กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 959

“ในเมื่อข้ากล้าเข้ามาที่นี่ ข้าก็ไม่คาดหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับออกไป หลานของข้าล่ะ หลานของข้าอยู่ที่ไหน?”

“ตัวเองยังแทบเอาตัวไม่รอด ยังจะเป็นห่วงไอ้เด็กเวรนั่นอีก วางใจได้ รอให้เจ้ากลายเป็นอาหารของข้าเสียก่อน ไม่นานเขาก็จะได้เจอกับเจ้าแล้ว”

“ยอดฝีมือในดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง โดยเฉพาะวัยรุ่นที่อายุยังน้อย ล้วนต่างถูกเจ้าทำร้ายอย่างนั้นหรือ?”

“ตาเฒ่า สติปัญญาของเจ้าไม่ได้ต่ำต้อย”

“เจ้าฆ่าสังหารผู้ที่จงรักภักดีและฆ่าผู้บริสุทธิ์ ทำแต่เรื่องชั่วช้า อาณาจักรรัฐปิงแทบจะไม่เหลือความเป็นอาณาจักรเพราะเจ้า ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา มีประชากรจำนวนมากที่ต้องอพยพพลัดถิ่นและอดอยาก วันนี้ต่อให้เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าก็จะเป็นคนกำจัดนางผู้หญิงชั่วช้าอย่างเจ้าแทนประชาชนทุกคน”

“เพียงแค่ยอดฝีมือวรยุทธ์ระดับห้าขั้นสูงสุดเท่านั้น เจ้ากล้าพูดจาอวดดีต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ”

“ระดับเจ็ดข้าก็ไม่กลัว วันนี้ต่อให้ข้าต้องตายข้าก็จะพยายามอย่างเต็มที่”

ทั้งสองเริ่มลงมือต่อสู้กัน

วรยุทธ์ของท่านผู้เฒ่าหนิงนั้นเก่งกาจมาก ทว่าเมื่อเทียบกับจักรพรรดินีแล้วนั้นไม่อาจสู้ได้เลย เขาใช้กำลังแทบจะทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถเข้าใกล้จักรพรรดินีได้ แต่กลับถูกพลังฝ่ามือซัดกระเด็นออกไปไกล

“ตุ่บ……”

อวัยวะภายในของท่านผู้เฒ่าหนิงแทบจะเคลื่อนย้ายไม่ตรงตำแหน่ง บริเวณที่เขาถูกพลังฝ่ามือของจักรพรรดินีก็เกิดบาดแผลและมีเลือดไหลออกมา

ท่านผู้เฒ่าหนิงสูดหายใจลึก

พลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก

เขาที่มีวรยุทธ์เพียงระดับห้าขั้นสูงสุดเมื่ออยู่ต่อหน้านาง ราวกับลูกไก่ที่ไร้เรี่ยวแรง

“แม้ว่าจะแก่ไปสักหน่อย ทว่าพละกำลังความสามารถก็ไม่ธรรมดาเลย ไม่รู้ว่าหากข้าดูดกลืนพลังของพวกเจ้าทั้งหมด รวมไปถึงเยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ไปแล้ว จะสามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์ไปถึงระดับเจ็ดขั้นกลางหรือขั้นสูงได้หรือไม่”

จักรพรรดินีโบกมือ จากนั้นได้มีเกราะแสงวงกลมปกคลุมไปที่ท่านผู้เฒ่าหนิง และได้เริ่มดูดกลืนพลังของท่านผู้ผู้เฒ่าหนิงอย่างเพลิดเพลิน

เมื่อท่านผู้เฒ่าหนิงเห็นเช่นนั้น ร่างกายของเขาก็ได้เปล่งแสงระยิบระยับออกมาทันที

แสงระยิบระยับนั้นได้ทำลายเกราะแสงวงกลมของจักรพรรดินีทันที และได้ปกป้องวรยุทธ์ของเขาไม่ให้ถูกดูดออกไป

จักรพรรดินีตกตะลึงอย่างมาก

“นี่คือวิชายุทธ์อะไรกัน? เป็นทักษะเฉพาะของตระกูลหนิงอย่างนั้นหรือ? แม้แต่พลังของข้าก็ไม่อาจต้านทานได้ ช่างน่าสนใจ ช่างน่าสนใจอย่างมาก ฮ่าๆ……”

จักรพรรดินีค่อยๆ ปล่อยเกราะลำแสงออกมาทีละอันไปที่ท่านผู้เฒ่าหนิง

ลำแสงนั้นมีอานุภาพแข็งแกร่งอย่างมาก และเต็มไปด้วยรัศมีสังหาร

นี่คือวรยุทธ์ของยอดฝีมือระดับเจ็ด หากถูกลำแสงเข้า ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับหกขั้นสูงสุดก็มีสิทธิ์ตายอย่างไร้ข้อสงสัย

ห่างออกไปไกล ทุกคนก็ถูกฤทธิ์และพลังของลำแสงนั้นทำให้แทบหายใจไม่ออก

จักรพรรดินีสามารถฆ่าท่านผู้เฒ่าหนิงได้อย่างง่ายดาย ทว่านางไม่ทำเช่นนั้น แต่กลับใช้วิธีการเหมือนแมวจับหนูในการจัดการกับเขา เพื่อกินพลังของท่านผู้เฒ่าหนิง

หากไม่ใช่เพราะท่านผู้เฒ่าหนิงมีวรยุทธ์อันทรงพลังและเก่งกาจ เกรงว่าเขาคงจะตายลงด้วยลำแสงเหล่านั้นไปนานแล้ว ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงต่อสู้อย่างยากลำบาก และหลายครั้งก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด

เพียงแค่เอาตัวเองให้รอดก็ยากเย็นแสนเข็ญมากพอแล้ว จะมีแรงสู้กลับได้อย่างไร?

ท่านผู้เฒ่าหนิงรู้สึกหนักใจอย่างมาก

ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยก็เฝ้าจับตาดูอย่างลุ้นระทึกอย่างมาก

เซี่ยวอวี่เซวียนตะโกนออกไป “อย่าฝืนต่อสู้กับนาง ท่านสู้นางไม่ได้หรอก แผนที่ของที่นี่สลับซับซ้อนอย่างมาก ท่านใช้โอกาสนี้รีบหนีออกไปเถอะ”

ทันใดนั้นร่างกายของท่านผู้เฒ่าหนิงก็ปะทุกระแสลมอันทรงพลังขึ้นมา เพื่อทำให้ลำแสงเหล่านั้นเปิดออก และร่างกายของเขาก็เสมือนกับดาบที่แหลมคม คนและดาบประสานเป็นหนึ่งและมุ่งสังหารไปที่จักรพรรดินีด้วยความเร็วปานสายฟ้า

พวกเขาคิดว่าท่านผู้เฒ่าหนิงทำไปเพื่อปกป้องชีวิต ทว่าพวกเขากลับคาดไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าหนิงจะกล้าพุ่งสังหารไปยังจักรพรรดินี

จักรพรรดินีหัวเราะเยาะและปล่อยพลังฝ่ามือออกไปทำลายพลังของเขาอย่างราบคาบ และเป็นอีกครั้งที่ท่านผู้เฒ่าหนิงได้รับบาดเจ็บสาหัส

ท่านผู้เฒ่าหนิงไม่สนใจว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเพียงใด เขายังคงต่อสู้กลับอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา ทว่าเขายังคงไม่ยอมแพ้

เซี่ยวอวี่เซวียนรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจ

กู้ชูหน่วนก็ร้อนรนกระวนกระวายใจเช่นกัน

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เทวดาก็ไม่อาจช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้

เซี่ยวอวี่เซวียนกระเสือกกระสนคลานขึ้นมาและกล่าวว่า “หนีไป หากท่านตายลงที่นี่ก็จะไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตหลานชายของท่านได้อีกแล้ว”

ไม่แน่ประโยคนี้อาจทำให้ท่านผู้เฒ่าหนิงตื่นจากความพยาบาทได้

หรืออาจเป็นเพราะท่านผู้เฒ่าหนิงหมดหวังแล้ว และรู้ดีว่าตัวเองไม่อาจฆ่าจักรพรรดินีได้ จึงได้คิดหนีออกไปจากเส้นทางลับ

จักรพรรดินีหัวเราะชอบใจ แววตาอันชั่วร้ายของนางเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง “คิดหนีอย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ?”

ร่างกายของนางหายวับไปและไล่ตามออกไปอย่างเชื่องช้า

เมื่อมั่นใจแล้วว่าพวกเขาออกไปไกลแล้ว กู้ชูหน่วนจึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาและพุ่งไปยังเซี่ยวอวี่เซวียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นประคองเขาลุกขึ้น

“เสี่ยวเซวียนเซวียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้ายังพอเดินได้หรือไม่?”

เมื่อได้ยินเสียงของกู้ชูหน่วน เซี่ยวอวี่เซวียนรู้สึกทั้งดีใจและหวาดกลัวในขณะเดียวกัน

เขาจ้องมองดวงตาอันชาญฉลาดคู่นั้นของกู้ชูหน่วนอยู่นาน และรวมไปถึงท่าทางการเคลื่อนไหวอันคุ้นเคย ทำให้หัวใจของเขาอดไม่ได้ที่จะเต้นแรงและเร็วขึ้น

แม่สาวอัปลักษณ์……

ใช่แม่สาวอัปลักษณ์……

เมื่อก่อนเขาคิดว่ามู่หน่วนก็คือมู่หน่วน เพียงแค่ดวงวิญญาณของกู้ชูหน่วนมาสิงสถิตอยู่ในร่างกายนาง ดังนั้นจึงทำให้การพูดการจาและการกระทำของนางเหมือนกับกู้ชูหน่วน

ทว่าหลังจากถูกกักขังอยู่ที่นี่ เขาก็ได้รู้จากปากของจักรพรรดินีว่านางก็คือแม่สาวอัปลักษณ์ของเขา

นางไม่ใช่มู่หน่วนแม้แต่นิดเดียว

เรื่องราวและภาพในอดีตต่างผุดขึ้นมาในหัวของเขาอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่สำนักศึกษาหลวงที่พวกเขารู้จักกันครั้งแรก จนมาถึงตอนที่พวกเขาร่วมฝ่าฟันสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ร่วมเป็นร่วมตาย และผ่านภัยอันตรายต่างๆ ด้วยกันมา จนถึงตอนที่ตระกูลเซี่ยวถูกฆ่าล้างตระกูล นางกลับยืนอยู่ข้างลั่วอิ่งและปลดปล่อยลั่วอิ่ง โดยไม่สนใจความรู้สึกของเขา และสุดท้าย……เขามองดูนางสังเวยชีวิตของตัวเองและตายไปอย่างน่าอนาถ……

ทุกภาพทุกตอน……

ราวกับอดีตที่ผ่านมาเป็นนิจนิรันดร์

และราวกับเพิ่งจะผ่านไปเมื่อวาน ไม่ว่าอย่างไร ล้วนเป็นความทรงจำที่ฝังลึกในหัวของเขา

เซี่ยวอวี่เซวียนน้ำตาคลอ

ไม่ว่าดี

หรือร้าย

เพียงแค่เห็นว่านางปลอดภัย เขาก็รู้สึกโล่งใจ

“เงียบทำไม ข้าถามว่าเจ้าเดินได้หรือไม่”

กู้ชูหน่วนยกมือขึ้นแกว่งไปมาตรงหน้าเขา

เจ้าหมอนี่ คงไม่ใช่เพราะถูกกักขังนานเกินไปจนทำให้ปัญญาอ่อนไปแล้วหรอกนะ?

เซี่ยวอวี่เซวียนมีคำพูดนับพันนับหมื่นคำ ทว่ากลับไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน จึงทำได้เพียงจ้องมองกู้ชูหน่วนอยู่เช่นนั้น โดยไม่แม้แต่จะละสายตาไปจากนาง

ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยกลับพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “พระชายา ในที่สุดท่านก็มาจนได้”

“พระชายาอะไรกัน หยุดพูดจาเหลวไหลเสียที ข้าพาออกไปได้มากที่สุดเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเจ้ารอให้นายท่านของพวกเจ้ามาช่วยชีวิตพวกเจ้าก็แล้วกัน”

“พระชายา ท่านก็คือพระชายาของท่านอ๋องของพวกข้า……”

“ปัง……”

ไม่ทันที่ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยพูดจบ ภายในเส้นทางลับก็เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนภายในห้องลับอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าท่านผู้เฒ่าหนิงและจักรพรรดินีต่อสู้กันเป็นอย่างไรบ้าง

การสั่นสะเทือนที่รุนแรงนี้ ทำให้เซี่ยวอวี่เซวียนมีสติขึ้นมา

เขารีบกล่าว “ข้าเดินไม่ได้และก็เคลื่อนไหวไม่ได้ด้วย พวกข้าสามคนต่างก็ถูกผู้หญิงบ้าคลั่งคนนั้นใช้อาคมลับสะกดเอาไว้ เจ้ารีบหนีไป ไม่ต้องสนใจพวกข้า”

“ใช่ พระชายา ผู้หญิงบ้าคนนั้นมีพละกำลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก วรยุทธ์ของนางได้เพิ่มไปถึงระดับเจ็ดแล้ว ท่านใช้โอกาสที่นางไม่อยู่นี้ รีบหนีออกไปเสียเถอะขอรับ”

“พระชายา นายท่านของพวกข้าล่ะขอรับ เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาสบายดีหรือไม่?”

“วางใจได้ เยี่ยจิ่งหานสุขสบายดี อีกไม่นานเขาก็จะได้แต่งงานแล้ว”

“แต่งงาน?”

แต่งงานกับใคร?

แต่งงานกับพระชายาอีกครั้งหนึ่งหรือ?

“ตู้มๆๆ……”

เส้นทางลับยังคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยจะมีคำถามอีกมากมายก่ายกอง ทว่าพวกเขาทำได้เพียงเก็บกลั้นเอาไว้ และปล่อยให้กู้ชูหน่วนรีบหนีออกไปจากที่นี่

ไม่ง่ายเลยที่กู้ชูหน่วนจะตามหาเซี่ยวอวี่เซวียนจนเจอ นางจะหนีออกไปเพียงลำพังและปล่อยเซี่ยวอวี่เซวียนไว้เช่นนี้ได้อย่างไร

เมื่อมั่นใจว่าเขาไม่สามารถขยับตัวได้ กู้ชูหน่วนจึงได้หามเซี่ยวอวี่เซวียน

“หากจะออกไปก็ออกไปด้วยกัน หากจะอยู่ที่นี่ก็อยู่ด้วยกัน”

“หากเจ้ายังเห็นข้าเป็นเพื่อน เจ้าก็ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ หากยังคิดพาข้าออกไป เราทั้งสองจะต้องตายอย่างแน่นอน”

“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่มีทางทิ้งเจ้าไว้คนเดียว ไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน”

เพียงแค่คำพูดธรรมดาคำหนึ่ง แต่กลับทำให้หัวใจของเซี่ยวอวี่เซวียนหวั่นไหวและรู้สึกดีขึ้นมา

ทว่าท่าทางของเขากลับแน่วแน่และมั่นคง

“หากเจ้ายังไม่ปล่อยข้าลง ข้าจะกัดลิ้นตัวเองตายและตายลงต่อหน้าเจ้า หากเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู”