“วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไรหรอก!ใช้วิธีนี้มาบีบบังคับข้า พวกเขาต่างหากที่จะเป็นฝ่ายต้องทุกข์ทรมาน!”
ในขณะที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวออกมานั้น สายตานางคมกริบ
หลายปีที่ผ่านมานี้ นางสู้อุตส่าห์แสร้งทำตัวเป็นอ๋องเจ้าสำราญมานาน นึกไม่ถึงว่าหลิวกุ้ยเฟยยังไม่คิดที่จะปล่อยนาง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มาสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งจะดีกว่า!
“เสวี่ย…”
เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองของเชียนเยี่ยเสวี่ย ในใจอวี้เฟยเยียนก็เริ่มทานทนไม่ไหว
ความสัมพันธ์ของพ่อลูกต้องกลายเป็นเช่นนี้ นั้นมันเป็นเรื่องที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก
ท่านพ่อและท่านแม่ของอวี้เฟยเยียนเป็นนักวิจัยและพัฒนา พวกเขามอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับประเทศชาติ ดังนั้นนางและพี่ชายจึงเติบโตมากับผู้เป็นปู่
แต่ว่า ในขณะที่ท่านพ่อท่านแม่ของนางยุ่งอยู่กับภารกิจหน้าที่ ไม่บ่อยนักที่กลับมาบ้านสักครั้ง แต่ท่านทั้งสองก็ดีกับอวี้เฟยเยียนและพี่ชายเป็นอย่างมาก พวกท่านทั้งรักทั้งเอาใจนางและพี่ชายทุกอย่าง เห็นนางและพี่ชายเป็นราวแก้วตาดวงใจก็มิปาน
เดิมทีอวี้เฟยเยียนคิดว่า ในโลกนี้ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูกของตัวเอง แต่เมื่อมายังดินแดนแห่งนี้ ได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียนและเชียนเยี่ยเสวี่ย สิ่งที่นางคิดมาโดยตลอดพลันสูญสลายไปหมดสิ้น
“เสวี่ย หากเจ้าต้องการข้า ขอให้เอ่ยออกมาอย่าได้เกรงใจเป็นอันขาด! หรือไม่ก่อนที่เจ้าจะไป เจ้าจะต้องเลื่อนขั้นให้ได้ก่อน!”
อวี้เฟยเยียนลากเชียนเยี่ยเสวี่ยมาอีกด้าน แล้วยัดกล่องกำมะหยี่ใบเล็กใส่มือนาง
“เจ้าบรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นราชันแล้ว นี่เป็นยาที่ข้าคิดขึ้นโดยอาศัยโครงสร้างร่างกายของเจ้า มันจะช่วยเจ้าให้สำเร็จขั้นได้ในเร็ววัน ในเมื่อเจ้ามิให้ข้าไปแคว้นฉินจื้อกับเจ้าด้วย เช่นนั้นข้อเรียกร้องเล็กน้อยนี้ เจ้าต้องรับปากข้า!”
เชียนเย่เสวี่ยจับกล่องกำมะหยี่เล็กนั้นไว้แน่น น้ำตารื้น
ตั้งแต่รู้จักกันมา อวี้เฟยเยียนช่วยเหลือนางหลายต่อหลายครั้ง
ช่วยขจัดพิษในร่างนาง เป็นเพื่อนฝึกวิชา สำเร็จขั้นพร้อมกับนาง มาวันนี้ยังคิดค้นยาเพื่อนางอีก จนเชียนเยี่ยเสวี่ยมิรู้จริงๆ ว่าจะขอบคุณอวี้เฟยเยียนอย่างไรดี
“บุญคุณใหญ่หลวงมิอาจตอบแทน! ขอเป็นพี่น้องกัน ชั่วชีวิต!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกำมือขวากุมทับด้วยมือซ้ายแนบอกเป็นเชิงทำความเคารพ และแสดงออกว่านางจะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่อวี้เฟยเยียนทำให้กับนางเอาไว้ชั่วชีวิต
“พูดมากทำไมกันเล่า! รีบไปฝึกวิชาได้แล้ว! ไม่เช่นนั้นข้าจะตามไปกับเจ้าด้วยจริงๆ แล้วนะ!”
“รู้แล้วน่า พูดมากจัง! “
เชียนเยี่ยเสวี่ยเสหันไปอีกด้านปาดน้ำตาเบาๆ แล้วหันกลับมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“เสด็จแม่ข้าให้กำเนิดข้ามาผิดเพศแล้ว! ควรจะให้ข้าเป็นชายสิ เช่นนั้นข้าจะติดตามเจ้าไปตลอดชีวิต ต่อให้ต้องใช้ยาเสน่ห์อะไรเพื่อให้เจ้ามาเป็นสตรีข้า ข้าจะขอติดตามเจ้าชั่วชีวิต!”
“ไสหัวไป”
เมื่อเห็นว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเริ่มพูดติดตลกขึ้นมา อวี้เฟยเยียนก็รู้ได้ทันทีว่านางกลับเป็นคนเดิมแล้ว ทำให้อวี้เฟยเยียนวางใจ
เชียนเยี่ยเสวี่ยหยิบกล่องกำมะหยี่ใบเล็กแล้วไปเตรียมตัวออกเดินทาง ที่หน้าประตูนางได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียนเข้า
“หลินเจียงอ๋อง ข้าขอเวลาท่านสักครู่ได้หรือไม่ ข้าอยากที่จะทำการค้ากับท่านสักอย่างหนึ่ง!”
นับตั้งแต่ที่รู้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นหญิงแล้ว อารมณ์หึงหวงที่มีของซย่าโหวฉิงเทียนมีต่อนางก็มลายหายไปสิ้น
สหายที่ดีของอวี้เฟยเยียน ก็คือสหายที่ดีของเขา หากว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยต้องการความช่วยเหลือละก็ เห็นแก่หน้าของแมวน้อย เขาก็จะออกหน้าช่วยเหลือ
“ได้สิ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า แล้วเดินตามหลังเชียนเยี่ยเสวี่ยไป
พวกเขาคิดจะทำอะไรกันนะ
อวี้เฟยเยียนฉงนสงสัยยิ่งนัก แต่ สิ่งที่นางอยากรู้ยิ่งกว่าคือเชียนเยี่ยเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างมากกว่า
ช่วงเช้าก็ผ่านพ้นไปแล้ว คนทั้งสองก็ยังไม่ปรากฏตัว
หรือว่าหลังจากที่ได้สัมผัสกันและกันแล้ว รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงยิ่งกินไม่รู้อิ่ม
ท่านลุงสาม ท่านจะต้องเบามือสักหน่อยนะ
หญิงสาวจะต้องทะนุถนอมให้มาก…
แต่ก็อดพูดมิได้ว่า สิ่งที่อวี้เฟยเยียนเป็นห่วงมันถูกต้องแน่แท้
ภายในห้อง มู่เหนี่ยนซีที่ตื่นขึ้นมากำลังปวดหัวอย่างหนัก หัวสมองนางหนักอึ้ง ปวดร้าวไปทั้งร่างราวกับเพิ่งถูกรถม้าเบียดทับร่างกายก็ไม่ปาน ขยับตัวแทบไม่ได้
เมื่อนางเหมือนจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานขึ้นมาได้ ก็เอาหัวมุดลงใต้ผ้าห่มในทันที โดยไม่ยอมโผล่ศีรษะออกมา ยิ่งมิอยากจะเหลือบมองชายข้างกายแม้แต่หางตา
เป็นของกันและกันครั้งแรก ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยที่เพิ่งดื่มด่ำกับอาหารชั้นเลิศเมื่อคืนนี้จิตใจหวั่นวิตก
หากว่ามู่เหนี่ยนซีเสียใจภายหลังขึ้นมา เขาควรจะทำอย่างไรดี
“เหนี่ยนซี เหนี่ยนซี อย่าอุดอู้อยู่ในนั้นอีกเลย…”
“ข้าชอบเช่นนี้!”
เสียงมู่เหนี่ยนซีอู้อี้ต่ออีกว่า
“ท่านอย่าสนใจข้าเลย!”
คราวนี้ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยยิ่งว้าวุ่นใจมากยิ่งขึ้น เดิมทีเขาก็จำศีลเก็บเนื้อเก็บตัวมาตั้งสามสิบกว่าปี เมื่อคืนจึงเป็นการเปิดงานครั้งแรก จึงทำให้สะเพร่าละเลยความถูกต้องทำลงไป
ถึงแม้ว่าในครั้งแรกนี้จะมิใช่การยินยอมพร้อมใจสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่สั่งสมประสบการณ์จากงานจริง รวมกับความสามารถเดิม ในตอนหลังมันจึงเป็นไปตามธรรมชาติ ราบรื่น เมื่อศึกรักลั่นกลองรบแล้ว เราทั้งสองก็ร่วมกันกรำศึกจวบจนฟ้าสาง
ใครจะคาดคิดว่า มู่เหนี่ยนซีตื่นมา จะกลับกลายเป็นท่าทีเช่นนี้
อวี้เชียนเสวี่ยดูไม่ออกจริงๆ ว่านางคิดอย่างไรกันแน่
“เหนี่ยนซี ข้าผิดเอง ข้ามิควรจะฉวยโอกาสตอนที่เจ้าเมามายแล้ว…”
นอกจากรักแรกที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็มิเคยมีประสบการณ์ความรักกับหญิงใดมาก่อน เรื่องการปลอบประโลมมู่เหนี่ยนซี ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยคิดจนสมองแทบจะระเบิด
ฉับพลันเขารู้สึกได้ว่า มันยากเสียยิ่งกว่ากรำศึกในสนามรบสังหารศัตรูเสียอีก!
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่เหนี่ยนซีก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองไปที่อวี้เชียนเสวี่ย ตาทั้งสองนางแดงก่ำ
“ทำไม ท่านหมายความว่าอย่างไร! ท่านเสียใจหรือ กินเสร็จแล้วก็ไม่ยอมรับสินะ”
ถูกกล่าวหาโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้า อวี้เชียนเสวี่ยจึงรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่นะ! ข้าเพียงแต่เห็นว่าเจ้าเงียบลงไปไม่พูดจา จึงคิดว่าเจ้าเสียใจภายหลังแล้ว”
อวี้เชียนเสวี่ยก้มศีรษะลงต่ำ ราวกับเด็กน้อยที่กำลังทำผิดอย่างไรอย่างนั้น
มู่เหนี่ยนซีเห็นเช่นนั้น ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“คนเขาก็แค่เขินอายอย่างไรเล่า ท่านเข้าใจหรือยัง จริงๆ เลย! นี่ข้ายังถูกเข้าใจผิดอีกหรือเนี่ย!”
ขณะที่กล่าว แก้มของมู่เหนี่ยนซีแดงก่ำ ดวงตาฉายแววแห่งความสุขที่เปี่ยมล้น ยิ่งคล้ายกับลูกองุ่นแสนสวยก็ไม่ปาน อวี้เชียนเสวี่ยเห็นแล้วก็ใจอ่อนยวบ
“เหนี่ยนซี พวกเราแต่งงานกันนะ!”
ถูกอวี้เชียนเสวี่ยขอแต่งงานด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจังเช่นนี้ มู่เหนี่ยนซียิ่งรีบมุดหัวลงในผ้าห่มอีกครั้ง
“แต่งงานน่ะได้ แต่ว่า ตอนนี้ข้าจะออกไปอย่างไรกัน ทุกคนคงจะรู้เรื่องหมดแล้ว!ข้าไม่มีหน้าไปพบใครอีกแล้ว แม้แต่เสี่ยวอวี้ก็คงหัวเราะข้า!”
“เช่นนั้น พวกเราไม่ต้องไปพบหน้าใคร พวกเรามาทำกันต่อ”
“บ้า…”
ได้ฟังอวี้เชียนเสวี่ยกล่าวคำพูดที่น่าละอายออกมา มู่เหนี่ยนซีทั้งอายทั้งกังวลใจ
“ตอนนี้ร่างข้าปวดร้าวไปทั้งร่าง ท่านยังจะทำอะไรอีก ไม่รู้ว่าเจ้าผีบ้าที่หิวโหยตนไหนถูกปล่อยออกมากันแน่ ไม่เคยแตะต้องหญิงสาวหรืออย่างไรกัน”
มู่เหนี่ยนซีพูดเข้าถูกจุดพอดิบพอดี อวี้เชียนเสวี่ยได้ฟังก็รีบพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทีจริงจัง
“นี่เป็นครั้งแรก! รุนแรงไปบ้าง ข้ารับรองว่าต่อไปจะไม่เป็นเช่นนี้อีกแล้ว!”
นี่เป็นครั้งแรก
มู่เหนี่ยนซีได้ฟังเช่นนั้น ก็แอบชื่นใจ
“ท่านอย่ามาปลอบข้าเลย! คนอย่างท่านไม่ขาดสตรีอยู่แล้ว!”
“ข้าไม่ได้โกหกเจ้านะ! ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ…”
อวี้เชียนเสวี่ยแก้มแดงน้อยๆ
“ข้ายังกลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะข้า ว่าอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง ดังนั้น นี่มิใช่ข้าต้องรับผิดชอบเจ้า เจ้าต่างหากที่ต้องรับผิดชอบข้า!”
กล่าวถึงตรงนี้ อวี้เชียนเสวี่ยอารมณ์จริงจังน้ำเสียงขึงขัง
“เมื่อวานนี้เจ้าจัดแจงมัดข้าก่อน!”
มู่เหนี่ยนซีหวนนึกถึงเมื่อคืนวานที่ตนเองอาจหาญเป็นฝ่ายผลักอวี้เชียนเสวี่ยล้มลง ก็กระหยิ่มยิ้มย่องไม่น้อย
“นี่เขาเรียกว่าลงมือก่อนเป็นต่อ ใครให้ท่านกลายเป็นหนุ่มรูปงามกันเล่า!”
“ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร ในใจข้าก็มีแต่เจ้า!”
อวี้เชียนเสวี่ยงับที่ใบหูของมู่เหนี่ยนซีแล้วกระซิบแผ่วเบา
ลื่นเป็นปลาไหลเลยนะท่านแม่ทัพ ท่านกลายเป็นพวกช่างเจรจาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
“เจ้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงพี่”
คนทั้งสอง ใจและกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ก็ยิ่งใกล้ชิดห่วงใยกัน ส่วนด้านความรู้สึกก็ใกล้ชิด มั่นคงมากยิ่งขึ้น