ปึงๆ
เวลานั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นติดต่อกัน
“ใคร”
เห็นมู่เหนี่ยนซีซุกตัวเข้าหาผ้าห่ม แล้วพันกายตนเองเอาไว้รอบตัวเอาไว้ อวี้เชียนเสวี่ยก็กระแอมในลำคอ แล้วกล่าวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“ท่านลุงสาม ข้าเอง ข้ามาส่งของกิน ยังมียาสำหรับทาภายในด้วย…ของพวกนี้ข้าวางเอาไว้ที่หน้าประตูนะ ข้าไปก่อนล่ะ!”
เมื่ออวี้เฟยเยียนไปแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็เปิดประตูออกมาแล้วยกถาดเข้าไปด้านใน
บนถาดมีอาหารแล้วเครื่องดื่มครบถ้วน แล้วยังมีขวดยาเล็กๆอีกขวดหนึ่ง
“นี่คืออะไร”
มู่เหนี่ยนซี มองดูยาขวดเล็กแล้วกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย
เมื่อหลานสาวมาพบเรื่องเช่นนี้ของเขาเข้า อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกขัดเขินเป็นอย่างมาก ตอนนี้ยังเห็นยาขวดนั้นอีก พลัน หน้าหยกของเขาก็แดงราวกับลูกผิงกั่วทีเดียว
เสี่ยวเยี่ยนเยี่ยน เจ้าอย่าล้อเลียนลุงสามเช่นนี้ได้หรือไม่
“คงจะเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บนั่นแหละ”
อวี้เชียนเสวี่ยกระแอมเบาๆ สองครั้ง เพื่อปกปิดความอึดอัด
“ใครบาดเจ็บ ท่านหรือ”
มู่เหนี่ยนซีชันกายขึ้นเตรียมลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างกายของนางอ่อนปวกเปียกทรุดลง ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยตกใจรีบเข้ามาประคองนางในทันที
ถึงตอนนี้ ต่อให้ก่อนหน้านี้มู่เหนี่ยนซีไม่เข้าใจ มาตอนนี้จึงรู้แล้วว่ายาที่อวี้เฟยเยียนส่งมาให้นั้นคือยาสำหรับอะไร!
“น่าอายที่สุด ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เสี่ยวอวี้ร้ายที่สุด!”
มู่เหนี่ยนซีกัดริมฝีปากแน่น เอนซบอวี้เชียนเสวี่ย
ยาทาภายใน!
เอาไว้ใช้ทาตรงภายในบริเวณนั้น…
ถึงแม้ปากจะบ่นเช่นนั้น แต่ทว่าในใจของมู่เหนี่ยนซีกลับรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
อวี้เชียนเสวี่ยเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ แต่สำหรับเรื่องนั้น เขาเป็นดั่งที่คนหนุ่มที่วู่วามเอาแต่พุ่งชนท่าเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย
คนทั้งสองร่วมรักกันเป็นครั้งแรก ในฐานะที่เป็นหญิง มู่เหนี่ยนซีคงจะลำบากอยู่ไม่น้อย มิฉะนั้นเหตุใดสองขาของนางถึงได้สั่นเทาทั้งยังอ่อนปวกเปียก ไม่มีแม้เรี่ยวแรงที่จะก้าวเดิน!
“ในบ้านมีจักรพรรดิโอสถอยู่ทั้งคน ต่อไปเจ็บป่วยใดๆ ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป!”
อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวติดตลก
คนทั้งสองอิงแอบแนบชิด จวบจนกระทั่งตกเย็นจึงออกมาจากห้อง
ในตอนนั้น เป็นช่วงเวลาที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกำลังบอกลาอวี้เฟยเยียน
“ช่าช่า ข้าสำเร็จขั้นราชันจักรพรรดิแล้ว!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยหน้าตาแช่มชื่น เนื้อตัวเบาสบาย
“กลับไปคราวนี้ ดูซิว่าข้าจะจัดการเก็บกวาดคนบัดซบสองคนอย่างไร!”
สำเร็จขั้นจักรพรรดินี้แล้ว ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีก
พวกเจ้าต้องเป็นฝ่ายตาย บังอาจมาหาเรื่องข้า ฉะนั้นก็รอเก็บศพตัวเองไว้ได้เลย!
เชียนเยี่ยเสวี่ยในตอนนี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนวางใจ
เกิดในราชวงศ์ก็ไม่แน่ว่าจะมีความสุขเสมอไป
เฉกเช่นเชียนเยี่ยเสวี่ย ต้องพบกับบิดาแย่ๆ ที่จิตใจโหดเ**้ยมเลวทราม หากเชียนเยี่ยเสวี่ยไม่เ**้ยม ทำตัวอ่อนแอก็จะถูกกำจัดเป็นแน่!
“ช่าช่า ข้าต้องไปแล้ว! เจ้าอยู่ที่นี่คอยฟังข่าวดีจากข้า!”
ก่อนจะไป เชียนเยี่ยเสวี่ยก็กอดลาอวี้เฟยเยียนแน่น
“รอให้ข้ากับจัดสวะพวกนั้นให้สิ้นซากเสียก่อน ข้าจะกลับมาท่องไปทั่วยุทธภพพร้อมกับเจ้า!”
แต่ทว่า ยังมิทันที่เชียนเยี่ยเสวี่ยจะกล่าวอะไรกับอวี้เฟยเยียนต่อก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนลากออกไป
“เฮ้ย! ท่านทำอะไรเนี่ย!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยสบตาซย่าโหวฉิงเทียนนิ่งๆ
“เจ้ารีบไปสิ รีบกลับไป จะได้รีบสะสาง อย่าลืมเรื่องที่เจ้ารับปากข้าเอาไว้ละกัน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทีใจกว้าง ทว่าในใจของเขากลับมิค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่เชียนเยี่ยเสวี่ยทำสนิทสนมใกล้ชิดกับอวี้เฟยเยียนเช่นนี้
ข้าอุตส่าห์อดกลั้นกับมิตรภาพระหว่างเจ้ากับแมวน้อยแล้วนะ แต่ว่า เจ้ากลับอิงแอบแนบชิดกับแมวน้อยอีก ที่มันเกินปกติเกินไปแล้ว!
แม้แต่ข้ายังมิเคยได้รับอภิสิทธิ์นี้เลยนะ!
“รู้แล้วน่า!”
เชียนเยี่ยเสวี่ย ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วเดินไปคารวะทุกคน
“ทุกท่าน ข้าขอลาก่อน ไว้พบกันใหม่!”
นางก้าวขึ้นนั่งบนหลังม้า แล้วตวัดแส้ในมือ
“ช่าช่า รอข้านะ!”
มิตรภาพที่แน่นแฟ้นจนชวนให้คนเข้าใจผิดส่งผลกระทบทันที นั่นก็คือซย่าโหวฉิงเทียนดีดนิ้วไปที่ก้นของม้าตัวนั้น
ม้าสีขาวสง่าร้องขึ้นหนึ่งครั้ง แล้วควบไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“โอ้ ซย่าโหวฉิงเทียนท่านเล่นสกปรก ท่านกับข้ายังไม่จบง่ายๆแน่ ช่าช่าเป็นของข้า!”
“ข้าจะต้องกลับมาอีกแน่!”
เสียงเชียนเยี่ยเสวี่ยลอยมาเข้าหูจากที่ไกลๆ ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็มิได้เก็บมาใส่ใจ
เรื่องภายในแคว้นฉินจื้อเพียงพอที่จะให้เชียนเยี่ยเสวี่ยปวดหัวอยู่ช่วงหนึ่งทีเดียว รอจนนางกลับมา เขาก็คงพิชิตใจอวี้เฟยเยียนได้เรียบร้อยแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยจูงมือมู่เหนี่ยนซีที่เหนียมอายเดินออกมา ทุกคนล่วงรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว อวี้เฟยเยียนยิ้มล้อเลียนแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เหลียนจิ่นเอาแต่กล่าวว่า ’ยินดีๆ’ ไม่หยุด ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนก็ทักทายด้วยประโยคเย็นชาว่า
“ไม่ต้องขอบคุณ! “
ชู่…
เหลียนจิ่นกำลังดื่มชา ได้ยินประโยคเมื่อครู่ของซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกับพ่นชาออกมาโดนมั่วซางเต็มๆ
“หมอนี่ เป็นเสียอย่างนี้สิน่า ใครต่อใครเขาถึงได้ไม่ชอบหน้า พูดจาอะไรเช่นนี้นะ!”
มิน่าเล่าชื่อเสียงถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้!
ช่างไม่รู้จักพูดจาเอาเสียเลย…
มองดูหน้าตาหล่อเหลาสูงศักดิ์เย่อหยิ่งของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกว่าเจ้าหนุ่มนี่ช่างไร้ซึ่งการอบรมสั่งสอนเสียจริง!
ไม่ต้องขอบคุณ
หรือว่าที่เขาได้กินเนื้อนางแล้วสำเร็จแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าอย่างนั้นหรือ
แต่เมื่อเชียนเยี่ยเสวี่ยคิดให้ละเอียดอีกครั้ง หากมิใช่ซย่าโหวฉิงเทียนดวลสุรามู่เหนี่ยนซีจนเมา มู่เหนี่ยนซีไม่เมาสุรา ไม่แน่ว่าเขาและนางอาจไม่ก้าวข้ามอุปสรรคที่ขวางกั้นเช่นนี้ก็เป็นได้
หากว่าตามหลักเหตุผล ซย่าโหวฉิงเทียนก็คือตัวช่วยโดยตรงที่ผลักดันความรักของคนทั้งสอง ซึ่งได้ผลดีที่มิอาจมองข้ามได้
ทว่า อวี้เชียนเสวี่ยให้ตายก็ไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้
ยิ่งไม่ยอมซาบซึ้งซย่าโหวฉิงเทียนอีกด้วย!
อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ทันกลอุบายของหมอนี่นะ คิดจะใช้วิธีนี้ชักนำอวี้เฟยเยียนไป ไม่มีทาง!
ผิดกับมู่เหนี่ยนซีแล้ว นางกลับรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก เชียนเยี่ยเสวี่ยชี้แนะ ซย่าโหวฉิงเทียนช่วยเหลือผลักดัน นางถึงได้กินอวี้เชียนเสวี่ยอย่างราบรื่น แน่นอนว่าผลงานของซย่าโหวฉิงเทียนย่อมมีแน่นอน
“ขอบคุณ!”
มู่เหนี่ยนซียื่นหน้าออกไป แล้วกล่าวขอบคุณเบาๆ
“ไม่ต้องเกรงใจ คนกันเอง!”
คำพูดแหย่รังแตนของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยเต้นเร่าๆ
“หลินเจียงอ๋อง ใครเป็นคนกันเองกับท่าน”
ซย่าโหวฉิงเทียนชี้นิ้วไปที่อวี้เฟยเยียนแล้วสลับชี้นิ้วไปที่มู่เหนี่ยนซี
“ท่านดื่มสุราแพ้ข้า ท่านไม่มีสิทธิ์พูด คออ่อนเอง อย่าหาเรื่องหน่อยเลย!
คำพูดกวนอารมณ์ ยิ่งโจมตีจุดเดือดของอวี้เชียนเสวี่ย
เขาผู้ซึ่งเคยได้รับฉายาว่าเป็นพันจอกไม่ล้ม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน กลับพ่ายแพ้ราบคาบ
“ข้าไม่ยอมรับ!”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำให้ท่านหมอบลงอีกครั้ง!”
ซย่าโหวฉิงเทียนจับทางได้แล้วว่าอวี้เฟยเยียนมิได้เห็นเขาเป็นคนนอกอีกต่อไป ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนลิงโลดเป็นอย่างมาก
ขอเพียงนางมิรังเกียจเขา เขาย่อมมีหวัง!
น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน นับประสาอะไรกับเขาที่ใช้ความจริงใจเข้าสู้เช่นนี้
เห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เชียนเสวี่ยเป็นเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
“เงียบเดี๋ยวนี้นะ!”
ได้ผลตามดังที่คาดไว้ เสียงตวาดของอวี้เฟยเยียน ทำให้คนทั้งสองหยุดชะงักแล้วพากันมองไปที่นางเป็นตาเดียว
“กินข้าวเถอะ! หิวข้าวแล้ว!”
เห็นได้ชัดเจนว่า อวี้เฟยเยียนสำคัญต่อชายสองคนนี้ยิ่งนัก
เป็นแมวน้อยสุดที่รักของชายคนหนึ่ง ทั้งเป็นหลานสาวสุดที่รักของชายอีกคน แค่เพียงนางเอ่ยปาก พวกเขาทั้งสองก็นั่งลงที่โต๊ะกินข้าวอย่างว่าง่าย ราวกับเด็กนักเรียนเด็กดีสองคนด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านป้าสาม พวกเรากินข้าวกันเถอะ!”
อวี้เฟยเยียนจูงมือมู่เหนี่ยนซีให้นั่งลง รอจนสองพี่น้องตระกูลเซวียมาถึง มื้อเย็นก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ขณะที่กินมื้อเย็นกันนั้น เซวียจื่ออี๋แอบลอบมองอวี้เชียนเสวี่ยหลายต่อหลายครั้ง
มู่เหนี่ยนซีเห็นเช่นนั้น หัวใจก็แผ่วลง
“พี่ ท่านเป็นอะไรไป”
เซวียเฉียงเห็นว่าเซวียจื่อวี๋มีท่าทีที่แปลกไป ก็กล่าวถามขึ้น
“ข้ารู้สึกว่า ท่านลุงสามของอวี้หลัวช่าดูคุ้นตายิ่งนัก”