ในฐานะแปดมรสุมที่ถูกคนบนโลกมองว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ในสายตาของชาวประชาก็เป็นดั่งเทพก็มิปาน แต่สำหรับซูหลีก็คือสวะแปดคน ยิ่งอย่าลืมตอนแรกสุด เขาก็เคยพูดว่าอีกฝ่ายเป็นตาแก่โง่เง่า นี่มันก็เท่านั้น เมื่อฟังน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนหากพูดว่าจะฆ่าก็สามารถฆ่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าลู่เหล่านี้ได้ ช่างหลงระเริงหยิ่งยโสเสียจริง ถึงเขาจะเป็นอาจารย์ปู่เล็กในตำนานของเขาหลีซาน คนที่ได้ยินคำพูดนี้ ณ ที่นี้ ยังคงรู้สึกว่าช่างกำเริบยิ่งนัก ถึงขนาดไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยทีเดียว
บนใบหน้าของจูลั่วไม่ได้เผยให้เห็นถึงความยั่วเย้าเพราะความกำเริบ และก็ไม่ได้โกรธแค้น แต่ยังเฉยเมยอยู่เช่นนั้น ในฐานะประมุขพรรคไร้เทียมทาน จิตใจในการบำเพ็ญเพียรของเขาได้ตัดขาดอารมณ์ความรู้สึก คำพูดนี้ไม่ได้มีความหมายที่เย็นชาโหดร้าย แต่มีความหมายที่เหมือนดวงจันทร์ที่สาดส่องบนพื้นที่ราบหิมะ โดดเดี่ยวเย็นยะเยือก และไม่ถูกของนอกกายทำให้สับสน
เขามองไปที่ซูหลีแล้วพูดขึ้น “เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว”
ใช่ ซูหลีกำลังจะตายอยู่แล้ว ไม่ว่าตอนที่เขาสมบูรณ์พร้อมจะมีความสามารถฆ่าแปดมรสุมได้หรือไม่ หรือกระทั่งสามารถคุกคามห้านักปราชญ์นั่นได้ เขาก็กำลังจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ก็เป็นได้เพียงปริศนาที่สูญหายไปกับประวัติศาสตร์อันแสนยาวนาน
แต่ว่าซูหลีไม่คิดเช่นนั้น เขามองจูลั่วแล้วพูดขึ้น “รอข้าหายดี อันดับแรกเลยข้าก็จะไปที่เมืองฮั่นชิวเพื่อฆ่าเจ้า”
เขาพูดประโยคนี้อย่างเรียบเฉยไม่ใส่ใจอย่างมาก ราวกับไม่รู้เลยสักนิดว่าจูลั่วมาฆ่าตนเอง ราวกับไม่รู้ว่าเมืองสวินหยางก็คือหลุมฝังศพของเขา ราวกับว่านาทีถัดไปเขาก็จะกลับไปยังเขาหลีซาน
ผมที่ยาวปรกบ่าของจูลั่วถูกสายลมพัดพลิ้ว คิ้วทั้งสองข้างขมวดขึ้นน้อยๆ ในที่สุดก็เผยให้เห็นความถากถางบางๆ
“ไม่ถูก ไม่ควรจะไปเมืองฮั่นชิวเพื่อฆ่าเจ้า…แต่เป็นไปเมืองฮั่นชิวเพื่อฆ่าล้างตระกูลเจ้า”
ซูหลีที่พูดแก้ขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังเหลียงหวังซุนที่อยู่หน้าฝูงชน พลางพูดขึ้น “ในครั้งนี้ ข้าจะซึมซับบทเรียนที่ผ่านมา จะไม่ทำผิดเช่นนี้อีก”
“ผู้อาวุโส ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูก”
เฉินฉางเซิงจูงเชือก และหันหน้าไปพูดกับเขา ใช่ เรื่องอย่างการฆ่าล้างตระกูลเช่นนี้จะอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง ต่อให้ไม่ถอนรากถอนโคน เป็นไปได้ว่าในภายหลังจะเกิดไฟป่าที่ไหม้ลามขึ้นมา
ตลอดทางที่ลงใต้ ซูหลีคิดว่าตนเข้าใจเด็กอย่างเฉินฉางเซิงผู้นี้ แต่ว่าเมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว เขาถึงได้พบว่าตนไม่ได้เข้าใจอีกฝ่ายเลย หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “เช่นนั้นก็ไม่ฆ่าล้างตระกูล แต่จะฆ่าเพียงแค่เขา”
คำพูดเหล่านี้ฟังแล้วก็เหมือนเป็นเรื่องน่าขำ ที่จริงแล้วก็คือเรื่องตลกขบขัน
ซูหลีที่กำลังจะตาย พูดว่าต่อไปจะฆ่าล้างตระกูลจูลั่ว ตัวเขาไหนเลยจะยังมีต่อไปอีก
จูลั่วมองเขา พลางพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ตอนที่จากโลกใบนี้ไป หรือว่าเจ้าจะจริงจังสักครั้งมิได้”
เป็นคำพูดที่มีความหมายเหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ใต้เท้ามุขนายกหัวเจี้ยฟูเคยพูดกับเฉินฉางเซิง
“รอรับความตายอย่างสงบก็คือจริงจังหรือ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีทางชอบความจริงจังนี้ ตายบนสนามรบ หมื่นขุนเขา หรือตายบนเตียงนุ่มๆ ในอ้อมกอดของสาวงาม แน่นอนว่าข้าจะเลือกอย่างสุดท้าย”
ซูหลีพูดขึ้น “พูดไปแล้ว ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตาเฒ่าอย่างพวกเจ้าสรุปแล้วอยู่ไปเพื่ออะไรกัน…หากพูดว่าเป็นผลประโยชน์ ข้าก็มองไม่ออกว่าเจ้าสามารถได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้สักเท่าไหร่กัน…ดูไปแล้วเจ้าก็น่าอนาถพอดู อย่างไรเสียที่นี่คือเมืองเทียนเหลียง…ตาเฒ่าพวกนั้นสามารถหลบซ่อนอยู่ในรูจวนของตน อยู่ในเมือง แต่เจ้ากลับไม่อาจหลบซ่อนได้”
หลังจากที่จูลั่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “เรื่องบางเรื่อง ก็ต้องแก้ไขเสีย”
ตั้งแต่เริ่มจนจบ บุคคลผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองเทียนเหลียงที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งผู้นี้ ไม่ได้มีเจตนาจะปรากฏตัวขึ้นในเมืองสวินหยาง เพราะว่าต่อให้เป็นเขาเองก็ไม่อยากฆ่าซูหลีกับมือ อย่างน้อยมือคู่นี้ก็ไม่สามารถเปื้อนเลือดของซูหลี
จนกระทั่งหวังผ้อปรากฏตัว ใช้ดาบแหวกหิมะ ทำให้ฝูงชนล่าถอย เขาจึงจำเป็นต้องปรากฏตัว
ซูหลีมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างถากถาง “เช่นนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าภายหลังเรื่องนี้จะจัดการอย่างไร ถึงแม้จะพูดว่าทางใต้ก็มีคนมากมายที่อยากให้ฆ่าตายมาโดยตลอด แต่จะอย่างไรข้าก็เป็นบุคคลต้นแบบของเทียนหนาน หากมือทั้งสองข้างของเจ้าอาบไปด้วยเลือดของข้า เช่นนั้นความโกรธแค้นของคนทางใต้ก็จะต้องให้ตระกูลจูของเจ้ากับพรรคไร้เทียมทานรับเอาไว้แล้ว เจ้าได้เตรียมใจเอาไว้หรือยัง”
จูลั่วไม่ได้พูด บุคคลเช่นเขา ใจแห่งการบำเพ็ญไร้ทางแก้ไข กระจ่างชัดในทางโลก ไหนเลยจะมองเหตุผลไม่ออก เพียงแค่เป็นอย่างที่เขาพูด ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นในเมืองเทียนเหลียง เช่นนั้นก็ทำได้เพียงให้เขามาจัดการ
“อยู่มาหลายร้อยปี สรุปแล้วก็ยังถูกคนใช้เป็นอาวุธ”
ซูหลีมองเขาอย่างเห็นใจและพูดขึ้น “เหตุใดมารดาเจ้าถึงได้คลอดเจ้าออกมาปัญญาอ่อนอย่างนี้ บิดาเจ้าที่อยู่ในปรภพได้รู้ว่าตระกูลจูจะตกต่ำเพราะการตัดสินใจของเจ้าในวันนี้ จะเสียใจในภายหลังหรือเปล่าที่ให้กำเนิดคนปัญญาอ่อนเช่นเจ้าออกมา”
แหลมคมบาดหู แต่ละคำล้วนแทงใจ แต่กลับไม่เพียงเพราะเหล่านี้เป็นคำหยาบคาย แต่เพราะคำพูดเหล่านี้ไม่ได้พูดผิดไป คำพูดที่ไร้ความผิด ก็คือกระบี่ ด้วยความสามารถของซูหลี ต่อให้จิตใจของจูลั่วแข็งแกร่งดั่งหินผา ก็ยังถูกทำให้เหลือร่องรอยเอาไว้
จูลั่วมองไปยังคนที่อยู่บนหลังม้าซึ่งอ่อนแรงไปแล้ว ขนาดที่ว่าแม้แต่แขนก็ยังยกไม่ขึ้น แล้วพูด “แม่น้ำใหญ่ที่ไหลบ่าแบ่งเป็นสองฝาก ต่อให้เพียงแค่มองดูไม่เอ่ยวาจา ก็ยังต้องเลือกสักฝั่ง”
ที่พูดนี้ก็คือซูหลี ที่พูดก็คือเหตุผลว่าทำไมทั่วทั้งต้าลู่ถึงได้ต้องการฆ่าซูหลี
สิบปีก่อน หลังจากคดีโลหิตที่สำนักฝึกหลวงในต้าโจว ท่ามกลางความวุ่นวายภายใน พรรคฉางเซิงกับจวนเหลียงอ๋องร่วมมือกัน หวังจะบุกทางเหนือ ซูหลีกลับไม่ยอม ขนาดที่ใช้กระบี่ในมือทำลายงานชิ้นใหญ่นี้ ร้อยปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ของเทียนไห่หรือใต้เท้าสังฆราชก็ล้วนอยากให้เหนือใต้บรรจบกัน แต่ซูหลีกลับยังไม่ยอม เขาอาศัยกระบี่หนึ่งเล่มในมือ ยืนอยู่ที่เทียนหนานและขัดขวางขุมอำนาจในใต้หล้าให้ไม่อาจก้าวหน้าไปได้
ในสองเรื่องนี้ ไม่ว่าซูหลีจะเลือกอย่างไร เขาล้วนไม่ตกเข้าไปในอันตรายที่อยู่ตรงหน้า แต่เขากลับไม่เลือกอะไรเลย ท่าทีของเขาหยิ่งยโสและชัดเจนอย่างมาก “หากข้าเป็นหินหลักก็ควรจะอยู่กลางแม่น้ำใหญ่ หากข้าเป็นจอกแหนก็ควรจะไหลไปตามน้ำ ข้าคือซูหลี ทำไมข้าจะต้องยืนอยู่ที่ริมฝั่ง”
จูลั่วไม่ได้พูดมากอีก พลันเอ่ยขึ้น “เขาหลีซานจะดำรงอยู่ต่อไป เพียงแต่ไม่มีเจ้าอีกแล้ว”
นี่คือความเคารพ และก็คือการประกาศ
หัวถนนของเมืองสวินหยาง เงียบสงัดไร้เสียง เมฆดำมากขึ้น และมีละอองฝนโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
“เขาหลีซานที่ไม่มีข้า ยังเป็นเขาหลีซานอยู่อีกหรือ”
ซูหลีมองไปทางทิศใต้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คิดถึงเรื่องที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นบนเขาหลีซานในตอนนี้ จิตใจก็หนักอึ้งขึ้นมา
นี่ไม่ใช่คำประกาศที่หยิ่งยโส แต่เป็นความกังวล
ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนคิดว่าซูหลีก็คือเขาหลีซาน ที่จริงแล้วตัวเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ เขากราบเข้าพรรคกระบี่เขาหลีซานตั้งแต่เด็ก รู้ว่าที่เขาหลีซานมีจิตวิญญาณกระบี่ของมันเอง แต่เรื่องจริงก็คือ หลายร้อยปีมานี้ เขาก็คือต้นไม้เขียวที่อยู่บนยอดของเขาหลีซานต้นนั้น ทอดร่มเงาลงมาปกป้องศิษย์ของเขาหลีซาน หากเขาไม่อยู่แล้ว เขาหลีซานจะเป็นเช่นไร เขาหลีซานตอนนี้จะต้องมีปัญหาแน่ เป็นเรื่องอะไรกัน เหล่าศิษย์ของเขาหลีซานสามารถแบกรับไว้ได้ไหม นี่คือเรื่องที่เขาสนใจเพียงเรื่องเดียวในตอนนี้
“สุดท้ายข้าก็ยังเทียบไม่ได้กับพวกชุดดำ…ในด้านนี้”
ซูหลีถอนสายตากลับมา มองไปที่จูลั่วและพูดขึ้น “คนที่เขาฆ่าถึงแม้จะไม่ได้มากมายเท่าข้า แต่ว่าความรู้ในด้านมืดของมนุษย์กลับอยู่เหนือกว่าข้าจริงๆ ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีโลกียวิสัยอยู่มากมาย เขารู้ถึงความปรารถนาของพวกเจ้าที่ถูกเรียกว่าผู้ปกป้องแห่งโลกมนุษย์อย่างชัดเจนดี แต่สรุปแล้วพวกเจ้าชัดเจนดีหรือเปล่าว่าตนกำลังทำอะไร”
จูลั่วพูดขึ้น “มีบางครั้ง การเคลื่อนไหลของประวัติศาสตร์จำเป็นต้นถอยหลังก่อนถึงจะยิ่งมีกำลังที่จะไปข้างหน้า”
“ก่อนจะต้านศึกนอกต้องทำให้ศึกในสงบก่อนหรือ” ซูหลีมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างถากถาง “เช่นนั้นเจ้าไปเตือนพวกคนในราชตระกูลเฉินเหล่านั้นไม่ให้อยากขึ้นเป็นจักรพรรดิดีกว่าไหม บางทีเจ้าไปเตือนให้เทียนไห่สละตำแหน่งดีกว่าไหม”
จูลั่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อพูดถึงความหมายที่ซ่อนเอาไว้แล้ว ก็ดูมีความนัยลึกซึ้ง
“ที่ข้าไม่ชอบที่สุดก็คือท่าทีของพวกเจ้าที่มันพูดจาเละๆ เทะๆ”
ซูหลีไม่คิดจะสนใจความหมายที่ซ่อนอยู่ว่ามีลึกซึ้งเท่าไหร่เลยสักนิด พลางพูดขึ้น “ไม่สนุกเลย”
“ไม่สนุกจริงๆ”
เซียวจางที่ไม่ได้พูดมาโดยตลอด ส่ายหัวขึ้นมาอย่างแรง กระดาษขาวที่อยู่บนใบหน้าแผ่นนั้นถูกสายฝนพรมจนเปียกและส่งเสียงดังขึ้น ราวกับการตบบ้องหูใครสักคน หลังจากนั้นเขาก็หันกายพาดทวนเหล็กด้ามนั้น และเดินไปทางหัวถนน
เขามาเมืองสวินหยางเพื่อมาฆ่าซูหลี ในตอนนี้มีคนมาฆ่า ซูหลีจะต้องตายอย่างแน่นอน เขายังจะอยู่ทำอะไรอีก บุคคลเช่นซูหลีนี้ ต่อให้บาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถตอบโต้ การฆ่าเขาก็ยังมีความหมาย แต่การเห็นเขาตายไปกลับไม่น่าสนุก
เหลียงหวังซุนไม่ได้ไป ผู้บำเพ็ญเพียรนับร้อยคนนั้นก็ยังไม่ได้ไป พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาและมองดูคนกลุ่มนั้นที่อยู่ตรงกลางถนน พวกเขากำลังรอดูว่าซูหลีจะตายอย่างไร
ซูหลีลูบเส้นขนที่เปียกน้ำของม้าที่ขี่อยู่ พลางพูดขึ้น “พวกเจ้าสามารถไปได้แล้ว”
แน่นอนว่าไม่กี่คำนี้เป็นการพูดกับเฉินฉางเซิงและหวังผ้อ ถึงแม้เขาจะเกลียดการรอรับความตายอย่างสงบหรือจะพูดว่าการหวนคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาวเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ยังต้องพูดถึงท่าทีเหล่านี้ อย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน
ชีวิตหนึ่งของคนจะผ่านไปเช่นไร ซูหลีเคยคิดอยู่หลายครั้ง สุดท้ายแล้วก็ยังไม่มีบทสรุป เวลาส่วนใหญ่ก็อาศัยความชอบของตนในการกระทำ แต่ว่าชีวิตของคนจะจบเช่นไร เขาได้มีบทสรุปมาตั้งนานแล้ว
การตายภายใต้เงื้อมมือของแปดมรสุม ถึงแม้จะห่างจากที่เขาคิดเอาไว้มาก แต่ก็ถือว่าพอจะฝืนรับได้
เฉินฉางเซิงถือเชือกอยู่ กำลังก้มหน้ามองดูหยาดฝนที่หน้ารองเท้า นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะทำเรื่องอื่นก็ไม่มีความหมายอะไร เป็นโลกใบนี้ที่ต้องการจะฆ่าซูหลี ในตอนนี้ผู้ที่อยู่ตรงหัวถนนกลางสายฝนนั่นก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ กระบี่ของเขาจะเร็วจะแข็งแกร่งอย่างไร ก็ไม่สามารถขวางอีกฝ่ายเอาไว้ได้
หวังผ้อเองก็ไม่ได้เอ่ยวาจา
แต่ว่าเขาเริ่มพับแขนเสื้อ
การเคลื่อนไหวของเขาช้าอย่างมาก มีสมาธิอย่างมาก และละเอียดลอออย่างมาก
เขาพับแขนเสื้อบนแขนข้างขวามาถึงบริเวณข้อศอก
การทำเช่นนี้แล้ว เมื่อตวัดดาบก็น่าจะเร็วขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง
สีหน้าของซูหลีเคร่งขรึมขึ้นมา
คำพูดแทงใจดำของเขาก่อนหน้านี้ ที่พูดว่าพวกแปดมรสุมอย่างจูลั่วคิดจะหาโอกาสฆ่าหวังผ้อที่เป็นคนรุ่นหลังเช่นนี้ ก็เพราะอยากจะปกป้องชีวิตของหวังผ้อ…เลือดสดๆ ที่อยู่บนมือของเขามากเกินไปแล้ว หลังจากเรื่องนี้จูลั่วสามารถหาข้ออ้างได้มากมาย แต่การจะฆ่าหวังผ้อนั้นไม่เหมือนกัน ก่อนที่จะมีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอ ทุกการกระทำที่มีต่อหวังผ้อสามารถถูกเข้าใจว่าเป็นความอิจฉาริษยาได้ เพราะไม่อยากถูกคนรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์โดดเด่นแทนที่ จึงลงมือสังหารโดยไม่สนใจผลประโยชน์ของมนุษย์ทั้งมวล
ขอเพียงแค่หวังผ้อไม่เริ่มลงมือก่อน ภายใต้สายตาของคนนับร้อย จูลั่วก็ไม่อาจจะทำอะไรกับหวังผ้อได้ ถึงขนาดที่เขากับแปดมรสุมที่เหลือยังต้องตามหลังอยู่ช่วงหนึ่ง ยังต้องให้ความสนใจกับความปลอดภัยของชีวิตหวังผ้อเป็นพิเศษ
แต่หวังผ้อไม่มีเจตนาที่จะหลีกทางให้
เขาพับแขนเสื้อขึ้นมา เผยให้เห็นท่อนแขน และเตรียมที่จะลงมือ
ทั้งถนนได้ตกสู่ความเงียบ
ซูหลีมองหวังผ้ออย่างสงบนิ่ง
จูลั่วมองหวังผ้ออย่างสงบนิ่ง
หวังผ้อราวกับไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เขาเริ่มใช้แขนเสื้อเช็ดดาบเหล็ก สีหน้าเรียบเฉยรวมสมาธิ การเคลื่อนไหวช่างเชื่องช้าตั้งใจ
อยู่ๆ จูลั่วก็ยิ้มขึ้นมา เพราะว่าในที่สุดเขาก็โมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว
จากรอยยิ้มของเขาไม่รู้สึกถึงความโกรธ แต่เมืองสวินหยางรู้สึกได้ชัดเจนอย่างมาก
เมฆดำบนฟ้ากดต่ำลงมายิ่งกว่าเดิม สายฝนก็เปลี่ยนเป็นโหมกระหน่ำในพริบตา
นี่ก็คืออานุภาพของเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเป็นอานุภาพแห่งสวรรค์
หลังจากนั้นเขาก็เก็บรอยยิ้ม พลางมองไปที่ใบหน้าของหวังผ้อที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรแล้วพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“เจ้า เตรียมจะลงมือกับข้าหรือ”