ตอนที่ 80-1 ไม่อาจปิดบัง

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“จะว่าไปแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจำได้หรือไม่”

 

 

“อะไรหรือเพคะ”

 

 

“ตอนที่เจ้ายังเด็กมาก เขาเคยมาที่ฮวากุก”

 

 

‘เขา’ ที่มินกุงพูดถึงคือบีพาอันอย่างแน่นอน กโยซึลเมื่อได้ยินสิ่งที่มินกุงพูดก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ

 

 

“องค์ฮวางแทจาแห่งมกกุกเสด็จไปที่ฮวากุกอย่างนั้นหรือเพคะ”

 

 

“ใช่แล้ว ได้ยินว่าเขาไปเยือนหลายอาณาจักรเพราะเป็นคำสั่งจากองค์จักรพรรดิแห่งมกกุก และอาณาจักรเราก็เป็นหนึ่งในนั้น”

 

 

“อย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันไม่รู้เลย”

 

 

“เจ้ายังเด็กมากนัก คงจะจำเขาไม่ได้”

 

 

“ในตอนนั้นเขาก็เด็ดเดี่ยวเช่นกัน สุขุมอย่างไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยังอายุน้อยอยู่ และยังเชี่ยวชาญด้านการเมืองนัก”

 

 

มินกุงหลับตาลงเพียงนิด ราวกับกำลังหวนนึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก กโยซึลที่เห็นว่าพี่ชายของตนหลับตาอยู่นิ่งๆ ก็หัวเราะออกมาราวกับว่ากำลังมีความสุข เป็นใบหน้าที่คิดว่าจะไม่ได้พบกันอีกเสียแล้ว ทว่าในตอนนี้มันกลับมาอยู่ตรงหน้าตน เหมือนว่าตนได้กลับไปในตอนที่อยู่ฮวากุก ได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยม และมีความสุขในทุกวัน

 

 

“ท่านพี่ จะประทับอยู่อีกนานใช่หรือไม่”

 

 

กโยซึลถามออกไปด้วยใจที่หวังอยากจะอยู่ด้วยกันนานๆ ทว่ามินกุงกลับไม่ตอบอะไรกลับมา กโยซึลที่เริ่มกระสับกระส่ายจับมือของมินกุงไว้ พร้อมกับถามอีกครั้ง

 

 

“จะทรงประทับอยู่อีกนานใช่หรือไม่เพคะ”

 

 

“อูรึมผู้งดงามของพี่” อยู่ๆ มินกุงก็เอ่ยเรียกกโยซึลขึ้น พร้อมกับยื่นมือไปลูบหน้าของนางแทนคำตอบ “พี่ของเจ้าอยากจะอยู่เคียงข้างเจ้าและเฝ้ามองดูเจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปนานๆ เหลือเกิน แต่ด้วยหน้าที่ขององค์รัชทายาท ทำให้พี่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”

 

 

น้ำเสียงของมินกุงเต็มไปด้วยความเศร้าสลด

 

 

“ท่านพี่ยูลซอฝากมาบอกว่าคิดถึงเจ้ามาก ท่านพี่ชอม พยอง โยจิน ฮาซอก ชาง เยมยอง ทุกคนล้วนอยากมาเป็นทูตแทนพระองค์ทั้งสิ้น รู้หรือไม่ว่าพวกเราต้องแข่งขันกันมากเท่าใด เราต่างประลองกันอยู่หลายครั้ง เพื่อที่จะอาสาเป็นทูตแทนพระองค์ น้องเล็ก เยมยองเองก็ยืนกรานจะขี่ม้าที่แม้แต่จะขึ้นไปนั่งยังทำไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ขึ้นไปนั่งมันจนได้ทั้งน้ำตา”

 

 

“เยมยองขี่ม้าอย่างนั้นหรือเพคะ เด็กน้อยที่เพิ่งจะอายุได้หกปีเมื่อไม่นานนี้น่ะหรือเพคะ”

 

 

“ก็เพราะว่าเขาคิดถึงพี่สาวของเขามากอย่างไรเล่า”

 

 

กโยซึลเกือบจะหัวเราะออกมา ทว่ากลับกลายเป็นแสบที่จมูกเพราะน้ำตาที่รื้นขึ้น เพราะทุกคนสนิทสนมรักใคร่กันอย่างแน่นแฟ้น นางจึงคิดถึงเหล่าพี่น้องของตนมากนัก

 

 

“อุตส่าห์ได้มาพบเจ้าที่นี่แล้ว แต่พี่ก็มีคำมั่นที่ให้ไว้เพื่อให้เหล่าเสนาบดียอมให้พี่มาที่นี่ที่ต้องทำตาม เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น พี่สามารถอยู่ที่มกกุกได้เพียงแค่วันเดียว แล้วต้องรีบกลับฮวากุกทันที และหากกลับไปก็คงจะมีฎีกามากมายนักรออยู่ อูรึมผู้งดงามของพี่ พี่ได้เห็นหน้าของน้องเพียงแค่วันเดียวหรือนี่”

 

 

ในที่สุดกโยซึลก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ ความรู้สึกยินดีที่ได้พบกับมินกุงที่ไม่ได้พบกันมานาน ถูกกลืนกินด้วยความโศกเศร้าจากการที่สามารถอยู่ด้วยกันได้เพียงแค่วันเดียว อีกทั้งดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้เคลื่อนจากกลางท้องฟ้าไปที่เขาทางตะวันตกแล้ว ยังเป็นตัวบ่งบอกว่าความจริงที่ว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งวันแล้ว

 

 

“หากกลับไปครั้งนี้ เราจะได้พบกันอีกเมื่อใดเพคะ อีกกี่ปีถึงจะเสด็จมาเป็นทูตแทนพระองค์อีก หากเป็นตอนนั้น ท่านพี่คงจะเสด็จมาลำบาก เช่นนั้นหมายความว่าหม่อมฉันจะไม่ได้พบท่านพี่มินกุงอีกอย่างนั้นหรือเพคะ หากทรงขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เราคงไม่มีทางได้พบกันอีก”

 

 

ถึงแม้มินกุงจะเป็นพี่ชายต่างมารดา ทว่ากโยซึลนั้นสนิทสนมกับมินกุงยิ่งกว่าพี่น้องคนไหน หากมินกุงไม่สามารถมาได้ แน่นอนว่าพี่น้องคนอื่นจะต้องมาแทนแน่ การได้พบเจอคนอื่นๆ ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่าการไม่ได้เจอมินกุงอีกนั้นเป็นเรื่องน่าเศร้าเกินใจยิ่งกว่า

 

 

กโยซึลพยายามกลั้นน้ำตาไว้ แต่ยิ่งกลั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา ใบหน้าอ่อนโยนของมินกุงเปลี่ยนเป็นเห็นใจและโศกเศร้า เขาเดินมายืนข้างกโยซึล แล้วรวบตัวนางเข้ามากอดไว้ ตัวของกโยซึลเล็กจนสามารถเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมินกุงได้ทั้งหมด

 

 

แล้วจะให้จากนางที่ตัวเพียงเท่านี้ไปได้อย่างไร

 

 

แต่มินกุงก็ไม่อาจฝืนคำสัญญาที่ให้ไว้กับราชาจองได้ เหล่าเสนาบดีได้คำนวณเวลาไปกลับระหว่างมกกุกและฮวากุกไว้แล้ว แม้ตนจะอยู่ต่อ และรีบเร่งเดินทางกลับไปเพียงใด ก็คงจะไม่ทันวันที่นัดหมายกันไว้ แม้จะยืดเวลาก็คงจะทำได้เพียงแค่ออกเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้เพียงเท่านั้น กระนั้นแล้วก็คงจะไปถึงอย่างจวนเจียน แม้มินกุงจะไม่ค่อยชอบใจเหล่าเสนาบดีเท่าไร แต่ราชาจองเองก็มิได้พอใจนักที่องค์รัชทายาทอย่างมินกุงมาที่นี่ เขาจึงทำอะไรไม่ได้

 

 

ในขณะที่กโยซึลกำลังสะอึกสะอื้นอยู่ได้พักใหญ่ เสียงของแม่นมก็ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของประตู

 

 

“พระชายาเพคะ ฝ่าบาทฮวางเซจาเสด็จมาเพคะ”

 

 

“ฮวางเซจาหรือ”

 

 

ฮวางเซจาอย่างนั้นหรือ มินกุงส่งสายตาถามกโยซึล

 

 

“อ้อ เขาเป็นผู้ที่หม่อมฉันอยากจะแนะนำให้ท่านพี่รู้จักเพคะ แม่นม เชิญเขาเข้ามา”

 

 

กโยซึลหันหน้ากลับมาด้วยใบหน้าที่สดใส แล้วตั้งใจใช้ชายเสื้อของตนเช็ดน้ำตา ทว่าก็ไม่อาจปิดบังรอยแดงบริเวณรอบดวงตาได้ มินกุงที่ยืนมองท่าทีของน้องสาวตนอย่างสงสัยนั้น พลันหันหน้าไปทางที่เสียงประตูเปิด แล้วรูแฮก็เดินเข้ามาด้านใน เขาเห็นรองเท้าที่วางอยู่บนบันไดหิน และได้ฟังที่แม่นมแจ้งที่หน้าประตูแล้ว รูแฮจึงรู้ดีว่ามินกุงเป็นใคร เขาหันไปทำความเคารพกโยซึลก่อน

 

 

“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันปีพันปี ถวายบังคมพระชายาฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

รูแฮย่อเข่าข้างหนึ่งลงถึงพื้น ส่วนอีกข้างนั้นชันขึ้น แล้วก้มศีรษะลงทำความเคารพอย่างเช่นที่เคยทำ แม้ว่ารูแฮจะทำเพียงแค่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยก็ได้ แต่เขาก็มักจะทำความเคารพเช่นนี้เสมอ การทำความเคารพเช่นนี้นั้นมีความหมายอยู่สองอย่าง นั่นคือ

 

 

ใจที่ภักดีและใจที่รักใคร่

 

 

และมินกุงเองก็รู้ถึงความหมายนั้นเป็นอย่างดี ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นนิ่งสนิทในทันที

 

 

“ถวายบังคมองค์รัชทายาท มินกุงแห่งฮวากุกด้วยพ่ะย่ะค่ะ เป็นเกียรติที่ได้พบกัน กระหม่อมคือฮวางเซจา รูแฮพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

รูแฮก้มศีรษะลงเล็กน้อย และมินกุงเองก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อตอบรับเช่นเดียวกัน

 

 

“กระหม่อมองค์รัชทายาท มินกุงพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของมินกุงนั้นแข็งกระด้าง