ชาวบ้านที่มุ่งดูอยู่โดยรอบเมื่อได้ยินว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือหลินเจียงอ๋อง ดาวมฤตยูที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ก็รีบกระจายตัวแตกฮือ ออกไปคนละทิศละทาง ไม่นานพื้นที่ที่เมื่อสักครู่มีผู้คนโอบล้อมคึกคักกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไปในพริบตา
แย่แล้ว หญิงผู้นั้นล่วงเกินหลินเจียงอ๋องเข้า รนหาที่ตายจริงๆเชียว!
ทุกคนต่างก็คิดเช่นนี้
“ซย่าโหวฉิงเทียน จะชั่วดีอย่างไรข้าก็เป็นเสด็จพี่ของเจ้านะ!”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มบนหลังม้าไม่ไว้หน้าตนเองสักนิด ซย่าโหวอี้ก็เริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมา
เดิมทีแล้วเขาตั้งใจที่จะมาเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถ ทว่าเกิดปัญหาขึ้นระหว่างทางทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย
ซึ่งซย่าโหวอี้ก็ไม่ถือสาอะไร เพราะอย่างไรเสียการประลองปรุงโอสถครั้งก่อนๆ นี้ก็จัดขึ้นอยู่หลายวัน แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าในครั้งนี้กลับแตกต่างจากครั้งก่อน
จวบจนกระทั่งซย่าโหวอี้รีบเดินทางมาที่เมืองกุยอวี๋แห่งนี้ ก็พบว่างานประลองโอสถเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้เขามิได้ชมอะไรสักอย่าง
ดังนั้นเขาจึงเตรียมที่จะเดินทางกลับจวน แต่ก็มาพบกับเหตุการณ์นี้เข้าเสียก่อน
เมื่อครู่ ซย่าโหวอี้เห็นชัดเจน แม่นางผู้นั้น รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงาม
ซึ่งเดิมทีแล้ว ซย่าโหวอี้ก็จัดว่าเป็นอ๋องเจ้าสำราญคนหนึ่ง แล้วเขาไหนเลยจะไม่หวั่นไหว
แต่ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับหักหน้ากันเช่นนี้ น่าโมโหจริงๆ!
“เสด็จพี่”
ซย่าโหวฉิงเทียนหัวเราะออกมา รอยยิ้มเขางดงามไร้ที่ติ ราวกับเทพสวรรค์
“เสด็จพี่ที่ตายด้วยมือของข้าหากไม่ถึงสิบ อย่างน้อยก็เจ็ดคน นอกเสียจากว่า ท่านอยากนอนให้ดินกลบหน้าเป็นกับเพื่อนพวกเขาด้วยอย่างนั้นหรือ!”
คราวนี้ ซย่าโหวอี้ถึงกับหน้าถอดสี
ตายแล้ว สมองเขาเสียไปแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ไปช่วยเหลือคนที่ดาวมฤตยูต้องการจะฆ่าด้วย ในปีนั้น เหตุการณ์เจ็ดอ๋องวิกฤต ซย่าโหวฉิงเทียนสังหารราชนิกุลไปเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องด้วยซย่าโหวอี้เป็นผู้รักสงบ ไม่มีใจคิดแสวงหาอำนาจในราชสำนัก ดังนั้นจึงเอาชีวิตรอดจากวิกฤตในครั้งนั้นมาได้
สองสามปีที่ผ่านมานี้ เขาก็ได้ชีวิตอย่างมีอิสระ สงบสุข จึงลืมเลือนการมีอยู่ของซย่าโหวฉิงเทียนไป
“เอ่อ น้องสิบสี่ พี่คงจะนอนมากเกินไป จริงๆนะ! เชิญเจ้าตามสบาย ตามสบายเลย…”
ซย่าโหวอี้ข่มความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บ เขากัดฟันอดกลั้นถอยมาอีกด้าน
หญิงงามกับชีวิตหากเทียบกันแล้ว เขายังเห็นว่าชีวิตสำคัญกว่าเป็นไหนๆ
ไม่มีลมหายใจแล้ว จะเที่ยวหญิงงามได้อย่างกัน!
ซย่าโหวอี้ถอยไปอีกด้าน แต่หลี่รุ่ยกลับยืนมองอวี้เชียนเสวี่ยที่อยู่บนม้าด้วยอาการเหม่อลอย
เป็นเขาเอง อวี้เชียนเสวี่ย!
เขามิได้พิการไปแล้วหรือ เหตุถึงได้แลดูสดใสแข็งแรงเช่นนี้
อีกทั้ง อวี้เชียนเสวี่ยในตอนนี้ดูเยือกเย็นและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าตอนที่เขายังเป็นหนุ่มน้อยมากนัก ในอดีตเขาคือหยกที่ยังมิได้เจียระไน ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นหยกน้ำงามแสนล้ำค่าไปแล้ว!
ตั้งแต่เมื่อครู่หลังจากการปรากฏตัวของหลี่รุ่ย มู่เหนี่ยนซีก็สังเกตเห็นความผิดปกติของอวี้เชียนเสวี่ย
คราวนี้ หลี่รุ่ยก็เป็นฝ่ายจ้องมองอวี้เชียนเสวี่ยด้วยอาการเหม่อลอย มู่เหนี่ยนซีจึงก้าวขึ้นไปด้านหน้า คล้องแขนอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้แล้วกล่าวว่า
“เสวี่ย นางเป็นใครกัน ถึงได้เอาแต่จ้องหน้าบุรุษของข้าอย่างไร้มารยาทเช่นนี้!”
คำพูดของมู่เหนี่ยนซี ตอกย้ำโจมตีหลี่รุ่ยอย่างหนักหน่วง
เขาแต่งงานแล้วหรือ
หลี่รุ่ยมิอยากที่จะยอมรับความจริงข้อนี้
ในปีนั้น อวี้เชียนเสวี่ยพูดเองว่า เขาจะไม่งานกับใครเด็ดขาดหากมิใช่นางนี่นา! ต่อให้นางเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่งงานก่อน แต่ภายหลังตลอดเวลาที่ผ่านอวี้เชียนเสวี่ยก็ครองตนเป็นโสดมาโดยตลอด แล้วเหตุใดจู่ๆเขาถึงมีหญิงอื่นได้นะ
“ไม่รู้จัก”
น้ำเสียงอวี้เชียนเสวี่ยเย็นชา
เมื่อก่อน อวี้เชียนเสวี่ยจินตนาการถึงภาพหากได้หวนกลับพบกับหลี่รุ่ยอีกครั้ง หลายต่อหลายครั้ง
เขาจะด่าทอว่านางไร้หัวใจ หรืออาจจะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบความเป็นไปของนางด้วยความห่วงใย ทว่าเมื่อได้มาพบนางอีกครั้งจริงๆ และเห็นว่ารูปโฉมของนางโรยราไป ใบหน้าก็ซีดเซียว อวี้เชียนเสวี่ยก็ปล่อยวางลง ไม่อยากกล่าวอะไรออกมาอีกเลย
ไม่รู้จัก…
คำตอบนี้ ราวกับตบหน้าหลี่รุ่ยอย่างจัง
“อย่างนั้นหรือ!”
มู่เหนี่ยนซีก็มิได้คิดจะซักอวี้เชียนเสวี่ยไปมากกว่านี้ นางยิ้มแล้วลากอวี้เชียนเสวี่ยเดินเข้าไปหาอวี้เฟยเยียน
“ในเมื่อไม่รู้จักเกี่ยวข้องกัน เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”
อวี้เฟยเยี่ยนมิใช่ว่าหลงลืมไปเสียเมื่อไหร่กัน การปรากฏตัวของหลี่รุ่ย ทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในอดีตบางส่วนขึ้นมาได้
อวี้เชียนเสวี่ยเคยมีคู่หมั้นคู่หมายที่ยังมิได้แต่งงานกันอยู่คนหนึ่ง แต่หลังจากที่อวี้เชียนเสวี่ยลมปราณสูญสิ้น อีกฝ่ายกลับต้องการที่จะแต่งงานเข้าจวนลั่วหยางอ๋องเป็นพระชายา โดยมิยินยอมแต่งเข้าตระกูลอวี้
วันนี้ โลกมันแคบเสียจริงๆเลย!
“ท่านอ๋อง ช่วยบ่าวด้วย!”
เม่ยเหนียงเมื่อรู้สึกตัวเองแล้วว่าตนเองกระทำผิดมหันต์ลงไป ซึ่งในตอนนี้บุคคลที่นางสามารถร้องขอให้ช่วยชีวิตได้ก็มีเพียงลั่วหยางอ๋องเท่านั้น
คนผู้นี้เป็นพี่ชายของซย่าโหวฉิงเทียน แล้วก็เป็นอ๋องเช่นกัน
ในเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนมิสนใจในตัวนาง เหตุใดนางจึงจะไม่ลองเปลี่ยนคนดูเล่า!
คิดไตร่ตรองสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว เม่ยเหนียงจึงหยิบยกสิ่งที่ตนเรียนรู้จากหอนางโลมมาใช้ ทันใดนั้น นางรีบคลานไปตรงหน้าซย่าโหวอี้แล้วโขกศีรษะคำนับเพื่อร้องขอ
สาวงามอยู่ตรงหน้า ทั้งยังแลดูน่าสงสาร แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็น่าหวาดกลัวยิ่งนัก ซย่าโหวอี้ต้องข่มความเจ็บปวดเอาไว้อีกครั้ง
“ท่านอ๋อง ขอร้องล่ะเจ้าค่ะ!”
เมื่อรับรู้แล้วว่าซย่าโหวฉิงเทียนคิดที่จะจัดการอย่างไรกันตน เม่ยเหนียงก็ร้องห่มร้องไห้จับกางเกงซย่าโหวอี้เอาไว้ มือน้อยขยุ้มที่ปลายขากางเกงเอาไว้แน่น แล้วค่อยๆ ทรุดกายลงเอาศีรษะแนบกับขากางเกงของเขาไม่ยอมปล่อย
คราวนี้ซย่าโหวอี้ถึงกลับกระแอมออกมาจนเกือบจะเสียอาการ
สมกับเป็นนางจิ้งจอกจริงๆ!
ซย่าโหวอี้ยังอาลัยอาวรณ์เม่ยหนียงไม่หาย
มองดูชายผู้เป็นสามีส่งสายตากับนางจิ้งจอกต่อหน้าต่อตาตน แล้วมองเลยไปที่อวี้เชียนเสวี่ยเอาแต่ก้มหน้าก้มตากระซิบกระซาบกับมู่เหนี่ยนซี ท่าทีของคนทั้งสองหวานหยด จู่ๆ หลี่รุ่ยก็รู้สึกว่า ในอดีตนั้นตนทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไปแล้วใช่หรือไม่นะ
ซึ่งภาพทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในสายตาของอวี้เฟยเยียนทั้งสิ้น นางเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา
ตอนนั้นหลี่รุ่ยต้องการความสุขสบาย ทอดทิ้งคู่หมั้นคู่หมาย มาวันนี้ท่านได้ลิ้มรสชาติของความเจ็บปวดเช่นนั้นแล้วสินะ
“ซย่าโหวฉิงเทียน ในเมื่อนางร้องห่มร้องไห้ท่าทางน่าสงสารเช่นนั้น มิสู้ช่างมันเถอะ!”
ขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังจะเอ่ยปากนั่นเอง อวี้เฟยเยียนก็ยื่นมือออกไปรั้งที่แขนเสื้อของเขาเบาๆ
“ดูแล้วก็น่าสงสารพิลึก! แต่จะชั่วดีอย่างไรก็ชีวิตคนชีวิตหนึ่งนะ! คิดเสียว่าทำบุญทำทานก็ได้!”
เม่ยเหนียงนึกไม่ถึงเลยว่า ผู้ที่เอ่ยปากขอร้องแทนนางจะเป็นอวี้เฟยเยียน นี่มันเรื่องอะไรกัน
เม่ยเหนียงคาดเดาเหตุผลไม่ออก แต่ก็ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือซย่าโหวฉิงเทียนฟังคำของอวี้เฟยเยียน เขาพยักหน้าน้อยๆ และแล้วคณะของอวี้เฟยเยียนก็ตวัดม้าเดินทางต่อไป
แค่นี้น่ะหรือ
แค่นี้ก็หมดเรื่อง
ลั่วหยางอ๋อง ซย่าโหวอี้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
นี่มิใช่วิถีของซย่าโหวฉิงเทียนนี่สักนิด!
แม่นางน้อยคนเมื่อครู่เป็นใครกันนะ น้ำเสียงไพเราะยิ่งนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวอี้ก็เริ่มรู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ๊ย…”
ได้ยินเสียงร้องของซย่าโหวอี้ หลี่รุ่ยก็รีบเข้ามาประคองเขาในทันที แต่ใครจะคาดคิดซย่าโหวอี้กลับสะบัดมือนางออกอย่างแรง
“พระชายา เมื่อครู่หน้าข้าถูกเจ้าทำลายจนย่อยยับ!”
ซย่าโหวอี้ก็มิใช่ตาบอด เมื่อครู่ที่หลี่รุ่ยจ้องมองอวี้เชียนเสวี่ย เขาเองก็เห็นภาพนั้นอยู่เต็มตา!
หากจะบอกว่าคนทั้งสองไม่มีอะไรกัน เขาไม่มีทางเชื่อ
“ท่านอ๋อง…”
ต่อหน้าผู้คนซย่าโหวอี้กลับไม่ไว้หน้านางบ้าง ยิ่งทำให้หลี่รุ่ยยิ่งรู้สึกเจ็บปวดชอกช้ำ
ขณะที่นางเตรียมที่จะอธิบาย ใครจะรู้ว่าซย่าโหวอี้กลับยื่นมือออกไปประคองเม่ยเหนียงขึ้นมา
“เจ้าชื่อเรียงเสียงไรกัน”
“ทูลท่านอ๋อง บ่าวนามเม่ยเหนียง!”
เม่ยเหนียงท่าทางอรชรอ้อนแอ้น เงยหน้าขึ้นส่งสายตาให้กับซย่าโหวอี้
สายตาน้อยๆ นั่น กลับทำให้ซย่าโหวอี้จิตใจอ่อนยวบ รีบกล่าวว่าต่อว่า
“เม่ยเหนียง ชื่อดี! ชื่อดีนี่!”
“เม่ยเหนียงขอบพระทัยท่านอ๋องในบุญคุณที่ช่วยชีวิตเพคะ! แต่ก่อนเม่ยเหนียงเคยเห็นแต่ในนิยายที่มีวีรบุรุษ นึกไม่ถึงว่าในวันนี้เม่ยเหนียงสามารถพบเห็นด้วยตาของตนเอง ในความเป็นสุภาพบุรุษของท่านอ๋อง!”
คำพูดนี้ นับเป็นคำพูดประจบสอพลอชั้นเยี่ยม ที่ทำเอาซย่าโหวอี้ถึงกับตัวลอย
ซย่าโหวอี้ดึงมือเม่ยเหนียงขึ้นรถม้าในทันที ไม่สนใจท่าทีของหลี่รุ่ยด้วยซ้ำไป
อวี้เฟยเยียนยืนมองภาพนั้นจากที่ไกลๆ นางยิ้มออกมา
“พระชายาแห่งลั่วหยางอ๋อง นี่เป็นของขวัญที่ข้ามอบให้ท่าน! ได้รู้ว่าท่านมีชีวิตที่ไม่สุขสบายนัก ข้าก็วางใจแล้ว!
ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่เคยเห็นอวี้เชียนเสวี่ยในสภาพหมดอาลัยตายอยากหลังจากผิดหวังในความรักก็ตาม แต่นางก็สามารถนึกภาพออกเลยว่า สูญสิ้นวรยุทธ์ สูญเสียพี่น้อง ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ แม้กระทั่งคนที่ตนเองรักที่สุดก็ทรยศตนเอง อวี้เชียนเสวี่ยจะเจ็บช้ำทรมานใจมากเพียงไหน
เมื่อเป็นหนี้ อย่างไรก็ต้องชดใช้!
ท่านมีชีวิตที่ไม่เป็นสุข ข้าก็สบายใจแล้ว!