บทที่ 254 ยังมีอีกสองสามตัวที่อันตราย

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 254 ยังมีอีกสองสามตัวที่อันตราย

หลังจากที่พักค้างคืนกันแล้ว มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆก็เดินทางเข้าไปในป่าแห่งความตายกันต่อ แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะได้เจอกับคนบ้าวิชาอีกครั้ง

“นี่ครั้งหน้าแล้ว! ดวลกัน” เฟิงจือหลิงกำลังยืนอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเสวี่ยด้วยรังสีแห่งสงคราม

วันนี้เกิดขึ้นเพราะเฟิงจือหลิง เมื่อวานตอนที่มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆจากมา เฟิงจือหลิงอยากที่จะตามพวกเขามาด้วยแต่ถูกน้องสาวห้ามไว้ หลังจากที่พูดหว่านล้อมอยู่นานเธอก็ยอมให้เฟิงจือหลิงมาปรากฏต่อหน้ามู่หรงเสวี่ยในวันนี้

เพียงแค่ว่าสีหน้าของมู่หรงเสวี่ยดูไม่ค่อยดีเท่าไร เดิมมีป่าแห่งความตายกว้างใหญ่มากจนพวกเขาไม่น่าที่จะได้เจอกันอีก อีกอย่างวันนี้พวกเขามีแผนที่จะเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นพิษด้วย และคิดว่าพวกเขาคงไม่ได้เจอกันอีก อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตามมาได้เร็วขนาดนี้ หลินหนานอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าอีกฝ่ายตามพวกเขามาตั้งแต่เมื่อวานหรือเปล่า

“พี่ชาย พวกเรากำลังรีบจริงๆนะ! ขอร้องล่ะปล่อยพวกเราไปเถอะ” มู่หรงพูด

มือที่กำลังถือดาบอยู่ของเฟิงจือหลิงแวบประกายเย็นชาและสีหน้าของเขาเองก็ไม่ต่างกัน “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือเปล่า?!”

เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ “ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น…” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มเกร็งๆ

“งั้นก็ดึงดาบออกมาเลย เราจะสู้กัน!” เฟิงจือหลิงพูดออกมาอย่างอดทนเล็กน้อย

เฟิงจือหลินยืนอยู่ไม่ห่างพร้อมกับก้านหญ้าในปาก เธอกำลังคิดว่าคนที่ได้เจอกับพี่ชายของเธอจะต้องเจอปัญหาครั้งใหญ่แน่ๆ นอกจากเขาจะแพ้พี่ชายของเธอ ไม่งั้นเขาจะต้องพัวพันกันแบบนี้ไปตลอดแน่ๆ

“พูดตามตรงนะ พวกเรากำลังถูกตามล่าอยู่ ถ้าเราสู้กับเจ้า เราก็กลัวว่าพวกศัตรูจะตามมาทัน เราจึงต้องรีบออกไปจากที่นี่อย่างเร็วที่สุด…” มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะพัวพันกับคนคนนี้นานเกินไป เธอไม่ได้เกลียดเขา เธอรู้สึกชื่นชมคนที่ไล่ตามความต้องการแบบสุดโต่งแบบนี้แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่เอื้ออำนวย

ถ้าเหตุผลที่พูดออกไปอีกฝ่ายไม่รับฟัง งั้นก็คงทำได้เพียงต้องสู้

“ถูกตามล่างั้นเหรอ?!! ใครตามล่า?!!” เฟิงจือหลิงถาม

“ข้าไม่รู้ว่าเป็นใคร ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแกร่งพร้อมสู้อยู่ตลอดเวลา…” ความหมายก็คือพวกเขาอยากที่จะไปแล้วและอย่ามายุ่งกับพวกเขา

มือที่กำลังถือดาบอยู่ของเฟิงจือหลิงรู้สึกยุ่งเหยิงขึ้นมากกว่าเดิม เขาไม่อยากที่จะพลาดการดวลกับอีกฝ่าย

ทั้งสองฝ่ายเงียบกันอยู่นาน

“งั้นเมื่อไรถึงจะได้?” เฟิงจือหลิงพูดประนีประนอมอย่างหาได้ยากอีกครั้ง

ครั้งนี้มู่หรงเสวี่ยไม่ได้รีบตอบ เพราะรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อวาน หลังจากนั้นก็ได้มาเจอเฟิงจือหลิงในวันนี้ จนเธออยากที่จะกลืนคำกลับเข้าไปเลย

ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยและหลินหนานก็เดินเข้ามาหากันและเริ่มที่จะพิจารณาถึงคำตอบ

เฟิงจือหลิงที่ยืนอยู่ห่างๆ มองการพูดคุยทั้งหมดนี้ซึ่งดูน่าตลกจริงๆ หลังจากที่ผ่านไปหลายนาที มู่หรงเสวี่ยก็พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “ทุกอย่างจะเรียบร้อยหลังจากที่พวกเราทุกคนได้เข้าไปที่สำนักหลงหยุ่น…” สำนักแต่ละแห่งจะต้องดูแลศิษย์ของตัวเอง ถ้าศิษย์ของพวกเขาเดือดร้อน ทางมสำนักก็คงไม่ปล่อยไว้ตามลำพังแน่ๆ ไม่งั้นคงจะส่งผลกระทบกับชื่อเสียงของสำนัก

ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ที่จะเข้าไปที่สำนักหลงหยุ่นเพื่อที่จะหลบภัยและพัฒนาการฝึกตนของตัวเองด้วย แล้วมู่หรงเสวี่ยจะได้ขยายข้อมูลเพื่อที่จะได้ตามหาพ่อแม่ของเธอด้วย

“สำนักหลงหยุ่นเหรอ นั้นสำนักของข้าเอง!” หลังจากที่ได้ฟัง เฟิงจือหลิงก็พูดออกมาเสียงเบา

ชั่วครู่ต่อมา เขาก็พูดต่อ “งั้นข้าจะไปกับพวกเจ้าเอง” เขาเก็บดาบเข้าไป ในเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะไปที่สำนักหลงหยุ่น งั้นเขาก็ไม่กังวลอะไรแล้ว ยังไงซะอีกฝ่ายก็ไม่หนีหรอก

มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆต่างก็อยากจะร้องไห้ออกมา!!! นี่ทำอย่างกับพวกเขาเป็นนักโทษที่ต้องเฝ้าเลย!!!

หลินหนานดึงมู่หรงเสวี่ยอย่างระวังแล้วพวกเขาก็เดินไปอีกด้านและซุบซิบ

“ได้! พวกเราตกลง! งั้นจะไปได้หรือยัง?” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม หยุดหัวเราะได้หรือยัง?! ตรงกันข้าม พวกเขามีนักสู้ฟรีๆได้เพิ่มมาอีกสองคน ซึ่งถือเป็นเรื่องดี

เฟิงจือหลิงพยักหน้าและเรียกน้องสาว ทั้งสองฝั่งเริ่มที่จะแนะนำตัวกันเอง พวกเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ไม่นานพวกเขาก็เข้ากันได้ดี เดิมทีหวู่เสี่ยวเหมยเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ตอนนี้มีเฟิงจือหลินเพิ่มมาอีกคน แม้แต่หวู่เสี่ยวเหมยที่มักจะเงียบอยู่เสมอก็ยังดูสดชื่นขึ้นมามากกว่าเดิม แน่นอนว่ามู่หรงเสวี่ยถือเป็นข้อยกเว้นเพราะเธออยู่ในร่างของผู้ชาย

“พวกเจ้าจะเดินผ่านบริเวณที่มีบรรยากาศเป็นพิษงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถามอย่างตกใจ

หลังจากที่ได้เห็นท่าทางของเฟิงจือหลิง ในที่สุดหลินหนานก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม เป็นมู่เทียนเองที่น่ากลัวเกินไป

“ไม่ต้องห่วงหรอก เรามีวิธีและถนนเส้นนี้ก็เร็วที่สุดด้วย…” หลินหนานพูด

ถึงแม้คนอื่นๆจะพูดคุยกันสนุกสนาน แต่เฟิงจือหลิงไม่ใช่คนที่ชอบคุยเท่าไร เขารีบขมวดคิ้วทันทีและพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่ล้อเล่นกับชีวิตจริงๆ…”

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีคนมากมายเข้ามาที่พื้นที่แห่งนี้แต่มีคนเพียงไม่กี่คนที่ออกไปได้ ถึงแม้พวกเขาจะออกไปได้ แต่ก็ต้องเจอกับเรื่องที่น่ากลัวและมีแต่คนที่อยู่ในระดับการฝึกตนสูงๆเท่านั้นที่จะออกไปได้ แต่ในกลุ่มคนนี้โดยเฉพาะหวู่เสี่ยวเหมยที่อยู่ในระดับสีส้ม ถือเป็นการเดินเข้าไปหาความตายชัดๆ

“ถ้าเจ้ากลัว เจ้าจะไปก็ได้นะ! เดี๋ยวยังไงเราก็ต้องไปเจอกันที่สำนักหลงหยุ่นอยู่แล้ว” มุ่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา อีกฝ่ายไม่ใช่เพื่อน พวกเขาตามมาก็ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นคือเพื่อที่จะสู้กับเธอ ถึงแม้ในตอนแรกพวกเขาจะมองว่าคนพวกนี้เป็นนักเลง แต่ก็ได้พบว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ดีจริงๆและมีความกระหายที่ดี แต่มู่หรงเสวี่ยก็ไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่าย ถ้าคนของเซี่ยเหลียนน่าทำร้ายสองพี่น้องนี่ด้วย มันก็คงจะแย่

“พี่ใหญ่…” เฟิงจือหลินมองไปที่พี่ชายและเธอเองก็บอกว่าแยกกันน่าจะดีกว่า ยังไงซะก็เป็นแค่คู่ต่อกัน ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมีเสี่ยงอันตรายด้วยกันเลย

พวกเธอออกมาเพื่อหาประสบการณ์ในป่าแห่งความตาย แต่ตอนที่พวกเธอจะออกเดินทาง เหล่าอาจารย์ที่สำนักต่างก็เตือนพวกเธอหลายครั้งว่าอย่าเข้าไปในพื้นที่บรรยากาศเป็นพิษไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“ไปกันเถอะ!” เฟิงจือหลิงพูดออกมา ไม่มีเหตุผลอะไรที่อีกฝ่ายที่อายุพอๆกับเขาแต่กลับมีความกล้าที่จะเข้าไป แต่เขากลับต้องเดินอ้อมไปอีกด้านแทนซึ่งไม่ใช่หัวใจหลักที่เขาออกมาตามหาเลยด้วยซ้ำ

เฟิงจือหลินรู้จักพี่ชายตัวเองดีที่สุด ในเมื่อพี่ชายเธอตัดสินใจแล้ว น้องสาวอย่างเธอไม่มีทางที่จะพูดเปลี่ยนใจได้แน่ๆ

มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งหมดรีบเดินทางกันต่อ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโชคดีของพวกเขาหรือว่าเหตุผลอะไรถึงได้ไม่เจอคนของเซี่ยเหลียนนาในระหว่างทางเลย

อันที่จริง กลุ่มคนที่ไล่ตามกลุ่มใหม่เข้ามาป่าแห่งความตายแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ออกตามหามู่หรงเสวี่ยเลยล่ะ? หรือเป็นเพราะข่าวเรื่องสมบัติในป่าแห่งความตายที่จู่ๆก็ทำให้ป่าแห่งความตายเต็มไปด้วยผู้คน

ที่นี่มีเด็กหนุ่มสาวอายุประมาณ 16 เต็มไปหมด พวกเขาส่วนใหญ่จะได้รับโอกาสจากทางสำนักให้ออกมาหาประสบการณ์นอกโรงเรียน แถมยังเป็นการเพิ่มจำนวนผู้ที่ออกมาค้นหามากขึ้นไปด้วย

จากข้อมูลที่เซี่ยเหลียนนาให้มา พวกเขาต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่เข้าไปในพื้นที่บรรยากาศเป็นพิษของป่าต้องห้ามแน่ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เข้าไปค้นหาที่นั่นเลย พวกเขาจึงพลาดโอกาสที่จะได้เจอมู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆ

“ในนี้มีคนแค่ไม่กี่คนเอง…”

“สมบัติมันหาง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง? นี่ก็ไม่รู้ว่าข้าจะรอดออกไปได้หรือเปล่า…”

“เมื่อวานก็มีอาจารย์ระดับสีฟ้าอีกสองคนที่หายตัวไปด้วย…”

“งั้นข้าก็อยากที่จะลองเข้าไปดูสักหน่อย…”

“ถ้าเจ้าอยากที่จะเข้าไปในนรก งั้นก็เชิญเลย”

มีคนมากมายที่เดินวนอยู่รอบนอกของพื้นที่บรรยากาศเป็นพิษ เมื่อเห็นมู่หรงเสวี่ยที่ดูยังเด็ก พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปข้างในแต่ก็ยังไม่อยากที่จะเดินออกไป พวกเขาอยากที่จะรออยู่ด้านนอกเพื่อดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

ก่อนที่จะเข้าไปข้างใน มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจความประหลาดใจของคนอื่นๆและมอบยาถอนพิษให้ทุกคนก่อนที่จะเข้าไปข้างใน

ยาถอนพิษไม่ใช่ยาในระดับสูงอะไร ก็เป็นแค่ยาในระดับห้าเท่านั้นแต่ราคาที่ขายค่อนข้างที่จะสูง เพราะมีเพียงคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่มียาพวกนี้ในครอบครอง ดังนั้นมันไม่ใช่ยาในระดับสูงแต่ราคากลับเป็นที่น่าตกใจอย่างมาก สองพี่น้องเฟิงจือหลิงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร เพราะสถานะของตระกูลเฟิงค่อนข้างที่จะสูงและก็เคยเห็นยาถอนพิษแบบนี้มาเยอะแล้ว

แต่กลับรู้สึกว่ามู่เทียนคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

มุ่หรงเสวี่ยปรุงยาถอนพิษนี้ไว้ก่อนที่เธอจะออกมาครั้งที่แล้ว เพื่อที่จะใช้ป้องกันเธอจึงปรุงไว้เยอะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องได้ใช้เร็วขนาดนี้

หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในพื้นที่บรรยากาศเป็นพิษ พวกเขาก็เจอเข้ากับศพมากมายที่นอนกองอยู่ที่พื้น บางคนก็ต้องเดินด้วยมือเพราะว่าขาหัก

หลินหนานและเฟิงจือหลิงเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เงียบๆ พวกเขาถึงขนาดถืออาวุธพร้อมอยู่ในมือด้วย เพราะกลัวว่าจะเจอเข้ากับการจู่โจมที่ไม่ทันตั้งตัว มีเพียงมู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวไป๋เท่านั้นที่ดูสบายๆราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้านตัวเอง จนทำให้คนอื่นๆถึงกับพูดไม่ออก

“มู่เทียน มีบางอย่างผิดปกตินะ เราน่าที่จะระวังตัวกันหน่อย…” หลินหนานพูดกับมู่เทียนด้วยความกังวล

มู่หรงเสวี่ยเลิกคิ้ว พร้อมพูดออกมาอย่างสบายๆ “ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอะไรหรอก!”

ขอโทษนะ ทำไมถึงใจเย็นบอกว่าไม่มีอะไรหรอกทั้งๆที่มีศพนอนกองอยู่ที่พื้นมากมายแบบนี้ได้อีก นี่ไม่ถูกต้องเลยนะ!!! ทำไมยังสบายใจได้แบบอยู่แบบนี้อีก

เขาอยากที่จะพูดอะไรเพิ่มอีก แต่จู่ๆก็รู้สึกว่าพื้นเริ่มที่จะสั่น และก็มีเสียงคำรามของสัตว์แห่งจิตวิญญาณดังมาจากไกลๆ พวกเขาเริ่มตั้งเป็นวงกลมทันที แม้แต่สองพี่น้องเฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยเองก็ถูกล้อมรอบอยู่ตรงกลางเพื่อป้องกันด้วย