๋จั่วก็ถูกฟาดกระเด็นออกมาร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรงพร้อมกับกระอักเลือดออกมา
อสูรมายาของพวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บโดยฝีมือของอสูรมายาสีขาวเกรียมของฝ่ายตรงข้ามซึ่งมีพลังในระดับพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและกลิ่นอายของพวกมันก็อ่อนกำลังลงเล็กน้อย
“ท่านปู่ ! ท่านลุงเลี่ยหยาง !”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของซูวั่งชวนและเลี่ยหยาง ซูน่าและอาอู่ก็วิ่งปรี่เข้ามาช่วยพยุงพวกเขาโดยเร็ว
“ฮ่า ๆ ๆ ถือว่าฆ่าเวลาได้ดี ทว่าพวกเจ้ายังอ่อนแอเกินไป”
ไป๋จั่วหัวเราะเสียงดังลั่น เขาไม่ได้ต่อสู้อย่างสุขใจเช่นนี้มานานแล้ว
เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็ปรี่เข้ามาตรงหน้าพวกเขาเช่นกัน
พวกเขารู้สึกได้ว่าเลี่ยหยางและซูวั่งชวนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วและประสิทธิภาพการต่อสู้ไม่ดีเท่าที่เคย ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันในตอนนี้ก็มิอาจเทียบกับอีกฝ่ายได้
ตู้ม !
อีกฟากหนึ่งของการต่อสู้ เฉิงห่าวซวนและซูชิงก็ถูกโจมตีและพ่ายแพ้ให้กับผู้อาวุโสรองเช่นกัน เวลานี้พลังของพวกเขาอ่อนแอลงพอสมควร
“ทุกคนล่าถอยมาก่อนเถอะ !”
เมื่อเห็นว่าทุกคนบาดเจ็บแล้ว ฉินเฟิงก็กล่าวบอกให้ทุกคนล่าถอยออกมาก่อน
แน่นอนว่าเหล่าชาวเมืองเพลิงมายามิได้ลังเล หลังจากการต่อสู้ยาวนานตลอดวันตลอดคืน พลังความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ลดน้อยลงอย่างมาก หากยังดึงดันสู้ต่อไปก็คงมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากขึ้นเรื่อย ๆ
ฝ่ายฉินเหยียนมิได้ไล่ตามพวกเขาทว่ารวมตัวกันข้างหลังนางและรอฟังคำสั่งชี้ขาดของนาง
ในฝ่ายของฉินเหยียน นาง ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรอง ฉินเหว่ยและผู้ที่ติดตามมากับเขาก็มิได้บาดเจ็บนักและพลังของพวกเขาก็ลดลงเพียงเล็กน้อย และสำหรับบรรดาคนที่นางพามาด้วย แม้ว่าได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับฝ่ายเมืองเพลิงมายา แต่อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ไม่ได้รุนแรงนัก
สำหรับฝ่ายเมืองเพลิงมายา ซูวั่งชวน เลี่ยหยาง ฉินขุย ฉินจินและเฉิงห่าวซวนล้วนได้รับบาดเจ็บพอสมควรและพลังในการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่มากเท่าเดิมอีกต่อไป ฉินเฟิงถูกฉินเหยียนฟาดฝ่ามือโจมตีอย่างแรง แม้ว่าเขายังไม่ได้บาดเจ็บนัก การรับมือกับอีกฝ่ายก็มิใช่เรื่องง่าย เวลานี้ฝ่ายเมืองเพลิงมายาเป็นฝ่ายเสียเปรียบและตกอยู่ในช่วงวิกฤตแล้ว
“ข้ากล่าวไว้แล้วว่าพวกเจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา !”
ฉินเหยียนวางท่าและลั่นวาจาเสียงดัง
“แล้วอย่างไรเล่า !?”
ฉินเฟิงตอบกลับในทันที
ฉินเหยียนกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา ทว่าจู่ ๆ ใครบางคนก็ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นกระซิบกระซาบบางอย่างข้างหูของนาง ไม่ว่าคำพูดเหล่านั้นคือเรื่องใด มันก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงไปทันที
.