คำพูดประโยคนี้ของจูลั่วดูเหมือนว่าจะธรรมดา ที่จริงแล้วกลับแข็งกร้าวและวางอำนาจอย่างมาก ทุกคนล้วนชัดเจนดีว่าที่จริงแล้วประโยคนี้ควรจะเป็น เจ้าถึงกับกล้าลงมือกับข้าเชียวหรือ
เท้าทั้งสองข้างของหวังผ้อไม่ได้ขยับ แขนเสื้อได้พับขึ้นมา และเริ่มเช็ดไปที่ดาบเหล็ก นี่เป็นเพียงการเตรียมตัวสู้ ยังไม่ได้ลงมือ แต่ก็ทำให้จูลั่วโมโหอย่างถึงที่สุดแล้ว เพราะว่าเป็นระยะเวลาหลายปีมาแล้วที่ไม่มีคนกล้าลงมือกับเขา
แปดมรสุมมีความใกล้เคียงกับทวยเทพ การกระทำใดๆ ที่มุ่งหมายจะโจมตีทวยเทพล้วนเป็นการยั่วยุ สบประมาท และหาที่ตาย ต่อให้เป็นเพียงแค่ท่าทีก็ล้วนไม่อาจที่จะรับได้ ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นหวังผ้อแห่งเทียนเหลียง
ผู้คนบนถนนท่ามกลางสายฝนต่างล้วนพากันตกตะลึง และไม่เข้าใจว่าทำไมหวังผ้อถึงได้ทำเช่นนี้ เขาไม่มีทางมีโอกาสอะไรเลย
ระดับของจูลั่วได้ก้าวข้ามทางโลกไปตั้งแต่แรก และเข้าไปในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว
หากไม่นับคู่สามีภรรยาจักรพรรดิขาว ในโลกมนุษย์มีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่สิบสองคน เขาก็คือหนึ่งในนั้น
หวังผ้อเป็นอันดับหนึ่งของประกาศเซียวเหยา เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคกลางที่ไม่อาจโต้เถียงได้ ในตอนแรกในยามที่เขาอายุสี่สิบก็ได้เข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวจนสะเทือนเลื่อนลั่นทั่วใต้เหล้า แต่ระยะห่างกับขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เป็นราวกับระหว่างทะเลดวงดาวกับหลุมโคลนเลน
คนมากมายเชื่อว่าอนาคตข้างหน้าหวังผ้อจะสามารถเข้าเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ และกลายมาเป็นแปดมรสุมยุคใหม่ ขนาดที่ว่าสามารถมีผลสำเร็จที่สูงยิ่งกว่า แต่ว่านั่นก็เป็นเรื่องในอีกนับสิบจนถึงนับร้อยปีให้หลัง
หวังผ้อในตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าจูลั่ว ก็เป็นเพียงแค่ชนรุ่นหลังที่ทำได้เพียงก้มศีรษะรับการสั่งสอนเท่านั้น
ทว่า เขากลับต้องการจะลงมือกับจูลั่ว
“ผู้เยาว์ไม่กล้า”
หวังผ้อเงยหน้าขึ้นมา และมองจูลั่วอย่างสงบจนถึงขั้นพูดน้อยไปบ้าง
คิ้วของจูลั่วคลายออก บรรยากาศบนถนนกลางสายฝนได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง
หวังผ้อยกดาบขึ้นมา แหวกม่านฝนชี้ไปที่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าลู่ที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ผู้นี้ แล้วพูดขึ้น “เชิญผู้อาวุโสลงมือก่อน”
บนถนนพลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทั้งแถบ แม้แต่เสียงฝนที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังไม่อาจกลบเสียงตกตะลึงและเสียงวิพากษ์พิจารณ์ของผู้คนไปได้
คิ้วของจูลั่วเลิกสูงขึ้นอย่างแรง กลิ่นอายไอพลังปราณอันน่าเกรงขามล้นทะลักออกมา สะเทือนให้สายฝนกระจายออกไป
หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเสียงหัวเราะที่เย็นชาและแผ่วเบา สะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งเมืองสวินหยาง
“น่าเสียดายแล้ว”
จูลั่วพูดขึ้นอย่างเฉยเมย แสดงให้เห็นความเสียดายอยู่บ้าง เพราะว่ากลุ่มคนที่มีโอกาสเข้าไปสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในโลกมนุษย์ หลังจากวันนี้แล้วก็จะมีคนหนึ่งที่ตายไป และไม่มีโอกาสใดอีก
“น่าเสียดาย” ซูหลีกล่าวอย่างปลงอนิจจัง
เขาไม่อยากให้หวังผ้อตาย เพื่อเรื่องนี้จึงทำอะไรบางอย่างไป แต่หวังผ้อกลับไม่รับ เพราะว่าเส้นทางดาบของหวังผ้อกับเส้นทางกระบี่ของเขาไม่เหมือนกัน เทียบกับเส้นทางดาบของโจวตู๋ฟูในสมัยนั้นก็ไม่เหมือน ดาบของเขามีเพียงแค่คำว่าตรงเท่านั้น
ในตอนที่หวังผ้อพับแขนเสื้อมาเช็ดดาบ อยู่ๆ ซูหลีก็รู้สึกว่า ในอนาคตดาบของเจ้านี่อาจจะพัฒนาต่างไปจากตนกับโจวตู๋ฟู แต่บางทีอาจจะยิ่งส่องประกายและน่าสนใจกว่า
ดังนั้นเขาถึงรู้สึกเสียดาย
ที่โลกใบนี้จะไม่มีโอกาสได้เห็นดาบในอนาคตนั่นของหวังผ้อ คิดว่าโลกใบนี้เองก็จะต้องรู้สึกเสียใจเหมือนกัน
เหลียงหวังซุนมองหวังผ้อที่อยู่กลางสายฝน อะไรก็ไม่ได้พูด ในใจมีความซับซ้อน เพื่อที่จะทำให้บางเรื่องเรียบร้อย ทำให้ประสบการณ์ชีวิตของตนสมบูรณ์ การสละชีวิตเพื่อสิ่งนี้ การเข้าสู้กับสิ่งที่ไม่อาจจะสู้ได้ สำหรับเขาที่เป็นอัจฉริยะแล้ว ก็ไม่ได้ยากที่จะเข้าใจหรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ ดังนั้นต่อให้เขาต้องแลกด้วยชีวิตก็อยากจะฆ่าซูหลีให้ตาย เพียงเพราะในโลกแห่งจิตวิญญาณของเขานั้นมีมหาสมุทรโลหิตที่คาวคุ้งอยู่ ส่วนหวังผ้อนั้นทำไปเพื่ออะไรกัน หรือว่าจะอาศัยเพียงแค่ความเชื่อในใจเท่านั้นจริงๆ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อยู่ๆ เขาก็เกิดความนับถือขึ้นมาอย่างมาก ในใจก็คิดว่ามิน่าเล่าตลอดสามสิบปีมานี้ ตั้งแต่เริ่มจนจบตนถึงไม่อาจไล่ตามคนผู้นี้ได้ทัน มิน่าสามสิบปีมานี้ เซียวจางจะบำเพ็ญเพียรอีกอย่างไรก็ไม่อาจเทียบคนผู้นี้ได้ มิน่าสามสิบปีมานี้ สวินเหมยจึงทำได้เพียงแค่ขังตัวเองไว้ในสุสานเทียนซู จนกระทั่งก่อนตายถึงได้อาศัยการก้าวข้ามความเป็นความตายเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนผู้นี้
คนที่มองหวังผ้อเช่นนี้ยังมีเฉินฉางเซิงอีก เขาไม่ได้พูด และก็ไม่ได้คิดมากนัก เพียงแค่เกิดความชื่นชมอย่างไร้ขอบเขตขึ้นในจิตใต้สำนึก เขารู้สึกว่าหวังผ้อเท่มาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร…ที่มักจะทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดอยู่บ้าง
หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจแล้ว หวังผ้อนั้นเหมือนกับหลายคนที่อยู่ข้างกายเขามาก…ไม่สิ ควรจะพูดว่าคนมากมายที่เขารู้จักล้วนคล้ายกับหวังผ้อ ในบางด้าน ยกตัวอย่างเช่นเจ๋อซิ่ว ถังซานสือลิ่ว โก่วหานสือ…และตัวเขา
จุดที่เหมือนกันพวกนั้น มักจะเป็นจุดที่ส่องประกายที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ยึดมั่น อ่อนโยน แน่วแน่ เด็ดเดี่ยว หยิ่งยโส และนิ่งเงียบ เฉินฉางเซิงมองเห็นทุกสิ่งที่เขากับเหล่ามิตรสหายมีจากบนร่างของหวังผ้อ ร่างที่สวมชุดเก่า แต่กลับมีประกายแสงนับไม่ถ้วน บนร่างของหวังผ้อเข้ายังมองเห็นความงดงามของแม่นางชูเจี้ยนกระทั่งยังเห็นไปถึงหนานเค่อ
รู้อยู่แก่ใจว่าสู้ไม่ได้ ข้าก็ยังจะสู้ สู้ให้เจ้าตาย คนเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ นอกจากศิษย์พี่อวี๋เหริน เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเส้นทางการบำเพ็ญเพียรของตนมีต้นแบบที่น่าเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาอีกคน
ดังนั้น เขาจึงเริ่มเรียนรู้
เขาพับแขนเสื้อขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็ล้วงเอากระบี่สั้นมังกรครวญออกมาจากฝัก
ในเวลานี้เอง หวังผ้อได้เสียบด้ามดาบลงไปที่ฝัก เกิดเป็นเสียงดังขึ้น ดาบและฝักได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เปลี่ยนมาเป็นดาบขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ใช้มือทั้งสองข้างจับอยู่ที่ด้ามดาบแน่น และมองตรงไปที่จูลั่วที่อยู่เบื้องหน้า
ในใจของเฉินฉางเซิงคิดว่าช่างบังเอิญเสียจริง และนำด้ามกระบี่เสียบเข้าไปที่ฝัก ดังนั้นกระบี่สั้นจึงกลายมาเป็นกระบี่ที่มีด้ามยาวอย่างมาก และใช้มือทั้งสองข้างจับด้ามกระบี่เอาไว้แน่นเช่นกัน พลางจ้องไปที่จูลั่วที่อยู่ตรงหัวถนนนั่น
ก็เป็นเช่นนี้ พวกเขามีระยะห่างกันราวสิบจั้ง ทั้งหน้าทั้งหลังล้วนยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน
ซูหลีนั่งอยู่บนหลังม้า หยาดฝนไหลผ่านใบหน้าของเขาที่ค่อนข้างจะซีดขาวอยู่บ้าง สายตากลับยิ่งส่องประกายขึ้นเรื่อยๆ
จูลั่วเดินเข้ามา สายฝนไม่ได้ตกหนักขึ้น แต่สายลมกลับเย็นยะเยือกขึ้นมา แสงสว่างมืดมิดหาใดเปรียบ มีคนเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็เห็นเพียงสีของเมฆดำที่อยู่บนท้องฟ้ามืดลงมากนัก
ผู้ร่ำสุราโดดเดี่ยวไร้คู่ใต้แสงจันทร์ เส้นทางของเขาคือตัดอารมณ์ความรู้สึก โดดเดี่ยวเป็นเอก
ตามฝีเท้าที่ยกขึ้นและย่ำลง ใบไม้ร่วงที่อยู่กลางสายฝนพลันสั่นไหวขึ้นมา หยาดน้ำที่ถูกสายลมหนาวเหน็บพัดราวกับร่ายรำไป ตามมาด้วยเหล่าใบไม้เปียกลอยละล่องเริงระบำ ความรู้สึกอ้างว้างปกคลุมไปทั่วถนนสายยาว
บรรดาฝูงชนต่างส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดขึ้นนับไม่ถ้วน เหล่าใบไม้เปียกที่ถูกเสริมด้วยเจตจำนงเป็นราวกับลูกธนู พุ่งเข้าทำร้ายผู้บำเพ็ญเพียรจนบาดเจ็บไปหลายคน ผู้คนเหล่านี้ถึงได้สติขึ้นมา และเข้าใจว่าการต่อสู้ต่อจากนี้จะน่ากลัวมากมายขนาดไหน จึงพากันหลบหลีกไปยังบริเวณที่ไกลออกไปจากถนน เพียงแค่พริบตาเดียว บนถนนสายยาวก็ยิ่งเงียบสงบและว่างเปล่าเข้าไปใหญ่
คำว่าว่างเปล่านี้ก็ไม่จริงเสียที่เดียว เพราะว่ายังมีฝนตกหนักอยู่
ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก มีมรสุมที่ดินแดนต้าลู่ไม่อาจต้านทานได้กำลังเดินเยื้องย่างเข้ามา
หวังผ้อกำลังยกดาบขึ้น เฉินฉางเซิงกำลังจูงม้า ซูหลีนั่งอยู่บนหลังม้าเผชิญหน้ากับลมฝน
ที่ยืนอยู่หน้าสุดก็คือหวังผ้อ
เสียงขวับดังขึ้นแผ่วเบา ดาบเหล็กปะทะเข้าไปสายฝน ตั้งขวางเอาไว้ที่ด้านหน้า
หวังผ้อไม่ได้ลงมือ เพราะว่าเขาเป็นคนรุ่นหลัง จูลั่วเป็นผู้อาวุโส
แน่นอนว่าจูลั่วก็ไม่มีทางเอาเปรียบเขา ยกมือขึ้นมาโบกเบาๆ ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก ก็เท่ากับเป็นการลงมือแล้ว
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ดังอยู่ที่ตรงหน้าหวังผ้อ สายลมพัดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง หยาดฝนโปรยปราย ราวกับที่นั่นมีน้ำตกไหลอยู่
ใบไม้ร่วงที่เปียกโชก ยังคงร่ายรำอยู่ท่ามกลางสายฝน
จูลั่วค่อยๆ เดินเข้ามา เสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ก็กำลังร่ายรำอยู่กลางสายฝน
ใบหน้าของหวังผ้อซีดขาวขึ้นหลายส่วน
เขตแดนแห่งดาบของเขารับความกดดันจากพลังที่ไม่อาจจะจินตนาการได้ ที่ว่างด้านหน้าเขา สายฝนยุ่งเหยิง ร่องรอยนับร้อยสายได้ปรากฏขึ้นไม่หยุด หลังจากนั้นก็หายไป ร่องรอยพวกนั้นก็คือการปะทะกันระหว่างไอพลังปราณของจูลั่วกับเขตแดนแห่งดาบของเขา
จูลั่วไม่ได้ตั้งใจจะเพิ่มไอพลังปราณ เพียงแค่เยื้องย่างเข้ามาเช่นนี้ เขาก็ราวกับเป็นกองทัพใหญ่แล้ว
ระหว่างเขากับจูลั่ว ระยะห่างของระดับความแข็งแกร่งเผยให้เห็นอย่างชัดเจนเกินไป
พลังปราณจากเจตจำนงกระบี่ของจูลั่วยังไม่ได้ปล่อยออกมาทั้งหมดก็ทำให้ถนนทั้งสายว่างเปล่าไปแล้ว แม้แต่กำแพงทั้งสองด้านของถนนทั้งสายต่างล้วนถูกใบไม้เปียกที่ร่ายรำกลางสายฝนกรีดผ่านเป็นรอยลึกจำนวนนับไม่ถ้วน
มือของหวังผ้อที่จับด้ามดาบกำลังสั่นเทา ข้อนิ้วเริ่มที่จะซีดขาว
สายฝนที่ตกหนักได้ทำให้เขาเปียกไปทั่วร่าง หยาดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนที่โปรยปรายลงมา ไม่รู้ว่าในนั้นมีหยาดเหงื่ออยู่มากน้อยเท่าไหร่
การพบกันในวันหนึ่งนี้ ทำให้รู้ว่าสายลมฤดูใบไม้ร่วงไม่อาจพัดพาหยาดน้ำค้างได้ เขาไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของจูลั่วได้ แต่เขายังคงไม่มีเจตนาจะหันกายจากไป เขาไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ดาบเหล็กยังคงขวางอยู่เบื้องหน้า ราวกับเขื่อนราวกับขุนเขา
ต่อให้สายฝนจะเทกระหน่ำเพียงใด เขื่อนนั้นก็ยังคงไม่ทลาย ขุนเขานั่นยังคงอยู่ที่ตรงหน้า ไม่มีอะไรเทียบเคียง
มองดูดาบเล่มนั้นที่ถูกสายฝนชำระล้างจนแผ่ความหนาวเหน็บออกมา รู้สึกได้ว่าในดาบนี้นั้นแผ่พลังที่เหนือกว่าที่คาดหมายและความไม่ยอมศิโรราบออกมา จูลั่วเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง แต่เซวียเหอที่อยู่ไกลออกไปกลับตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ดาบของหวังผ้อถึงกับแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ทุกคนคิดเอาไว้
ดาบของเขาถึงกับสามารถรับแรงกดดันจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้
เขาทำได้อย่างไร
เซวียเหอใช้ดาบ ในตอนนี้ได้เห็นชายร่างสูงผอมผู้นั้นอยู่บนถนนกลางสายฝน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าคำพูดประโยคนั้นที่ซูหลีพูดกับตนมีความหมายว่าอย่างไร
หวังผ้อใช้เพียงแค่ดาบเดียว
ใช้เพียงแค่ดาบเดียว มีเพียงวิถีดาบเพียงอย่างเดียว เช่นนี้แล้วถึงจะบริสุทธิ์พอ ถึงจะแข็งแกร่งพอ!
ก่อนหน้าหวังผ้อ ผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านเพลงดาบในดินแดนต้าลู่นี้ คือโจวตู๋ฟู โจวตู๋ฟูเองก็ฝึกวิถีดาบเพียงสายเดียว นั่นคือเส้นทางแห่งการฆ่าสังหาร เขาใช้ความเป็นความตายสยบความเป็นตาย หวังผ้อไม่สามารถเรียนดาบของโจวตู๋ฟูได้ ดังนั้นเขาจึงเดินอยู่บนเส้นทางของตนเอง
เขาเดินอยู่บนทางเส้นตรง
วิถีดาบของหวังผ้อ อธิบายด้วยคำว่าตรงเพียงคำเดียว คำว่าตรงนี้ ก็คือตรงจากโดยตรง เขาเดินทางตรง ตัวอักษรที่เขียนตอนทำบัญชีก็ตรงอย่างมาก การนับจำนวนก็ไม่มีทางคำนวณผิด
เขามองหรือทำเรื่องอะไร ปกติก็อาศัยความชอบของตนกำหนด ดูเหมือนว่าลักษณะนิสัยก็จะตรงไปตรงมาด้วย ดังนั้นต่อให้ตัวเขาลำบากยากจะเอ่ย แต่ว่าดาบของเขาที่ออกจากฝักจะต้องแหลมคมหนาวเหน็บ ตรงราวกับหน้าผาที่อยู่ระหว่างเขา
ต่อให้ฝนตกหนักมากกว่านี้ แล้วจะไปทำลายหน้าผาภายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
จูลั่วลงมือแล้ว
ต่อจากนี้ ก็ควรที่จะถึงคราวที่หวังผ้อลงมือแล้ว
เขาลงมือแน่นอนว่าคือการใช้ดาบ
เขาลงมือก็คือดาบเดียว
เขาจับฝักดาบที่เปลี่ยนมาเป็นด้ามดาบยาว หนึ่งดาบแหวกผ่านลมฝนอันรุนแรง ฟันตรงไปที่จูลั่ว
ไร้ซึ่งความลังเล แน่นอนว่านี่เป็นดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตของหวังผ้อ เพราะแน่นอนว่าจูลั่วคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบมาในชีวิต หากไม่ใช่เพราะซูหลี พูดกันตามเหตุผลแล้ว ก่อนที่จะเหยียบเข้าไปในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต่อสู้กับจูลั่ว และอยู่บนพื้นฐานเรื่องประโยชน์ของมวลมนุษย์ จูลั่วเองก็ไม่ควรที่จะลงมือกับเขา
พูดอีกอย่างคือ การต่อสู้ครั้งนี้ได้เลื่อนมาเร็วขึ้นนับสิบปี กระทั่งถึงร้อยปี
อานุภาพของดาบมหาศาล ความแหลมคมทำลายม่านฝนทั้งปวง เข้ามาถึงด้านหน้าของจูลั่ว
จูลั่วยังคงไม่มีเจตนาที่จะใช้กระบี่ เขาลงมืออีกครั้ง
ในครั้งนี้ เขายื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้ว
ดาบของหวังผ้อหยุดอยู่ท่ามกลางสายฝน และก็ไม่อาจจะขยับขึ้นหน้าไปอีก
ระยะห่างสิบจั้ง นิ้วทั้งสองของจูลั่วกลายเป็นลมมรสุม สกัดกั้นดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิตของหวังผ้อนี้เอาไว้ ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้เหลียงหวังซุนใช้สองนิ้วสกัดกระบี่ของเฉินฉางเซิงเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น ระยะห่างของความแข็งแกร่งระหว่างเฉินฉางเซิงกับเหลียงหวังซุนนั้นห่างไกลกันเพียงใด ความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างหวังผ้อกับจูลั่วก็ห่างไกลเท่านั้น ขนาดที่ว่ายังจะห่างไกลยิ่งกว่า!
เดิมทีระหว่างมนุษย์กับทวยเทพก็ห่างไกลจนไม่อาจจะเทียบเคียงได้
มรสุมกับดาบเหล็ก ได้มาพบเจอกันบนถนนสายยาว ใบไม้เปียกปอนที่ร่วงหล่นยังคงร่ายรำอยู่
ท่ามกลางเสียงดังฉับๆ ชุดของหวังผ้อก็ปรากฏรอยแยกขึ้นมากมาย
เขตแดนแห่งดาบของเขาอย่างไรเสียก็ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะหลังจากที่ปล่อยดาบออกไป
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนต้าลู่อย่างจูลั่วนี้ ดวงตาของเขาก็คือเพลงกระบี่รอบรู้
ใบไม้ที่ร่วงหล่นหนึ่งใบ ประสานกับเหตุแห่งฟ้าดิน หลบหลีกอานุภาพดาบของหวังผ้อ ร่วงหล่นไปบนดาบเหล็ก ปราณแท้จำนวนมหาศาลที่ไม่อาจจินตนาการ อัดแน่นอยู่ในใบไม้ร่วงใบนี้ ในเวลาเดียวกันกับตอนที่ตกกระทบลงบนดาบเหล็ก ก็ราวกับมีภูเขาลูกใหญ่หล่นลงมาใส่
สีหน้าของหวังผ้อซีดขาวราวหิมะ เลือดสดๆ ทะลักออกจากมุมปาก
เขตแดนแห่งดาบของเขาถูกทำลายแล้ว
จะทำเช่นไรดี
เขาก้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าวอย่างกะทันหัน
หลังจากนั้นเขาย่อเอว งอเขา หมุนข้อมือ
เขา…เก็บดาบ
ดาบเหล็กได้แหวกสายฝนกลับมา และได้ยินเพียงเสียงเบาๆ เสียงหนึ่ง
ใบไม้ร่วงใบนั้นในพริบตาก็กลายเป็นเศษซากไป
ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำได้มีเสียงร้องด้วยความยินดีของซูหลีดังขึ้น
“ดาบดี!”