“นางพูดได้ถูกต้อง”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้มองซูจิ่นซี ขณะนั้น ดวงตาเย็นชาของเขาพลันหวนกลับสู่ความลึกซึ้งในอดีต เขามองสายหมอกที่อยู่ตรงหน้าอย่างผ่อนคลาย ท่ามกลางราตรีอันยาวนาน
แม้จะได้ยินเพียงประโยคเดียว ทว่าหัวใจซูจิ่นซีกลับสั่นไหว นางขมวดคิ้วมุ่น
เยี่ยโยวเหยาราวกับรับรู้ได้ว่าซูจิ่นซีกำลังวิตกกังวลและตื่นตระหนก จึงโอบไหล่ซูจิ่นซีแน่นขึ้นอีกนิด
“ตอนนั้น ข้าถูกพิษหมุดกร่อนรักจนอาการกำเริบหนักและหมดสติไป เมื่อกลับมาถึงตำหนักเสวียนปิง ฮูหยินปิงจีได้ตามท่านเซียนยวี่หยางแห่งสำนักกระบี่คุนหลุนมาที่ตำหนักเสวียนปิง ทว่าขณะที่ปลดผนึกหมุดกร่อนรัก ไม่คาดคิดเลยว่าพลังเทพยวี่หยางของท่านเซียนยวี่หยางกลับช่วยทะลวงจุดพลังเทพจิ่วเซียวขั้นที่ห้าให้แก่ข้า”
“ดังนั้น ท่านจึงทะลวงผ่านพลังเทพจิ่วเซียวขั้นที่ห้า ไม่เพียงกำจัดพันธะพิษหมุดกร่อนรักในร่างออกไปได้อย่างสมบูรณ์ ทว่ายังเพิ่มระดับพลังภายในได้อีกใช่หรือไม่? ”
“อืม! ”
ซูจิ่นซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้น นางก็ไม่รู้ว่าควรพูดอันใดดี
นางแหงนหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าอย่างเงียบงัน หัวใจเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
โชคดีที่ในร่างของเยี่ยโยวเหยามีพลังเทพจิ่วเซียว โชคดีที่ท่านเซียนยวี่หยางและฮูหยินปิงจีกำจัดหนามของสัตว์เทพมังกรเก้าเศียรและหนามเหมันต์หมื่นปีแห่งเขาคุนหลุนในร่างของเยี่ยโยวเหยา ทั้งยังเพิ่มพลังเทพจิ่วเซียวในร่างของเขา ยกระดับพลังภายในให้แก่เขาโดยบังเอิญ
ไม่เช่นนั้น ซูจิ่นซีไม่อาจคาดเดาว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
ค่ำคืนที่ยาวนานผ่านพ้นไป ทว่าทั้งสองยังคงไม่พูดอันใด
ดูเหมือนต่างฝ่ายจะเข้าใจความคิดของกันและกัน พวกเขาเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ดอกไม้ที่งดงาม บรรยากาศเงียบสงบ และฟ้าหลังฝน
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีราวกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้ นางวางนิ้วมือที่จุดชีพจรบนข้อมือของเยี่ยโยวเหยา
หลังจากสัมผัสชีพจรครู่หนึ่ง ในร่างของเยี่ยโยวเหยาไม่มีความผิดปกติจริงๆ ชีพจรเป็นปกติ และไม่ติดขัดเหมือนตอนที่ยังมีหมุดกร่อนรักอยู่ในร่างกาย ซูจิ่นซีจึงวางใจ นางเลื่อนมือไปที่ด้านหลังของเยี่ยโยวเหยา และโอบกอดเขาอีกครั้ง
“เยี่ยโยวเหยา ดูเหมือนโลหิตพิษที่ไหลเวียนในร่างกายของท่าน ไม่กำเริบมานานแล้ว”
เยี่ยโยวเหยาครุ่นคิด ดูเหมือนอาการกำเริบไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้วจริงๆ เขาจึงพยักหน้า
“สักพักหนึ่งแล้ว บางทีอาจเป็นผลจากการที่เจ้ามอบโลหิตให้ข้าก่อนหน้านี้”
“อืม” ซูจิ่นซีพยักหน้า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อนับตามเวลา คงกำจัดพิษไปหมดสิ้นแล้ว ในอนาคตคงไม่เกิดขึ้นอีก”
“อืม! ”
ซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ทันใดนั้น นางก็เงยหน้ามองดวงตาของเยี่ยโยวเหยา และพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอปรึกษาบางเรื่องกับท่าน! ”
“พูด! ”
“ท่านดื่มเลือดของหม่อมฉันไปตั้งมากมาย เช่นนั้น… เงินห้าล้านสองแสนนั้น ลดลงหน่อยได้หรือไม่! ”
ซูจิ่นซีเพิ่งพูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็ขมวดคิ้วแน่น แววตาของเขาเผยให้เห็นความอันตราย
ซูจิ่นซีเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงรีบหันหลังวิ่งหนีไปทันที
สัตว์ร้ายก็คือสัตว์ร้าย ไม่ยอมก็ไม่ยอมสิ เหตุใดต้องเผยธรรมชาติของสัตว์ร้ายออกมาด้วย?
จริงๆ เลย… แต่งงานกับสามีที่ไม่ยุติธรรม!
ซูจิ่นซียังไม่ทันได้หนีไปที่ใด เยี่ยโยวเหยาก็คว้าข้อเท้าของนางและดึงเบาๆ รั้งตัวซูจิ่นซีกลับมาในอ้อมแขนของตนได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นท่าทีกระสับกระส่าย ใบหน้าที่ตื่นตระหนกและหวาดระแวงในอ้อมแขนของตน เยี่ยโยวเหยาจึงขมวดคิ้วและใช้นิ้วมือบีบคางของซูจิ่นซีแผ่วเบา
“ซูจิ่นซี เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก บัญชีนี้ เจ้ายังกล้าต่อรองกับข้าอีก”
ซูจิ่นซีหัวเราะ ‘แหะ แหะ’ พลางโบกมือด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “ไม่กล้าแล้วเพคะ! ไม่กล้า ไม่กล้า ไม่กล้าเด็ดขาดเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยายังคงจับคางซูจิ่นซีไม่ปล่อย แววตาเผยให้เห็นความสงสาร
“แผ่นดินกว้างใหญ่ มีเพียงเจ้าผู้เดียวที่ข้าให้ความเสน่หา และมีเพียงเจ้าผู้เดียวเช่นกัน ที่ไม่เข้าใจความเมตตาของข้า”
ใบหน้าคับข้องใจของซูจิ่นซีพลันสว่างสดใส ทั้งยังเปล่งประกาย
นางมองแก้มของเยี่ยโยวเหยาอย่างชื่นชม
เยี่ยโยวเหยา เมื่อครู่คือคำบอกรักใช่หรือไม่?
ราวกับบทกวีที่คล้องจองกัน คิดได้อย่างไร?
ทั้งสองสนทนากันอีกสักพัก เยี่ยโยวเหยาดื่มสุราไปครึ่งไห ตราบใดที่ซูจิ่นซีพูดจาไม่เข้าหู เขาก็จะกลายเป็นสัตว์ร้าย ซูจิ่นซีไม่อาจต้านทานได้เลย นางจึงพยายามใช้ถ้อยคำที่สละสลวยและระมัดระวังคำพูด ทว่าทุกครั้งที่เยี่ยโยวเหยาพยายามทำให้ซูจิ่นซีตกใจ เมื่อมองดวงตาของซูจิ่นซี เขาก็มักจะเกิดความสงสารและไม่ทำอันใดนาง
คู่รักทั้งสองอยู่ด้วยกันยามพลบค่ำ เป็นเวลากว่าสองชั่วยามแล้วที่ซูจิ่นซีตื่นขึ้นและแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน เยี่ยโยวเหยาอยากให้ซูจิ่นซีได้บรรเทาความเหนื่อยล้า แต่ก็เกรงว่าหากนางแช่ตัวอยู่ในน้ำพุร้อนนานเกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ จึงขึ้นมาจากน้ำ และหมุนหินที่มีรูปร่างเหมือนลูกเต๋าทางทิศตะวันออกของน้ำพุร้อนสองครั้ง ภูเขาหินจำลองด้านหลังน้ำพุร้อนพลันเกิดเสียงเคลื่อนตัวของกำแพงหิน
ผ่านไปไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ราวกับมีใครบางคนกำลังเดินใกล้เข้ามา
ตามมาด้วยเสียงทักทายของพวกเขา
“พระชายา! ”
“ปรนนิบัติพระชายากลับไป! ”
“เพคะ! ”
ซูจิ่นซีเกรงว่า หากมีคนเข้ามาแล้วจะทำให้อึดอัด นางจึงหดร่างอยู่ใต้น้ำ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้น และไม่มองว่าผู้ที่เดินเข้ามาคือใคร
ครู่หนึ่ง เมื่อเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหู
“คุณหนู! ”
ซูจิ่นซีรีบหันศีรษะกลับไปอย่างรวดเร็ว นางเห็นผู้ที่นั่งอยู่บนฝั่งคือลวี่หลี จึงพูดอย่างประหลาดใจ “ลวี่หลี เป็นเจ้าได้อย่างไร? เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่? ”
“ท่านอ๋องไปรับบ่าวและแม่นมฮวามาเจ้าค่ะ! ”
“เยี่ยโยวเหยา? แม่นมฮวาก็มาด้วยหรือ? ”
“เจ้าค่ะ! ” ใบหน้าของลวี่หลีจริงจัง “ครึ่งเดือนก่อน ท่านอ๋องไปรับบ่าวและแม่นมฮวามา ท่านอ๋องยังพูดอีกว่า พวกบ่าวมาที่แคว้นหนานหลีในครั้งนี้ เพื่อมารับท่านโดยเฉพาะ” ลวี่หลีพูดพลางโน้มศีรษะเข้าไปใกล้ใบหูของซูจิ่นซีอีกเล็กน้อย “คุณหนู ท่านอ๋องเก่งกาจยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะซื้อคฤหาสน์ในแคว้นหนานหลีได้ใหญ่โตถึงเพียงนี้ เกือบครองอาณาเขตไปกว่าครึ่งเมืองเลยนะเจ้าคะ! ”
คฤหาสน์? อาณาเขตมากกว่าครึ่งเมือง?
ซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ จึงไม่พูดอันใดครู่หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ลวี่หลีบอกว่าเยี่ยโยวเหยาไปรับนางและแม่นมฮวามาเมื่อครึ่งเดือนก่อน เรื่องนี้ทำให้ซูจิ่นซีประหลาดใจเล็กน้อย
เยี่ยโยวเหยาคงทราบอยู่ก่อนแล้วว่านางอยู่ที่เย่หลินแคว้นหนานหลี เขามารับนางกลับบ้านโดยเฉพาะใช่หรือไม่?
เมื่อนึกมาถึงเรื่องนี้ ซูจิ่นซีที่นอนบนเตียงซึ่งอยู่ไกลออกไป ก็มองไปยังเยี่ยโยวเหยาที่กำลังจิบสุรา
ยามนี้ เยี่ยโยวเหยาได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่มีเนื้อผ้าเรียบลื่น ทั้งยังเป็นสีดำ ซูจิ่นซีเหลือบมองอย่างเหนื่อยล้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
หลายครั้ง แม้เขาไม่พูดสิ่งใด ทว่าบุรุษผู้นี้กลับทำสิ่งต่างๆ เพื่อนางอยู่เสมอ เขารับผิดชอบแทนนางหายเรื่อง และไม่เคยทำให้นางผิดหวัง
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีจึงลุกขึ้นจากน้ำ
ร่างกายที่ถูกปกปิดไว้ภายใต้เสื้อผ้าสีอ่อนบางเบาพลันเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
รวมถึงร่องรอยงดงามเย้ายวนที่ไม่ถูกเสื้อผ้าปกคลุม หรือถูกปกคลุมไว้เพียงบางส่วน ทว่ายังคงปกปิดไม่มิด
ลวี่หลีที่อยู่ด้านข้างเหลือบมอง แก้มของนางแดงก่ำ ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง ก่อนจะรีบนำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้มาคลุมร่างของซูจิ่นซี
“คุณหนู… ท่าน… ท่านไม่อายหรือเจ้าคะ! ”
“หืม? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
ลวี่หลีรีบปิดตา พลางชี้ไปที่จุดซ่อนเร้นซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้เสื้อผ้าบางเบาของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีก้มมองตนเอง นางหรี่ตาลงและแย้มยิ้ม
“เด็กโง่ ไม่ใช่ของเจ้า เหตุใดจึงหน้าแดง? ”
จากนั้น ซูจิ่นซีก็หันหลังเดินไปทางเยี่ยโยวเหยา