ตอนที่ 84-2 ท่านมีชีวิตที่ไม่เป็นสุข ข้าก็สบายใจแล้ว

จำนนรักชายาตัวร้าย

ปึงๆ

 

 

เวลานั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นติดต่อกัน

 

 

“ใคร”

 

 

เห็นมู่เหนี่ยนซีซุกตัวเข้าหาผ้าห่ม แล้วพันกายตนเองเอาไว้รอบตัวเอาไว้ อวี้เชียนเสวี่ยก็กระแอมในลำคอ แล้วกล่าวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

 

 

“ท่านลุงสาม ข้าเอง ข้ามาส่งของกิน ยังมียาสำหรับทาภายในด้วย…ของพวกนี้ข้าวางเอาไว้ที่หน้าประตูนะ ข้าไปก่อนล่ะ!”

 

 

เมื่ออวี้เฟยเยียนไปแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็เปิดประตูออกมาแล้วยกถาดเข้าไปด้านใน

 

 

บนถาดมีอาหารแล้วเครื่องดื่มครบถ้วน แล้วยังมีขวดยาเล็กๆอีกขวดหนึ่ง

 

 

“นี่คืออะไร”

 

 

มู่เหนี่ยนซี มองดูยาขวดเล็กแล้วกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย

 

 

เมื่อหลานสาวมาพบเรื่องเช่นนี้ของเขาเข้า อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกขัดเขินเป็นอย่างมาก ตอนนี้ยังเห็นยาขวดนั้นอีก พลัน หน้าหยกของเขาก็แดงราวกับลูกผิงกั่วทีเดียว

 

 

เสี่ยวเยี่ยนเยี่ยน เจ้าอย่าล้อเลียนลุงสามเช่นนี้ได้หรือไม่

 

 

“คงจะเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บนั่นแหละ”

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยกระแอมเบาๆ สองครั้ง เพื่อปกปิดความอึดอัด

 

 

“ใครบาดเจ็บ ท่านหรือ”

 

 

มู่เหนี่ยนซีชันกายขึ้นเตรียมลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างกายของนางอ่อนปวกเปียกทรุดลง ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยตกใจรีบเข้ามาประคองนางในทันที

 

 

ถึงตอนนี้ ต่อให้ก่อนหน้านี้มู่เหนี่ยนซีไม่เข้าใจ มาตอนนี้จึงรู้แล้วว่ายาที่อวี้เฟยเยียนส่งมาให้นั้นคือยาสำหรับอะไร!

 

 

“น่าอายที่สุด ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เสี่ยวอวี้ร้ายที่สุด!”

 

 

มู่เหนี่ยนซีกัดริมฝีปากแน่น เอนซบอวี้เชียนเสวี่ย

 

 

ยาทาภายใน!

 

 

เอาไว้ใช้ทาตรงภายในบริเวณนั้น…

 

 

ถึงแม้ปากจะบ่นเช่นนั้น แต่ทว่าในใจของมู่เหนี่ยนซีกลับรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ แต่สำหรับเรื่องนั้น เขาเป็นดั่งที่คนหนุ่มที่วู่วามเอาแต่พุ่งชนท่าเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย

 

 

คนทั้งสองร่วมรักกันเป็นครั้งแรก ในฐานะที่เป็นหญิง มู่เหนี่ยนซีคงจะลำบากอยู่ไม่น้อย มิฉะนั้นเหตุใดสองขาของนางถึงได้สั่นเทาทั้งยังอ่อนปวกเปียก ไม่มีแม้เรี่ยวแรงที่จะก้าวเดิน!

 

 

“ในบ้านมีจักรพรรดิโอสถอยู่ทั้งคน ต่อไปเจ็บป่วยใดๆ ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป!”

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวติดตลก

 

 

คนทั้งสองอิงแอบแนบชิด จวบจนกระทั่งตกเย็นจึงออกมาจากห้อง

 

 

ในตอนนั้น เป็นช่วงเวลาที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกำลังบอกลาอวี้เฟยเยียน

 

 

“ช่าช่า ข้าสำเร็จขั้นราชันจักรพรรดิแล้ว!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยหน้าตาแช่มชื่น เนื้อตัวเบาสบาย

 

 

“กลับไปคราวนี้ ดูซิว่าข้าจะจัดการเก็บกวาดคนบัดซบสองคนอย่างไร!”

 

 

สำเร็จขั้นจักรพรรดินี้แล้ว ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีก

 

 

พวกเจ้าต้องเป็นฝ่ายตาย บังอาจมาหาเรื่องข้า ฉะนั้นก็รอเก็บศพตัวเองไว้ได้เลย!

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยในตอนนี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนวางใจ

 

 

เกิดในราชวงศ์ก็ไม่แน่ว่าจะมีความสุขเสมอไป

 

 

เฉกเช่นเชียนเยี่ยเสวี่ย ต้องพบกับบิดาแย่ๆ ที่จิตใจโหดเ**้ยมเลวทราม หากเชียนเยี่ยเสวี่ยไม่เ**้ยม ทำตัวอ่อนแอก็จะถูกกำจัดเป็นแน่!

 

 

“ช่าช่า ข้าต้องไปแล้ว! เจ้าอยู่ที่นี่คอยฟังข่าวดีจากข้า!”

 

 

ก่อนจะไป เชียนเยี่ยเสวี่ยก็กอดลาอวี้เฟยเยียนแน่น

 

 

“รอให้ข้ากับจัดสวะพวกนั้นให้สิ้นซากเสียก่อน ข้าจะกลับมาท่องไปทั่วยุทธภพพร้อมกับเจ้า!”

 

 

แต่ทว่า ยังมิทันที่เชียนเยี่ยเสวี่ยจะกล่าวอะไรกับอวี้เฟยเยียนต่อก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนลากออกไป

 

 

“เฮ้ย! ท่านทำอะไรเนี่ย!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยสบตาซย่าโหวฉิงเทียนนิ่งๆ

 

 

“เจ้ารีบไปสิ รีบกลับไป จะได้รีบสะสาง อย่าลืมเรื่องที่เจ้ารับปากข้าเอาไว้ละกัน!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทีใจกว้าง ทว่าในใจของเขากลับมิค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่เชียนเยี่ยเสวี่ยทำสนิทสนมใกล้ชิดกับอวี้เฟยเยียนเช่นนี้

 

 

ข้าอุตส่าห์อดกลั้นกับมิตรภาพระหว่างเจ้ากับแมวน้อยแล้วนะ แต่ว่า เจ้ากลับอิงแอบแนบชิดกับแมวน้อยอีก ที่มันเกินปกติเกินไปแล้ว!

 

 

แม้แต่ข้ายังมิเคยได้รับอภิสิทธิ์นี้เลยนะ!

 

 

“รู้แล้วน่า!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ย ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วเดินไปคารวะทุกคน

 

 

“ทุกท่าน ข้าขอลาก่อน ไว้พบกันใหม่!”

 

 

นางก้าวขึ้นนั่งบนหลังม้า แล้วตวัดแส้ในมือ

 

 

“ช่าช่า รอข้านะ!”

 

 

มิตรภาพที่แน่นแฟ้นจนชวนให้คนเข้าใจผิดส่งผลกระทบทันที นั่นก็คือซย่าโหวฉิงเทียนดีดนิ้วไปที่ก้นของม้าตัวนั้น

 

 

ม้าสีขาวสง่าร้องขึ้นหนึ่งครั้ง แล้วควบไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

 

 

“โอ้ ซย่าโหวฉิงเทียนท่านเล่นสกปรก ท่านกับข้ายังไม่จบง่ายๆแน่ ช่าช่าเป็นของข้า!”

 

 

“ข้าจะต้องกลับมาอีกแน่!”

 

 

เสียงเชียนเยี่ยเสวี่ยลอยมาเข้าหูจากที่ไกลๆ ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็มิได้เก็บมาใส่ใจ

 

 

เรื่องภายในแคว้นฉินจื้อเพียงพอที่จะให้เชียนเยี่ยเสวี่ยปวดหัวอยู่ช่วงหนึ่งทีเดียว รอจนนางกลับมา เขาก็คงพิชิตใจอวี้เฟยเยียนได้เรียบร้อยแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยจูงมือมู่เหนี่ยนซีที่เหนียมอายเดินออกมา ทุกคนล่วงรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว อวี้เฟยเยียนยิ้มล้อเลียนแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เหลียนจิ่นเอาแต่กล่าวว่า ’ยินดีๆ’ ไม่หยุด ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนก็ทักทายด้วยประโยคเย็นชาว่า

 

 

“ไม่ต้องขอบคุณ! “

 

 

ชู่…

 

 

เหลียนจิ่นกำลังดื่มชา ได้ยินประโยคเมื่อครู่ของซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกับพ่นชาออกมาโดนมั่วซางเต็มๆ

 

 

“หมอนี่ เป็นเสียอย่างนี้สิน่า ใครต่อใครเขาถึงได้ไม่ชอบหน้า พูดจาอะไรเช่นนี้นะ!”

 

 

มิน่าเล่าชื่อเสียงถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้!

 

 

ช่างไม่รู้จักพูดจาเอาเสียเลย…

 

 

มองดูหน้าตาหล่อเหลาสูงศักดิ์เย่อหยิ่งของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกว่าเจ้าหนุ่มนี่ช่างไร้ซึ่งการอบรมสั่งสอนเสียจริง!

 

 

ไม่ต้องขอบคุณ

 

 

หรือว่าที่เขาได้กินเนื้อนางแล้วสำเร็จแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าอย่างนั้นหรือ

 

 

แต่เมื่อเชียนเยี่ยเสวี่ยคิดให้ละเอียดอีกครั้ง หากมิใช่ซย่าโหวฉิงเทียนดวลสุรามู่เหนี่ยนซีจนเมา มู่เหนี่ยนซีไม่เมาสุรา ไม่แน่ว่าเขาและนางอาจไม่ก้าวข้ามอุปสรรคที่ขวางกั้นเช่นนี้ก็เป็นได้

 

 

หากว่าตามหลักเหตุผล ซย่าโหวฉิงเทียนก็คือตัวช่วยโดยตรงที่ผลักดันความรักของคนทั้งสอง ซึ่งได้ผลดีที่มิอาจมองข้ามได้

 

 

ทว่า อวี้เชียนเสวี่ยให้ตายก็ไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้

 

 

ยิ่งไม่ยอมซาบซึ้งซย่าโหวฉิงเทียนอีกด้วย!

 

 

อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ทันกลอุบายของหมอนี่นะ คิดจะใช้วิธีนี้ชักนำอวี้เฟยเยียนไป ไม่มีทาง!

 

 

ผิดกับมู่เหนี่ยนซีแล้ว นางกลับรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก เชียนเยี่ยเสวี่ยชี้แนะ ซย่าโหวฉิงเทียนช่วยเหลือผลักดัน นางถึงได้กินอวี้เชียนเสวี่ยอย่างราบรื่น แน่นอนว่าผลงานของซย่าโหวฉิงเทียนย่อมมีแน่นอน

 

 

“ขอบคุณ!”

 

 

มู่เหนี่ยนซียื่นหน้าออกไป แล้วกล่าวขอบคุณเบาๆ

 

 

“ไม่ต้องเกรงใจ คนกันเอง!”

 

 

คำพูดแหย่รังแตนของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยเต้นเร่าๆ

 

 

“หลินเจียงอ๋อง ใครเป็นคนกันเองกับท่าน”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนชี้นิ้วไปที่อวี้เฟยเยียนแล้วสลับชี้นิ้วไปที่มู่เหนี่ยนซี

 

 

“ท่านดื่มสุราแพ้ข้า ท่านไม่มีสิทธิ์พูด คออ่อนเอง อย่าหาเรื่องหน่อยเลย!

 

 

คำพูดกวนอารมณ์ ยิ่งโจมตีจุดเดือดของอวี้เชียนเสวี่ย

 

 

เขาผู้ซึ่งเคยได้รับฉายาว่าเป็นพันจอกไม่ล้ม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน กลับพ่ายแพ้ราบคาบ

 

 

“ข้าไม่ยอมรับ!”

 

 

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำให้ท่านหมอบลงอีกครั้ง!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนจับทางได้แล้วว่าอวี้เฟยเยียนมิได้เห็นเขาเป็นคนนอกอีกต่อไป ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนลิงโลดเป็นอย่างมาก

 

 

ขอเพียงนางมิรังเกียจเขา เขาย่อมมีหวัง!

 

 

น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน นับประสาอะไรกับเขาที่ใช้ความจริงใจเข้าสู้เช่นนี้

 

 

เห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เชียนเสวี่ยเป็นเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก

 

 

“เงียบเดี๋ยวนี้นะ!”

 

 

ได้ผลตามดังที่คาดไว้ เสียงตวาดของอวี้เฟยเยียน ทำให้คนทั้งสองหยุดชะงักแล้วพากันมองไปที่นางเป็นตาเดียว

 

 

“กินข้าวเถอะ! หิวข้าวแล้ว!”

 

 

เห็นได้ชัดเจนว่า อวี้เฟยเยียนสำคัญต่อชายสองคนนี้ยิ่งนัก

 

 

เป็นแมวน้อยสุดที่รักของชายคนหนึ่ง ทั้งเป็นหลานสาวสุดที่รักของชายอีกคน แค่เพียงนางเอ่ยปาก พวกเขาทั้งสองก็นั่งลงที่โต๊ะกินข้าวอย่างว่าง่าย ราวกับเด็กนักเรียนเด็กดีสองคนด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“ท่านป้าสาม พวกเรากินข้าวกันเถอะ!”

 

 

อวี้เฟยเยียนจูงมือมู่เหนี่ยนซีให้นั่งลง รอจนสองพี่น้องตระกูลเซวียมาถึง มื้อเย็นก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

 

 

ขณะที่กินมื้อเย็นกันนั้น เซวียจื่ออี๋แอบลอบมองอวี้เชียนเสวี่ยหลายต่อหลายครั้ง

 

 

มู่เหนี่ยนซีเห็นเช่นนั้น หัวใจก็แผ่วลง

 

 

“พี่ ท่านเป็นอะไรไป”

 

 

 เซวียเฉียงเห็นว่าเซวียจื่อวี๋มีท่าทีที่แปลกไป ก็กล่าวถามขึ้น

 

 

“ข้ารู้สึกว่า ท่านลุงสามของอวี้หลัวช่าดูคุ้นตายิ่งนัก”