ซูจิ่นซีนั่งลงข้างกายเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาเพิ่งดื่มสุราจนหมดไห จึงลุกขึ้นจับมือซูจิ่นซีเดินจากไป
ซูจิ่นซีกลับรั้งตัวไปข้างหลัง ไม่ยอมขยับเขยื้อน
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันกลับมา
ดวงตาของซูจิ่นซีงดงามราวกับดอกท้อ นางเอนกายลงบนเตียงครึ่งตัวอย่างเย้ายวน พลางยื่นมือเรียวยาวออกไปทางเยี่ยโยวเหยา และส่งเสียงสะอึกสะอื้นเอาแต่ใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ท่านอ๋อง อุ้ม อุ้มหม่อมฉันสิเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะมีด้านนี้ เขาตกตะลึงเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายด้วยไฟราคะอันแรงกล้าที่พยายามอดกลั้นไว้ ก่อนจะก้าวมาข้างหน้าและอุ้มซูจิ่นซีเดินออกไป
“อ๋า… ”
ลวี่หลีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นางมองซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง มือของนางยื่นไปหาซูจิ่นซีที่ถูกเยี่ยโยวเหยาอุ้มไป ทั้งปากยังอ้าค้างอย่างพูดไม่ออก
เมื่อครู่ นางเห็นอย่างชัดเจน ได้ยินอย่างชัดเจน สิ่งที่ทำสิ่งที่พูด กระทั่งสีหน้าของซูจิ่นซี ขณะที่นางเดินไปด้านข้างเยี่ยโยวเหยา
คุณหนู… คุณหนูไม่เขินอายบ้างหรือ? นางเปิดเผย… เปิดเผยยิ่งนัก…
เปิดเผยมากจริงๆ!
นางเป็นคุณหนูที่เกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง ทั้งตอนนี้ยังเป็นถึงพระชายา เหตุใด… นางจึงทำตัวเหมือนหญิงงามที่ยั่วยวนท่านอ๋องไปได้?
ลวี่หลีละอายใจเกินกว่าจะคิด ละอายใจเกินกว่าจะพูด
อับอาย… น่าอับอายที่สุด
แก้มและลำคอของลวี่หลีแดงก่ำราวกับกุ้งต้ม
ซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยาหันมาขยิบตาให้ลวี่หลีอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้นจึงใช้มือกอดลำคอของเยี่ยโยวเหยาให้แน่นขึ้น และพิงศีรษะไปที่หัวไหล่ของเยี่ยโยวเหยาอย่างอ่อนโยน
ลวี่หลี เด็กน้อยผู้นี้ นางจะรู้อันใด?
สิ่งใดคือความรู้สึก? สิ่งใดคือความรัก? สิ่งใดคือสามีภรรยา?
คนโบราณคิดว่า ผู้หญิงที่ดีจะต้องมีความสามารถ มีคุณธรรม รูปลักษณ์สง่างาม บุรุษที่ไล่ตามความรักเกิดจากอารมณ์ความรู้สึก ความสามัคคีในครอบครัวคือความรัก ให้เกียรติซึ่งกันและกันคือสามีภรรยา
หากสตรีมีพฤติกรรมยั่วยวน หรือไม่รักนวลสงวนตัว นางจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของบุรุษ กระทั่งสมัยซ่งของจีน ในยุคที่ลัทธิขงจื๊อเฟื่องฟู สตรีประเภทนี้จะถูกมองว่าไม่มีคุณธรรม พวกนางจะถูกขังไว้ในกรงหมูและถูกจับถ่วงน้ำ
แม้ขนมธรรมเนียมของเทียนเหอจะเปิดกว้างกว่าสมัยโบราณของจีนมาก ทว่ายังคงยึดถือประเพณีดั้งเดิม ลวี่หลีก็เป็นหนึ่งในนั้น
อย่างไรก็ตาม นางจะเข้าใจความคิดของซูจิ่นซี ซึ่งเป็นคนในยุคปัจจุบันได้อย่างไร?
เยี่ยโยวเหยาแบกรับภาระอันใหญ่หลวง ทว่าหัวใจของเขากลับยิ่งใหญ่กว่ามาก
ซูจิ่นซีไม่มีวันลืม ตอนที่นางได้รู้จักเยี่ยโยวเหยาครั้งแรก
แม้ภายนอกเขาจะดูสูงศักดิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ด้วยฐานะของโยวอ๋อง เสด็จลุงแห่งแคว้นจงหนิง และในฐานะทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน ทำให้เขาเป็นผู้ที่มีสายเลือดสูงส่ง และไร้ผู้เทียบเทียม ทว่าขณะเดียวกัน ยิ่งยืนอยู่ในจุดที่สูงเท่าไร ก็ยิ่งน่ากลัวเท่านั้น เขาเป็นผู้ที่เดียวดายที่สุดในแผ่นดินที่อ้างว้าง และเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด
นางไม่ต้องการให้ชีวิตของเยี่ยโยวเหยาเป็นเพียงสีดำมืดมิดที่ไม่อาจมองเห็น ไม่ต้องการให้เขามีเพียงความเฉยเมยและความเย็นชาจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว ไม่ต้องการให้เขาถูกผูกมัดด้วยศักดิ์ศรีและภาระที่หนักอึ้ง ซึ่งกดดันจนทำให้ชีวิตของเขาเต็มไปความอ้างว้างและความเย็นชา
นางต้องการให้ชีวิตของเขามีสีสันขึ้นมาบ้าง ให้เขารู้จักการร้องไห้ รู้จักการหัวเราะ รู้จักทะเลาะเบาะแว้งกับนาง ให้เขาได้รู้จักความสวยงามของโลกใบนี้ มากกว่าความร่ำรวยและอำนาจที่ไม่อาจละทิ้งได้
นางไม่เพียงต้องการให้ชีวิตของเขามีแสงสว่างส่องถึง ทว่าต้องการแต่งแต้มสีสันที่สวยงามให้เขามากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน นางยังต้องการเดินเคียงข้างเขา เป็นดอกทานตะวันที่อยู่ข้างกายเขา
เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีออกจากน้ำพุร้อน เมื่อมองดูสถานที่โดยรอบ ซูจิ่นซีก็ต้องตกใจ หลังจากสอบถามเยี่ยโยวเหยา นางจึงรู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นดั่งที่ลวี่หลีพูด เขาซื้อคฤหาสน์แห่งนี้ไว้จริงๆ
ดอกท้อที่บานสะพรั่งเมื่อครู่นี้ และน้ำพุร้อนที่แผดเผาอย่างมีเสน่ห์ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคฤหาสน์แห่งนี้เท่านั้น เช่นเดียวกับทุ่งหญ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ที่พวกเขาเคยมีอารมณ์รักลึกซึ้งด้วยกันมาก่อน
เนื่องจากคฤหาสน์แห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งหาได้ยาก ทั้งคฤหาสน์นี้ยังมีพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของภูเขา
ไม่น่าแปลกที่ลวี่หลีจะพูดว่าคฤหาสน์นี้มีขนาดใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของเมือง
หลังจากได้ฟังเยี่ยโยวเหยาอธิบาย ซูจิ่นซีก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เฮ้อ ไม่ว่ายุคสมัยใด คนร่ำรวยก็มักเอาแต่ใจ
ครู่หนึ่ง นางจึงถามเยี่ยโยวเหยาด้วยคำถามที่เก็บซ่อนไว้ในใจมาตลอด
“เยี่ยโยวเหยา ท่านมีเงินเท่าไรกันแน่! ”
หากซูจิ่นซีจำไม่ผิด นอกจากที่แห่งนี้ ยังมีสวนจื่อตี้เหมยในเมืองเหยาเฉิง เฉพาะคฤหาสน์ที่เป็นชื่อของเยี่ยโยวเหยา เท่าที่นางรู้จักก็มีสี่แห่ง โชคดีที่คฤหาสน์ทั้งสี่แห่งนั้น นางได้ไปเยี่ยมเยือนมาแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าแผ่นดินเทียนเหอนี้ มีคฤหาสน์อีกกี่แห่งที่นางยังไม่ได้ไปเยือน
นอกจากนั้นยังมีกิจการอื่นๆ อีก
เยี่ยโยวเหยาก้มหน้ามองซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยท่าทางจริงจัง ทว่าไม่ตอบอันใด
ซูจิ่นซีกระตุกมุมปาก นางคุ้นชินกับนิสัยเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยาดี จึงไม่ได้สนใจเขา
“ในเมื่อท่านไม่พูด เช่นนั้นให้ข้าทาย ท่านคงร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของแคว้น บรรพบุรุษของต้าฉินคงทิ้งสมบัติอันมั่งคั่งไว้มากมาย และสมบัติเหล่านั้นยังสามารถซื้อแคว้นจงหนิงได้อย่างไม่มีปัญหากระมัง? ”
ในละครโทรทัศน์ ลูกหลานรุ่นที่สองจากตระกูลร่ำรวยล้วนเป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยายังไม่พูดอันใด ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง ทันใดนั้น เขาก็พูดออกมาหนึ่งประโยค
“ซูจิ่นซี เจ้าอย่าประเมินข้าต่ำเกินไป! ”
ประเมินต่ำ?
ซูจิ่นซีเลิกคิ้วเล็กน้อย ร่ำรวยระดับแคว้นยังประเมินต่ำไปอีกหรือ?
บุรุษผู้นี้มีเงินเท่าไรกันแน่?
นางร่วมหลับนอนกับเขาแล้ว เป็นภรรยาของเขาแล้ว ทว่านางยังไม่รู้ว่าสามีของตนมีสมบัติมากน้อยเพียงใด เช่นนี้จะพูดกับผู้อื่นได้อย่างไรว่าบัตรเงินเดือน บัตรต่างประเทศ บัตรสวัสดิการอื่นๆ เขาให้ภรรยาเป็นผู้ดูแล?
นี่มันเสียเปรียบมากเกินไปแล้ว
เยี่ยโยวเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเห็นปากที่บึ้งตึงของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็ขมวดคิ้วราวกับเข้าใจความรู้สึกและความคิดภายในใจของนาง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“หากรู้สึกเสียเปรียบ กลับไปข้าจะสั่งให้คนนำบัตรทองมาให้เจ้าสองใบ ต่อไปเจ้าต้องการซื้อสิ่งใด ก็ตามแต่ใจของเจ้า! ”
บัตรทอง?
เมื่อเห็นซูจิ่นซีขมวดคิ้วอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยาจึงพูดเสริมว่า “ข้าตั้งใจจะนำสมบัติส่วนตัวทั้งหมดโอนเป็นชื่อของเจ้า ตอนที่เจ้าต้องการใช้สอยก็ใช้ได้ตามสบาย ทว่า อย่างไรเสียบัตรทองคงสะดวกกว่า”
ซูจิ่นซีเอนศีรษะพิงหัวไหล่ของเยี่ยโยวเหยาอย่างมีความสุข นางรู้สึกว่าอยู่กับคนร่ำรวยนี่ดีจริงๆ
ทว่ามันจะไม่ฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อยหรือ มองดูแล้ว… ดูเหมือนนางไม่ได้ทำเพราะความรัก แต่เพราะเงินของเขา มันจะทำให้เขาเข้าใจผิดหรือไม่?
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีจึงพูดอย่างสุภาพ “เอ่อ ท่านอ๋อง ไม่จำเป็น! ก่อนหน้านี้ ท่านให้บัตรทองหม่อมฉันมาสองใบแล้ว หม่อมฉันยังไม่ได้ซื้อสิ่งใดเลยเพคะ! ”
“เคยให้ไว้สองใบหรือ? ”
“ใช่ ตอนอยู่ที่แคว้นจงหนิง ท่านเคยมอบให้หม่อมฉัน ท่านลืมแล้วหรือเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ลืมไปแล้ว”
“แหะ แหะ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างภูมิใจ แต่ไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะถามต่ออีกหนึ่งประโยค
“เงินจำนวนนั้นดูไม่ได้มากมายอันใด ใช้พอหรือ? ”
ไม่ได้มากมาย?
ทว่านางจำที่พ่อบ้านเคยบอกไว้ว่า บัตรทองสองใบนั้นสามารถใช้ได้โดยไม่จำกัดวงเงิน!
“น้อย? น้อยเท่าใดหรือ? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว
เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างจริงจังด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เป็นดั่งที่ชายารักพูด เพียงพอสำหรับซื้อแคว้นจงหนิงได้เท่านั้นเอง”
มือของซูจิ่นซีที่กอดลำคอเยี่ยโยวเหยาพลันลื่นไหลลงมา หากไม่ใช่เพราะเยี่ยโยวเหยาจับเอวของนางไว้ นางคงเอวหักไปแล้ว
โอ้ สวรรค์ ที่แท้นางก็มีแคว้นจงหนิงอยู่ในมือ!
ในที่สุด นางก็เป็นเศรษฐีแล้ว!