เมื่อครั้งที่เซวียจื่ออี๋ยังเยาว์วัยนั้น เคยเห็นบรรยากาศขณะที่กองทัพตระกูลอวี้กรำศึกกลับมา
ขณะนั้นอวี้เชียนเสวี่ยยังเป็นหนุ่มแน่นวัยฉกรรจ์ หมาป่าน้อยแห่งตระกูลอวี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง เขาขี่ม้าใหญ่นำขบวน ท่าทางสง่างาม ดึงดูดความสนใจจากหญิงสาวไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ในตอนนั้นถึงแม้ว่าเซวียจื่ออี๋จะอายุยังน้อย แต่นางก็จดจำใบหน้าอวี้เชียนเสวี่ยได้อย่างแม่นยำ
เพราะว่าในตอนนั้น ท่านอาของนางคนหนึ่งแอบชอบอวี้เชียนเสวี่ย วันๆ เอาแต่พร่ำเพ้อถึงเขา บอกว่าเขาดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ต่อหน้านาง ด้วยคิดว่านางเป็นเด็กน้อยคงจะไม่รู้เรื่องราวอะไร ดังนั้นเซวียจื่ออี๋จึงจดจำเรื่องได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้ยิ่งมองดู ก็ยิ่งรู้สึกว่าชายหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและฐานะตรงหน้านางนี้ กับคนที่อยู่ในความทรงจำของนางตรงกันทุกประการ
“นี่มันเรื่องอะไรกันนะ”
หลังจากที่รักษาอวี้เชียนเสวี่ยหายดีแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ปิดไม่มิดอีกต่อไป
ดังนั้นหลังจากมื้อเย็นเสร็จสิ้น อวี้เฟยเยียนจึงเปิดเผยสถานะตนเองและอวี้เชียนเสวี่ยให้กับสองพี่น้องตระกูลเซวียให้ได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา
ทำเอาเซวียจื่ออี๋และเซวียเฉียงตกตะลึงจนเงียบไป
“อวี้หลัวช่าคืออวี้เฟยเยียน”
“สวรรค์ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ!”
เมื่อคิดถึงว่าในตอนแรกตนเองเอาแต่สาดโคลนอวี้เฟยเยียนไปเท่าไหร่ต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน เซวียเฉียงก็หน้าแดงก่ำ
ขายหน้าใหญ่หลวงทีเดียว!
เขาเช่นนี้ ทำเอาเซวียจื่ออี๋ลำบากใจไปด้วย
“เช่นนั้นต่อไปพวกเราควรเรียกท่านว่าอวี้หลัวช่าหรืออย่างไรดี”
เซวียเฉียงมองดูสาวน้อยที่มีผ้าแพรผืนบางคลุมใบหน้าตรงหน้าแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเขานี่ช่างมีตาหามีแววไม่!
ใครจะคาดคิดว่า คนพิการที่ชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง จะเก่งกาจเช่นนี้!
มิเพียงแต่เป็นจอมเทวา ยังเป็นจักรพรรดิโอสถอีกด้วย!
เรื่องนี้หากแพร่ออกไป ผู้คนไม่รู้เท่าไหร่ที่จะต้องตกใจจนตาถลน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในที่สุดเซวียเฉียงก็เข้าใจ เหตุใดซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้พ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนั้น ตั้งแต่ต้น เขาก็ผิดแล้ว ผิดที่ทอดทิ้งอวี้เฟยเยียน ดูถูกนาง จนท้ายที่สุดกลับกลายเป็นดูถูกตัวเอง
ถูกต้องยิ่งนักที่ว่า…คนมิควรมองกันเพียงแค่ภายนอก!
“หากเจ้าคิดว่ายุ่งยากละก็ เรียกข้าว่าเสี่ยวอวี้ก็พอ!”
ท่าทีของอวี้เฟยเยียนยังคงอ่อนโยนเฉกเช่นเมื่อก่อนมิมีเปลี่ยนแปลง
บุคคลที่นั่งอยู่ภายในห้องล้วนแต่เป็นผู้ที่เผชิญอะไรหลายอย่างมาพร้อมกัน จนกลายเป็นมิตรที่ดีต่อกันในที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเหลียนจิ่น มั่วซาง ยังมีสองพี่น้องตระกูลเซวีย ล้วนแต่ได้รับการยอมรับจากอวี้เฟยเยียน ดังนั้นนางจึงมิได้กังวลใจหากว่าสถานะของตนเองและอวี้เชียนเสวี่ยจะถูกเปิดเผยให้พวกเขาได้ล่วงรู้
อวี้เฟยเยียนเห็นพวกเขาเป็นเพื่อน เซวียจื่ออี๋และเซวียเฉียงก็มิใช่คนที่จะเนรคุณคน
ยิ่งกว่านั้นก่อนหน้านี้ อวี้เฟยเยียนก็ช่วยให้เซวียเฉียงได้สำเร็จขั้นเพิ่มขึ้น สหายเช่นนี้คู่ควรกับการคบหายิ่งนัก!
“เสี่ยวอวี้ ขอบคุณในความเชื่อใจของเจ้า!”
เซวียจื่ออี๋และเซวียเฉียงสบสายตากัน แล้วกล่าวขอบคุณอวี้เฟยเยียนพร้อมๆกัน
เซวียเฉียงตัดสินใจแน่วแน่ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะขอติดตามอวี้เฟยเยียน
ส่วนเซวียจื่ออี๋ได้ประจักษ์ในการกระทำและท่าทีของอวี้เฟยเยียนในงานประลองโอสถที่ผ่านมา จึงรู้สึกนับถือนางเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อวี้เฟยเยียนใช้ความสามารถของตนเพียงผู้เดียวพลิกฟื้นสถานการณ์ ช่วยเหลือหอราชาโอสถเอาไว้ได้ จุดนี้ทำให้นางยอมรับนับถืออวี้เฟยเยียนเป็นที่สุด
“พวกเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของข้า ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบัง!”
อวี้เฟยเยียนให้การยอมรับ ทำให้สองพี่น้องดีใจยิ่งนัก
ทว่า ในใต้หล้านี้ ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา
ในงานประลองโอสถ ท่าทีที่สงบนิ่งใจเย็นของเซวียจื่ออี๋ทำให้เจ้าสำนักหลินชื่นชมยิ่งนัก เขาจึงรับเป็นศิษย์ เมื่อนางกราบเจ้าสำนักหลินเป็นอาจารย์แล้วจึงพำนักอยู่ที่หอราชาโอสถต่อไป
ส่วนคนอื่นๆ ติดตามอวี้เฟยเยียนกลับเมืองหลวง
หลังจากได้พักผ่อนจนมั่นใจว่าพละกำลังของอวี้เชียนเสวี่ยฟื้นคืนได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว คณะของอวี้เฟยเยียนก็กล่าวลาเจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่า
“แม่นางน้อยอวี้ เจ้าจะอยู่อีกสองสามวันมิได้หรือ”
เหล่าผู้เฒ่าเห็นอวี้เฟยเยียนที่อายุรุ่นราวคราวหลาน เป็นดั่งสหายเก่าแก่ที่มิตรภาพความสัมพันธ์เหนียวแน่นยิ่งนักไปเสียแล้ว
“ไม่ได้แล้วค่ะ! จากบ้านมาตั้งนาน คนที่บ้านเป็นห่วงแย่แล้ว!”
ว่าแล้วอวี้เฟยเยียนก็มอบของขวัญของตนเองออกไป
“นี่เป็นตำราความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ในปัจจุบันที่ข้าเรียบเรียงด้วยตนเองอยู่หลายคืน ทั้งการเย็บ การฆ่าเชื้อโรคหลังจากผ่าตัดรวมทั้งการติดเชื้อ วิธีการป้องกันและอื่นๆ เรียบเรียงรวมเอาไว้ในเล่มนี้หมดแล้ว”
มือรับเอาตำราเล่มหนาเอา เจ้าสำนักหลิน หมอเทวดาฮั่วและเหล่าผู้เฒ่าซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
นี่เป็นตำราแพทย์ที่นับว่าหาได้ยากยิ่ง แต่อวี้เฟยเยียนเก็ยังตั้งใจเรียบเรียงทั้งยังมอบให้หอราชาโอสถอีกด้วย นี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่พวกเขาหามิได้อีกต่อไปแล้ว
อำลาเหล่าผู้เฒ่าที่มีคุณธรรมสูงส่งอีกครั้ง คณะของอวี้เฟยเยียนก็ขึ้นนั่งบนหลังม้า
ก่อนจะไปเหลียนจิ่นได้สอนวิธีการทำเครื่องรางลวดลายดอกบัวประดับองค์พระ ให้กับหมอเทวดาฮั่วด้วย
ผู้เฒ่าขี้งก ถือสูตรลับนี้มือสั่นระริก
“แม่น้อยอวี้ เสียวเหลียนจิ่น รอให้ข้ามีเวลาจะไปหาพวกเจ้า!”
หมอเทวดาฮั่วโบกมืออำลาพวกของอวี้เฟยเยียนที่เดินทางออกไปไกลลิบ
เมื่อออกจากหุบเขาลั่วสยา ขณะที่เข้าสู่เมืองกุยอวี๋ หญิงผู้หนึ่งก็เข้าขวางหน้าซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้
“ท่านอ๋อง โปรดหยุดก่อน!”
สองสามวันนี้เม่ยเหนียงวนเวียนอยู่ที่เมืองกุยอวี๋ ก็เพื่อจะพบกับชายหนุ่มผู้หล่อเหลาราวเทพบุตรคนนั้นอีกครั้ง
ในที่สุด สวรรค์ก็เห็นใจ ให้นางรอจนกระทั่งพบ
จู่ๆ ก็มีหญิงสาวสวยในชุดอาภรณ์สีชมพูวิ่งถลาออกมาขวางม้าของเขาเอาไว้ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนขมวดคิ้ว
“ไสหัวไป”
“ท่านอ๋อง ยังจำข้าน้อยได้หรือไม่ ที่จวนผู้บัญชาการหลิว ท่านช่วยข้าน้อยเอาไว้!”
น้ำเสียงของเม่ยเหนียงนุ่มนวลอ่อนหวาน พอดีกับที่ในตอนนั้นเป็นตอนเช้า มีผู้คนเข้ามาในเมืองเป็นจำนวนมาก เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ต่างก็หยุดชะงักเพื่อสังเกตการณ์มากมาย
ซย่าโหวฉิงเทียนนึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีบุคคลนี้อยู่ จึงกล่าวย้ำอีกครั้งว่า
“ไสหัวไป…”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
อวี้เชียนเสวี่ยขี่ม้าเข้ามาสอบถามซย่าโหวฉิงเทียน
ใครๆ ต่างก็เล่าลือกันว่า หลินเจียงอ๋องไม่มีข่าวเสียหายมิใช่หรือ
แล้วเหตุใดมาที่นี่เพียงไม่กี่วัน ก็มีหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้โผล่มาได้นะ
“ไม่รู้จัก”
ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีว่า อวี้เชียนเสวี่ยปัดป้องเขาราวกับเขาเป็นโจรอย่างไรอย่างนั้น แต่เขาเป็นผู้ที่ทรงเกียรติสง่าผ่าเผย จึงมิเกรงกลัวว่าใครจะมาว่าอะไรแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋อง ท่านช่วยเหลือเม่ยเหนียง เม่ยเหนียงเป็นผู้รู้จักตอบแทนบุญคุณ! เม่ยเหนียงเต็มใจติดตามรับใช้ข้างกายท่านอ๋อง ปรนนิบัติท่านอ๋อง ขอท่านอ๋องส่งเสริมด้วย!”
เม่ยเหนียงรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากนัก
ตั้งแต่ที่นางได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียน ในสมองนางก็เต็มไปด้วยภาพของเขา สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด
ชายที่เก่งกาจและรูปงามเช่นนี้ นางมิเคยพบมาก่อนในชีวิต!
ตัวนางมาจากหอนางโลม ทั้งยังเป็นดาวเด่นของที่นั่น นางจึงคิดว่านอกจากชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยไปสักหน่อยแล้ว ในด้านอื่นกลับไม่น้อยหน้าคุณหนูตระกูลผู้ดีแม้แต่น้อย
นางจึงคิดจะบินสูงชุบตนเองให้กลายเป็นหงส์ โดยใช้ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นประตูเบิกทางให้แก่นาง
“เป็นทาสรับใช้”
คราวนี้มู่เหนี่ยนซีตามมาสมทบ เมื่อได้นางเห็นเม่ยเหนียงก็ ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่งแล้วกล่าวว่า
“ท่าทางของเจ้าอ่อนปวกเปียกเช่นนี้ จะทำงานของสาวใช้ได้หรือ”
มู่เหนี่ยนซีจัดว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง เม่ยเหนียงได้เห็นก็ถึงกับจิตใจสั่นไหวอยู่ชั่วครู่ทีเดียวแต่เมื่อนางตั้งสติได้ จึงยืนยันหนักแน่นอีกครั้ง
“ได้สิเจ้าคะ! ไม่ว่าท่านอ๋องจะให้บ่าวทำอะไร บ่าวจะทำทุกอย่าง! ต่อให้ท่านอ๋องต้องการ…”
ประโยคหลัง เม่ยเหนียงยังกล่าวมิทันจบ ทว่าใบหน้านางเองกลับแดงระเรื่อ
พวกที่ชอบตามตอแยไม่เลิกเช่นนี้ เซวียเฉียงพบมามากแล้ว
ในตอนนั้นเอง เซวียเฉียงจึงลงจากม้า แล้วใช้ไม้ด้ามยาวตวัดเอากองอุจจาระสุนัขยื่นไปตรงหน้าเม่ยเหนียง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็กินมันลงไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าจะเป็นบ่าวที่เชื่อฟัง!”