ตอนที่ 462 ผู้ทรยศฉินมู่ยวี่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของฉินเหยียน ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ความวิตกเมื่อครู่และความปรารถนาที่จะต่อสู้จนตัวตายค่อย ๆ จางหายไป

“ฮ่า ๆ ๆ ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่จู่ ๆ พวกเจ้าก็ก่อกบฏและประกาศสงครามกับพวกเราเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นแผนเพื่อทำให้เราสับสนและถ่วงเวลานี่เอง !”

ฉินเหยียนกล่าวขึ้นเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มเยือกเย็นและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน

เพียงได้ข่าวที่ว่าหอคอยต้องห้ามได้ถูกทำลายไปแล้ว นางก็เข้าใจเรื่องราวตื้นลึกหนาบางของสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในทันที

สาเหตุที่ฉินขุยและคนอื่น ๆ อาจหาญเดินหน้าต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อตลอดหกเดือนที่ผ่านมานี้กลับกลายเป็นแผนการในการปิดบังเบาะแสของใครคนหนึ่งและเบี่ยงเบนความสนใจของพวกนางเพื่อให้เทพมายาคนใหม่เข้าไปที่หอคอยต้องห้ามและฉกฉวยสิ่งที่พวกนางพยายามเก็บรักษาไว้

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าอวี้โม่ที่ดูธรรมดา ๆ ผู้นั้นแท้จริงแล้วคือเทพมายาคนใหม่ที่เราตามหา ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับนางตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา แท้ที่จริงแล้วนางก็มิได้ย่างกรายออกไปจากหอคอยต้องห้ามเลย”

บัดนี้นางเข้าใจอย่างกระจ่างแล้ว เหตุใดสงครามจึงถูกจุดชนวนเริ่มต้นในตอนนั้น ? เหตุใด ‘อวี้โม่’ ที่ลือกันว่างดงามไร้ที่ติในตอนแรกกลับดูธรรมดามิได้โดดเด่น ? เหตุใดนางที่เคยปฏิเสธคำเชิญรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรโดยไม่ลังเลในตอนแรกกลับเปลี่ยนใจและรับตำแหน่งนั้นอย่างกะทันหัน ? แท้ที่จริงทั้งหมดนั้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ของพวกเขา

“ฉินเหยียน น่าเสียดายจริง ๆ ที่เจ้าตระหนักได้เมื่อสายเกินไป”

ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ยังมิได้เอ่ยปาก หากแต่เสียงดังกล่าวดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่ร่างของฉินอวี้โม่จะปรากฏกายตรงหน้าฉินเฟิงและทุกคน สายตาของนางมองไปที่ฉินเหยียนอย่างราบเรียบใจเย็น

เวลานี้ฉินอวี้โม่แต่งกายด้วยชุดสำหรับต่อสู้และรูปลักษณ์ของนางก็กลับคืนสู่ปกติเช่นกัน ด้วยใบหน้างดงามและรูปร่างสมบูรณ์แบบของนาง ทันทีที่นางปรากฏตัวขึ้นมา สายตาของทุกคนจึงบรรจบลงที่ตัวนางอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ดวงตาของฉินเหว่ยก็เบิกกว้างเช่นกัน เขาไม่คาดคิดเลยว่าตัวจริงของเทพมายาคนใหม่จะงดงามถึงเพียงนี้

“เหอะ งดงามสมดั่งคำร่ำลือจริง ๆ”

ฉินเหยียนตกตะลึงเล็กน้อยและอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ นางเชื่อมั่นมาเสมอว่าตนเองงดงามพอสมควร ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่ นางยังต้องรู้สึกอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกลิ่นอายความห่างไกลเกินเอื้อมของนางที่ดูมีเสน่ห์น่าค้นหาอย่างยิ่ง

“หากข้าเดาไม่ผิด พวกเจ้าคงแปรพักตร์ไปหานางตั้งแต่การสำรวจซากปรักหักพังของผู้ใช้ข่ายอาคมครานั้นแล้ว”

ขณะกวาดสายตามองฉินขุยและทุกคน ฉินเหยียนก็กล่าวยืนยันข้อคาดเดาของตน เพียงแต่พวกเขาเหล่านี้แสดงละครตบตาได้อย่างแนบเนียนโดยไร้ซึ่งข้อบกพร่องหรือจุดบอดใด ๆ แม้ว่าฉินเหยียนจะเคยสงสัยและส่งคนไปสืบหาความจริง ท้ายที่สุดนางก็ล้มเลิกความคิดเหล่านั้นเพราะไม่ได้รับเบาะแสใดที่เป็นประโยชน์ ก่อนหน้านี้นางก็ไม่เคยเชื่อว่าฉินขุยและคนอื่น ๆ จะแปรพักตร์ไปภักดีต่อเทพมายาคนใหม่

ทว่าอนิจจา…การตัดสินใจและการเชื่อมั่นของนางในตอนนั้นกลับผิดถนัด

“ต้องขออภัยด้วย…”

เมื่อเห็นสีหน้าแววตาของฉินเหยียน ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็อดกลั้นไม่ไหวและกล่าวออกไปอย่างขอโทษขอโพย

“เหอะ พวกเจ้าไม่ต้องเสแสร้งอะไรอีกต่อไป ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยพูดอะไรอีก วันนี้มาสู้กันให้เต็มที่เถอะ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะไม่หยุดจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง !”

ฉินเหยียนแค่นเสียงเย็นชา แววตาของนางในเวลานี้เยือกเย็นอย่างที่สุด นางไม่ต้องการฟังคำขอโทษของผู้ใด ในเมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว นางก็ขอต่อสู้อย่างเต็มที่โดยไม่มีทางยอมแพ้

หลังจากกล่าวจบ ร่างของนางก็พุ่งตรงเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่ทันที

“การต่อสู้จากนี้ไปปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าและอสูรมายาเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวพร้อมส่งสัญญาณเพื่อให้ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ รับชมการต่อสู้อยู่เฉย ๆ การต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ เพียงแค่นางและอสูรมายาก็เพียงพอที่จะรับมือได้แล้ว

“เจ้าอัปลักษณ์เอ๋ย คิดจะออกมาทำให้ผู้คนหวาดกลัวงั้นรึ ? น่าตลกสิ้นดี ! วันนี้นายน้อยผู้นี้จะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าได้รู้ว่านายน้อยผู้นี้ทรงพลังเพียงใด !”

ร่างของหานอวี้พุ่งตรงไปหยุดตรงหน้าเจ้าอัปลักษณ์

“เจ้าหนูน้อย จะเล่นอะไรก็ไปเล่นที่อื่นเถอะ อย่ามาทำให้ตนเองอับอายขายหน้าแถวนี้”

เมื่อเห็นร่างเด็กหนุ่มเข้ามายืนตรงหน้าอย่างอาจหาญ ฉินเหว่ยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน รูปลักษณ์ของหานอวี้ในตอนนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบสามถึงสิบสี่ปีเท่านั้น เขาไม่เชื่อว่าหานอวี้จะมีความสามารถที่พิเศษใด ๆ

หานอวี้เมินเฉยต่อฉินเหว่ยและกำปั้นเล็ก ๆ ของมันก็กระแทกตรงเข้าที่เจ้าอัปลักษณ์อย่างจัง

“โฮกกก !”

เจ้าอัปลักษณ์คำรามออกมาทันที แรงดึงดูดมหาศาลจากปากของมันแผ่ออกมาอีกคราและพยายามดูดกลืนหานอวี้เข้าไป

“เจ้าอัปลักษณ์ ถ้าเจ้าอยากจะกินนัก นายน้อยผู้นี้ก็จะสนองให้”

หานอวี้ยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ทันใดนั้น อาวุธแหลมคมขนาดเล็กและใหญ่จำนวนมากก็ปรากฏในมือของมัน

“เชิญกินได้ตามสบาย !”

หานอวี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มและพุ่งไปปรากฏตรงหน้าเจ้าอัปลักษณ์ทันที อาวุธในมือของมันปักตรงเข้าในปากยักษ์ใหญ่ของอีกฝ่ายจนเลือดไหลทะลักออกมา

ก่อนที่เจ้าอัปลักษณ์จะตอบสนองได้ทัน ความเจ็บปวดอย่างที่สุดก็แล่นเข้าทิ่มแทง

“โฮกกกกกกก…”

เจ้าอัปลักษณ์โหยหวนเสียงดังสนั่น ลักษณะท่าทางยโสของมันก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิงขณะเกลือกกลิ้งบนพื้นด้วยความเจ็บปวด

หานอวี้ยิ้มอย่างผู้ชนะ ในฐานะมังกรทองห้าเล็บ มันทราบดีว่าถึงแม้เจ้าอัปลักษณ์จะมีการป้องกันที่แกร่งกล้า ทว่าส่วนภายในของร่างกายมันก็อ่อนแออย่างยิ่ง หลังจากกลืนกินอาวุธแหลมคมมากมายเข้าไปในคราวเดียว มันจึงต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานานพอสมควร

เมื่อเห็นว่าการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียวของเด็กหนุ่มเยาว์วัยก็ทำให้อสูรอัปลักษณ์ของเขาสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ สีหน้าของฉินเหว่ยก็เปลี่ยนไปทันทีและแววตาที่เขามองหานอวี้ก็เต็มไปด้วยความตกใจและความระแวดระวัง

“เจ้าเป็นใครกันแน่ !?”

แววตาที่ฉินเหว่ยมองหานอวี้เริ่มกลายเป็นความสะพรึงกลัวและสมองของเขาแล่นเร็วจี๋เพื่อคิดวิธีการตอบโต้

เมื่อเห็นแล้วว่าความแข็งแกร่งของหานอวี้ดูจะเหนือชั้นกว่าเจ้าอัปลักษณ์และตัวเขา หากเผชิญหน้ากันอย่างซึ่ง ๆ หน้า บางทีทั้งเขาและอสูรมายาอาจจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้

“เหตุใดข้าจะต้องบอกเจ้าด้วยเล่า ?”

หานอวี้ยิ้มยียวน มันไม่คิดที่จะสู้กับฉินเหว่ยและถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว

“มารยา ข้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าก็แล้วกัน ข้าไม่ต้องการให้มือข้าแปดเปื้อน”

หานอวี้กล่าวกับมารยาพร้อมยิ้มขณะชายตามองฉินเหว่ยอย่างเหยียดหยาม มันเห็นถึงสายตาของฉินเหว่ยที่ใช้มองฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้เช่นกัน บุรุษผู้นี้กล้าที่จะคิดหมายปองท่านแม่ของข้าอย่างนั้นรึ ? ช่างเป็นความคิดที่เพ้อฝันสิ้นดี !

“เจ้าจึงต้องการให้มือของข้าแปดเปื้อนแทนรึ ?”

มารยากล่าวอย่างอดไม่ได้ทว่ามุมปากของมันกระตุกเป็นรอยยิ้มชัดเจน

“เฮ้ เจ้าเป็นถึงผู้ใช้ข่ายอาคมระดับเชี่ยวชาญ เจ้าไม่ต้องจัดการกับเขาด้วยตัวเองด้วยซ้ำ”

หานอวี้ยิ้มกว้างจากด้านข้าง ท่าทางของมันในตอนนี้ดูราวกับกำลังนั่งชมการแสดงที่น่าสนใจ

สีหน้าของฉินเหว่ยบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินว่ามารยาเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมระดับเชี่ยวชาญ เดิมทีหานอวี้เยาะเย้ยเขามากจนเขาโกรธเกรี้ยวและอยากจะจัดการให้สิ้นซาก ทว่าครานี้ฉินเหว่ยกลับสงบนิ่งอย่างประหลาด

เมื่อเผชิญหน้ากับหานอวี้และผู้ใช้ข่ายอาคมระดับเชี่ยวชาญ ต่อให้เขารีบปรี่เข้าไป มันก็มีแต่จะเผชิญกับจุดจบและไม่เกิดผลประโยชน์ใด ๆ

เมื่อหันไปรอบตัว เขาก็พบว่าหลายคนที่ฉินเหยียนพามาด้วยในครานี้ยืนแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว สมาชิกฝ่ายเมืองเพลิงมายาก็ไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน พวกเขาเพียงยืนนิ่งอยู่กับที่และมองฉินอวี้โม่อย่างเป็นกังวล

ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรองและคนอื่น ๆ ที่มากับพวกเขาล้วนถูกล้อมโดยอสูรมายานับสิบตัว แม้ว่าหากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว พวกเขาจะไม่ตกเป็นรองอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการล้อมรอบของอสูรมายาจำนวนมากเช่นนี้ พวกเขาก็มิอาจตอบโต้ได้เลย อีกทั้งยังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ

การต่อสู้ระหว่างฉินอวี้โม่และฉินเหยียนก็ดุเดือดอย่างยิ่งและทั้งสองน่าสะพรึงกลัวไม่ต่างกัน

สาเหตุที่ฉินอวี้โม่และอสูรมายาของนางสามารถขัดขวางจอมยุทธ์เหล่านี้ไว้ได้เป็นเพราะนางได้ปลดผนึกที่สองของกายเทพมายาสำเร็จแล้วซึ่งทำให้อสูรมายาทั้งหมดของนางพัฒนาขึ้นมากเช่นกัน อสูรหลายตัวบรรลุระดับเซียนขั้นเก้าและความแข็งแกร่งของพวกมันเหนือชั้นกว่าเมื่อครึ่งปีก่อนหลายเท่าตัวนัก ด้วยเหตุนี้ เมื่อประจันหน้ากับฝ่ายฉินเหยียน พวกมันจึงไม่เสียเปรียบเลยสักนิด

ฉินเหยียนและฉินอวี้โม่กระหน่ำการโจมตีใส่กันนับสิบกระบวนท่าและฉินเหยียนก็ต้องแอบตกตะลึงอยู่ในใจ

เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตเซียนขั้นเก้า ทว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงกลับดูไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียนเลย ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะและประสบการณ์การต่อสู้ที่ช่ำชองของฉินอวี้โม่ก็เหนือกว่านางอย่างเห็นได้ชัด หลังจากการโจมตีกว่าสิบกระบวนท่า ไม่เพียงแต่นางจะทำให้ฉินอวี้โม่บาดเจ็บไม่ได้เท่านั้น ทว่าในทางกลับกัน การโจมตีแปลกประหลาดหลายคราของฉินอวี้โม่ก็เกือบทำให้นางพลาดท่าไปเช่นกัน

“เหอะ แน่นอนว่าต้องพอมีฝีมืออยู่เหมือนกันถึงจะเป็นเทพมายาคนใหม่ได้”

ฉินเหยียนแค่นเสียงเย็นชาและเหวี่ยงฝ่ามือฟาดตรงไปที่ฉินอวี้โม่อย่างแรง

“ขอบคุณสำหรับคำชม”

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มอ่อนและสีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงเพราะวาจาของอีกฝ่าย

“เพียงแต่วันนี้เจ้าจะต้องพ่ายแพ้!”

หลังจากกล่าวพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น จู่ ๆ ฉินเหยียนก็หยิบไข่มุกออกมาเม็ดหนึ่งและบดขยี้มันจนแหลกเป็นชิ้น ๆ

ทันทีที่ไข่มุกดังกล่าวถูกบดจนแหลกละเอียด แรงกดดันที่ทรงพลังก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งท้องนภาเป็นระยะนับร้อยลี้ซึ่งส่งผลให้ฉินอวี้โม่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ฉินเหว่ยก็แสดงสีหน้ามีความสุขอย่างยิ่งราวกับว่าเขาทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เขาปรี่ตรงเข้าไปอยู่ข้างฉินเหยียนอย่างรวดเร็วและเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบนด้วยแววตาคาดหวัง

สีหน้าของฉินเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่ร่างของเขาปรี่ตรงไปหยุดยืนข้างฉินอวี้โม่

“ไข่มุกเม็ดนั้นคือไข่มุกสื่อสารที่ใช้ติดต่อกับผู้ยิ่งใหญ่เบื้องบน หากข้าเดาไม่ผิด ผู้ที่อยู่เบื้องบนผู้นั้นน่าจะปรากฏตัวในไม่ช้า”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของฉินเฟิง สีหน้าของฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างมากก่อนที่พวกเขาจะรีบจ้ำอ้าวตรงมาใกล้ฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว

“ฮ่า ๆ ๆ ผ่านมานานนับพันปี ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นมา”

เสียงหัวเราะที่ฟังดูห่างไกลดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่ร่างมายาของสตรีผู้หนึ่งปรากฏกายกลางท้องนภาเหนือศีรษะของพวกเขาทุกคน

นางเป็นสตรีรูปโฉมงดงามอย่างยิ่ง อาภรณ์สีแดงสดทำให้นางดูเย้ายวนน่าดึงดูดและนางดูจะมีอายุเพียงประมาณสามสิบปีเท่านั้น ดวงตาคู่งามสะกดทุกสายตาคู่นั่นเผยเสน่ห์ที่มิอาจต้านทาน รอยยิ้มบนริมฝีปากบางสวยได้รูปทำให้ผู้พบเห็นราวกับต้องมนต์สะกด

หลังจากนางปรากฏตัว แรงกดดันทั่วบริเวณก็รุนแรงยิ่งขึ้นและแม้แต่หลายคนจากฝ่ายฉินอวี้โม่ก็เข่าทรุดลงไปกับพื้นเพราะแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวนี้

“คารวะท่านอาจารย์”

“คารวะท่านป้า”

“คารวะนายหญิง”

เสียงจากคนหลายคนดังขึ้นซึ่งยืนยันตัวตนของสตรีผู้นี้ได้อย่างชัดเจน นางมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นผู้ทรยศจากเมื่อพันปีก่อนและเป็นผู้นำของชนเผ่ามายาในปัจจุบัน—ฉินมู่ยวี่ !

“ลุกขึ้นเถอะ”

ฉินมู่ยวี่กล่าวขึ้นเบา ๆ เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นยืนตามปกติ

หลังจากกวาดสายตามองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ นางก็กล่าว “ฉินเฟิง ฉินหวย พวกเจ้าริอาจยิ่งนัก พวกเจ้าไม่แสดงความเคารพต่อข้าแล้วรึ ?!”

สีหน้าของทั้งฉินเฟิงและฉินหวยเหยเกอย่างยิ่ง ฉินมู่ยวี่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้ามาและทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัด อย่างไรก็ตาม พวกเขาพยายามควบคุมมันไว้และมองตรงไปที่ฉินมู่ยวี่

“ฮ่า ๆ ๆ ผู้ที่พวกเขายอมจำนนอย่างแท้จริงคือเทพมายา มิใช่คนทรยศอย่างเจ้า เหตุใดพวกเขาจะต้องแสดงความเคารพต่อเจ้ากัน ?”

แน่นอนว่ารู้สึกเช่นเดียวกับฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ฉินอวี้โม่จึงกล่าวตอบออกไปและมองฉินมู่ยวี่อย่างไร้ซึ่งความหวาดหวั่นใด ๆ

“ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดงั้นรึ ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ฉินมู่ยวี่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแรงกดดันอันทรงพลังก็แผ่ตรงไปที่ฉินอวี้โม่ทันที