เซวียเฉียงเดิมทีก็เป็นผู้สืบทอดเป็นลูกหลานผู้รากมากดีอยู่แล้ว ยิ่งเขาแสดงออกเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาดูราวกับอ๋องน้อยที่ถูกตามใจจนเสียนิสัยเข้าไปอีก
การกระทำเช่นนี้ของเขา ทำให้ชาวบ้านที่มองดูอยู่โดยรอบแทบจะหัวเราะออกมา
“ข้า ฆ่าได้หยามไม่ได้ ท่านมิใช่ท่านอ๋อง ไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า!”
เมื่อครู่ก็นางเป็นฝ่ายพูดเองเสียอย่างดิบดีว่า เม่ยเหนียงจะเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์โดยไม่มีบ่นว่าใดๆ ตอนนี้มาทำตัวเป็นผู้สูงส่ง ทำเอาเซวียเฉียงถ่มน้ำลายลงบนพื้นต่อหน้านางอย่างมิเกรงใจ
“ข้าเจอพวกคนที่หน้าด้านมามากมาย ละครเด็กน้อยของเจ้านะ เอาไว้หลอกได้แต่พวกโง่เท่านั้น!”
หนุ่มน้อยตรงหน้าที่เที่ยวดูถูกผู้โดยไร้ซึ่งความเคารพยำเกรงเป็นถึงอ๋องน้อยเชียวหรือนี่
เม่ยเหนียงมิอาจต่อกรกับเขาซึ่งหน้าได้ จึงทำได้เพียงแสร้งทำหน้าตาน่าสงสารให้ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นใจ นางรู้ดีว่าจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตนเองอย่างไร ว่าแล้วก็ทำท่าทางน่าสงสารแล้วกล่าวขึ้น
“ท่านอ๋อง…”
เม่ยเหนียงเพียงแค่เอ่ยปาก แส้บังคับม้าได้มือของซย่าโหวฉิงเทียนก็ชี้ไปที่พื้นกล่าวย้ำ
“กินเข้าไป!”
คราวนี้ เม่ยเหนียงกลับเป็นฝ่ายตกตะลึงเสียเอง
จะชั่วดีอย่างไรนางก็เป็นหญิงงามคนหนึ่ง เหตุใดเขาถึงไม่อะลุ่มอล่วยกับสตรีบ้างนะ
ถึงกับให้นางกินอุจจาระต่อหน้าธารกำนัล ตั้งแต่เล็กจนโตเม่ยเหนียงมิเคยถูกลบหลู่ถึงเพียงนี้มาก่อน!
“คิกๆ”
คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนเมื่อครู่ทำให้อวี้เฟยเยียนที่อยู่ไม่ไกลหัวเราะออกมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คำพูดเมื่อครู่ของเม่ยเหนียงทำให้นางอวี้เฟยเยียนผ่อนคลายยิ่งนัก
แต่เรื่องบางเรื่อง ซย่าโหวฉิงเทียนก็เป็นบุรุษประเภทไม่ใส่ใจความรู้สึกใครเอาเสียเลย
บุรุษเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะละเลยความอ่อนโยนต่อหญิงสาวไปบ้าง แต่พึ่งพาได้อย่างแน่นอน
อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่หิ้วสตรีเข้าห้องเรื่อยเปื่อยเป็นแน่!
ต่อให้เป็นคนตาบอด พวกเขาก็จะเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน!
ต่อให้เป็นคนโง่ ก็คงจะถูกเขากลั่นแกล้งเช่นเดียวกัน ดูแล้วก็บันเทิงเริงใจยิ่งนัก!
ได้ยินเสียงหัวเราะราวกระดิ่งเงินของอวี้เฟยเยียนเข้า ซย่าโหวฉิงเทียนจึงนึกขึ้นได้ว่าแมวน้อยอยู่ไม่ไกล เรื่องนี้ถึงแม้ว่าเขาจะบริสุทธิ์ใจ แต่ก็ยากที่จะรับรองว่าแมวน้อยของเขาจะไม่คิดมาก
ดังนั้น เม่ยเหนียงก็ได้แต่มองซย่าโหวฉิงเทียนบึ่งเข้าไปหาอวี้เฟยเยียนตาปริบๆ
“พี่ไม่รู้จักนางนะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนรีบอธิบายด้วยท่าทีจริงจัง
“ข้าเชื่อท่าน!”
อวี้เฟยเยียนเห็นซย่าโหวฉิงเทียนรีบร้อนเข้ามาอธิบาย นางก็อมยิ้มแล้วจึงตอบกลับ
“อื้ม!”
ซย่าโหวฉิงเทียนตอบรับ และเมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนเชื่อตนเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ดีใจเป็นอย่างมาก ใบหน้ารูปงามเขาเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่อยู่สายตาของเม่ยเหนียงทั้งสิ้น ซึ่งมันบาดตายิ่งนัก
กับนางเขาเย็นชาไร้หัวใจ แต่กับสตรีอีกนางเขาใช้วาจาสุภาพอ่อนโยนปลอบประโลมนาง ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียนบ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นที่เขามาจับปลา ก็คงเพราะสาวน้อยผู้นี้เป็นแน่!
เม่ยเหนียงเป็นคนอดทนอดกลั้นคนหนึ่ง นางไม่เชื่อหรอกว่า ซย่าโหวฉิงเทียนจะบังคับให้นางกินอุจจาระสุนัขได้ลงคอ
อย่างไรเสีย สายตาของผู้คนมากมายกำลังจ้องมองมา สิ่งที่เขาทำลงไปในวันนี้ มิเกรงว่าจะถูกครหาก็ลองดู
“ในเมื่อท่านอ๋องสั่งเช่นนี้ ข้าน้อยก็ได้แต่ทำตาม…”
เม่ยเหนียงแววตาสงบนิ่ง นางใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยรองมือแล้วหยิบอุจจาระสุนัขแห้งนั้นขึ้นมาผ่านผ้าเช็ดหน้า เตรียมที่จะจัดแจงยัดใส่ปาก
ท่วงท่าของนางเชื่องช้าและสวยงาม รวมกับวันนี้ที่นางแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยแล้ว แต่ถึงแม้ว่าภาพที่ออกมานั้นจะสวยงาม ทว่าจะให้มองอย่างไร ภาพที่เห็นกับสภาพแวดล้อมช่างขัดตายิ่งนัก ดังนั้นจึงมีคนถกเถียงกันขึ้นมาทันที
ซึ่งนี่ก็คือผลลัพธ์ที่นางต้องการนั่นเอง!
เมื่อทุกอย่างเงียบงัน แววตาเม่ยเหนียงฉายแววลำพองใจวาบขึ้นมา ส่วนสีหน้านางก็แสร้งแสดงความจงรักภักดีที่แน่วแน่ออกมา
ทว่า ซย่าโหฉิงเทียนเป็นใคร เขามิใช่คนที่ใครจะใช้คำพูดไม่กี่คำมาทำให้เขาเปลี่ยนใจได้
สิ่งที่คนอื่นมอง เทียบมิได้กับท่าทีแมวน้อยของเขาเลย
“ช้าเกินไปแล้ว!’
ว่าแล้วซย่าโหวฉิงเทียนก็ดีดหินในมือออกไปปะทะเข้ากับข้อมือของเม่ยเหนียงอย่างจัง มันช่วยดันมือของนางให้เข้าปากในทันที อุจจาระสุนัขทั้งกองเข้าไปในปากบางสีแดงราวลูกอิงเถานั่น
“แหวะ…”
สีหน้าของเม่ยเหนียงบิดเบี้ยว มือทั้งสองข้ากำบริเวณลำคอเพื่อให้อาเจียนเอาอุจจาระสุนัขออกมา ใครจะคาดคิดลมหายใจเฮือกใหญ่ของนาง ทำให้นางกลืนกินอุจจาระสุนัขทั้งกองลงไปจนหมดสิ้น
“นางกินอุจจาระสุนัขเข้าไปจริงๆ หรือนี่!”
เซวียเฉียงจ้องมองเม่ยเหนียงด้วยสายตาตกตะลึง
“ข้ายังคิดว่าครั้งนี้จะได้เห็นจอมยุทธ์ผู้กล้ากินอุจจาระสุนัข ที่ไหนได้ เป็นจอมยุทธ์หญิงผู้กล้าหาญแทน นับถือ!”
“อ้วก…”
ความขยะแขยงภายใน ทำเอาเม่ยเหนียงอาเจียนออกมาจนแทบหมดเรี่ยวแรง นางยื่นมือลงไปล้วงคอ เพื่อหวังว่าจะล้วงเอาสิ่งสกปรกที่กลืนกินลงไปเมื่อครู่ออกมา แต่มันกลับไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
คราวนี้ น้ำตานางไหลเป็นสายลงมาอาบแก้ม
“ท่านอ๋อง เรื่องที่ท่านให้ข้าทำ ข้าได้ทำตามแล้ว! ท่านอ๋องคงจะเชื่อในความจริงใจของข้าน้อยเสียที!”
หยดน้ำตาเม่ยเหนียงหาได้มีประโยชน์ไม่ สิ่งที่รอคอยนางอยู่นั่นก็คือ แส้ควบคุมม้าที่ตวัดลงมาอย่างแรงเพื่อให้นางจดจำ
“พูดจากับข้า ใครอนุญาตให้เจ้าใช้คำว่า ‘ข้า’ เรียกแทนตนเองกัน”
ซย่าโหวฉิงเทียนมิเคยคิดถอย เพียงเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นหญิง
เมื่อมาหาเรื่องให้เขาต้องโมโห นางก็ต้องน้อมรับดวงไฟแห่งความพิโรธนั้น!
“บ่าว…บ่าว”
แส้ควบคุมม้าของซย่าโหวฉิงเทียนหนักนัก บริเวณหลังเม่ยเหนียงปรากฏบาดแผลเลือดซิบเป็นทางยาว ผิวที่เนียนละเอียดมิเพียงแค่แดงช้ำ ทั้งยังแตกเป็นทางยาว
“เฮอะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่คิดที่จะเสียเวลากับคนที่ไร้ประโยชน์ เตรียมเดินทางต่อไปกับอวี้เฟยเยียน ใครจะคาดคิด เม่ยเหนียงตัดสินใจเด็ดขาด พุ่งเอาตัวเข้าไปขวางม้าของอวี้เฟยเยียน
“ฮูหยิน บ่าวมิเคยคิดที่จะแย่งท่านอ๋องกับท่านเลยจริงๆ นะเจ้าคะ บ่าวเพียงแค่ตั้งใจจะปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องและฮูหยินด้วยใจจริงเท่านั้นเจ้าค่ะ !”
คำเรียกว่า ‘ฮูหยิน’ เพียงคำเดียว ทำเอาอารมณ์อวี้เฟยเยียนเดือดพล่าน
นางยังเป็นสาวแรกแย้มที่ยังไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำไป แล้วไฉนกลายเป็นฮูหยินไปได้!
“ไสหัวไป!”
ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะสวมผ้าแพรผืนบางคลุมใบหน้า แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวของนาง
มันน่าโมโหจริงๆ!
ข้าจะมีเพียงชายา มีเพียงภรรยาเท่านั้น จะมิมีเมียเอก เมียรองใดๆ พรรค์นั้นแน่นอน!
เม่ยเหนียงใช้คำว่า ‘ฮูหยิน’ เรียกขานแมวน้อย มันหมายความว่าอย่างไรกัน
ซย่าโหวฉิงเทียนคิดใคร่ครวญถึงการกระทำของเม่ยเหนียงที่ส่อไปในทางร้าย นี่จงใจจะสร้างร้อยร้าวฉานระหว่างข้ากับแมวน้อยหรือนี่ น่าขยะแขยงยิ่งนัก!
ซย่าโหวฉิงเทียนคิดได้ดังนั้นก็กระตุกเชือกควบคุมม้าอย่างแรง ม้าตัวใหญ่จึงยกขาหน้าทั้งสองข้าขึ้น เตรียมเหยียบลงบนร่างของเม่ยเหนียงที่คุกเข่าอยู่
“หลินเจียงอ๋อง โปรดยั้งมือด้วย!”
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้น แส้ใหญ่ก็ตวัดมาเกี่ยวร่างเม่ยเหนียงให้รอดพ้นจากฝีเท้าของม้า ที่กำลังจะปลิดชีพนางเอาไว้ได้ทันท่วงที
อารมณ์ที่กำลังอยากจะปลิดชีพคนของซย่าโหวฉิงเทียนถูกขัดคอโดยไอ้โง่คนหนึ่ง แน่นอนว่าเขาไม่ยอมเลิกราเป็นแน่ เขาตวัดฝ่ามือออกไปก็ลากเอาบุคคลที่ยับยั้งเขาเมื่อครู่ร่วงลงจากหลังม้า
คนผู้นั้น ไหนเลยจะตั้งรับได้ทัน ร่างขาตกจากหลังม้าแล้วฟาดเข้ากับต้นไม้ใหญ่อย่างจัง อวัยวะภายในทั้งหลายสั่นสะเทือน จนกระอักเลือดออกมา
“ท่านอ๋อง…”
ที่รถม้าด้านข้าง หญิงวัยกลางคนอายุราวสามสิบกว่า ได้ยินเสียงก็รีบลงจากรถม้ามาช่วยเหลือทันที
เมื่อเห็นหญิงที่ออกมาจากรถม้า อวี้เชียนเสวี่ยก็ปวดหนึบในใจ
“นางเอง…”
“ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
หลี่รุ่ยประคองลั่วหยางอ๋องขึ้นมา สีหน้านางเป็นกังวล
“แค่กๆ ข้าไม่เป็นไร!”
ลั่วหยางอ๋อง ซย่าโหวอี้ลุกยืนขึ้นมาโดยมีพระชายาหลี่รุ่ยประคองอยู่ด้านข้าง
“น้องสิบสี่ วันนี้เห็นแก่หน้าข้า ไว้ชีวิตนางสักครั้งเถอะ!”
“หน้าท่าน มีค่าสักเท่าไหร่กัน”