บทที่ 498 อาจหาญ

บัลลังก์พญาหงส์

เพียงไม่นาน ถาวซินหลันและองค์หญิงเก้าก็มาถึง พอเห็นท่าทีขององค์หญิงเก้าไม่ค่อยดีเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ถาวจวินหลันก็รู้สึกเป็นกังวล จากนั้นก็คิดถึงความเป็นไปอย่างหนึ่งขึ้นมา จึงอดหัวเราะไม่ได้ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย  

 

 

แต่นางก็ยังคงกำชับองค์หญิงเก้าด้วยเป็นห่วง “แม้ว่าจะอายุน้อย แต่เจ้าก็ไม่อาจละเลยร่างกายตนเองได้ จะต้องดูแลให้ดี ดูซี ท่าทีของเจ้าย่ำแย่ขนาดนี้แล้ว”  

 

 

องค์หญิงเก้าฝืนหัวเราะ ถือว่าตอบแล้ว  

 

 

องค์หญิงแปดก็มองอย่างเป็นกังวลเช่นกัน พูดว่า “ข้ายังพอมีเออเจียวชั้นดีอยู่บ้าง กลับไปจะให้คนส่งไปให้เจ้าบ้าง สิ่งนี้บำรุงเลือดได้ดีที่สุด”  

 

 

ถาวซินหลันเองก็พยักหน้า “วันธรรมดาก็ควรกินของบำรุงเลือดให้เยอะด้วยเจ้าค่ะ”  

 

 

องค์หญิงเก้าฝืนยิ้ม แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา “พวกเรารีบเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮาเถิดเจ้าค่ะ”  

 

 

ทุกคนจึงพากันเข้าไปในวังหย่งโซ่ว  

 

 

ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมององค์หญิงแปด “ดูเข้มงวดกว่าปกติอยู่หลายส่วน พวกท่านคิดอย่างนั้นหรือไม่?”  

 

 

องค์หญิงแปดพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง ปกติแล้วเคยตรวจป้ายที่ไหนกัน? วันนี้หากไม่รู้จักพวกเรา เกรงว่าซินหลันคงไม่ได้เข้าเป็นแน่”  

 

 

ถาวซินหลันเม้มปาก พูดความจริง “เกรงว่าสถานการณ์ภายในวังหลวงคงรุนแรงขึ้นแล้ว”  

 

 

ถาวจวินหลันไม่พูดอะไรอีก ในใจกลับคิดว่า ฮองเฮาและองค์รัชทายาทน่าจะรู้เรื่องที่องค์รัชทายาทถูกปลดแล้ว และย่อมได้ยินข่าวลือภายนอกแล้วเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะมีปฏิกิริยาตอบรับเช่นไร  

 

 

พอเข้าไปบริเวณประตูวังหย่งโซ่วแล้ว ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือมีคนเพิ่มมากขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังเป็นคนแปลกหน้า เทียบกับวังหย่งโซ่วอันเงียบสงบก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับมีคนเดินไปเดินมาแล้ว  

 

 

แท้จริงแล้วฮองเฮารู้อาการของไทเฮาหรือไม่? ถาวจวินหลันลอบคิดในใจ ก่อนย่างเท้าก้าวเข้าไปในวังหย่งโซ่ว แล้วตรงเข้าไปภายในห้องที่ไทเฮาพัก  

 

 

พอเข้าไปในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็สังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าด้านนอกจะมีคนไม่คุ้นหน้าอยู่มาก แต่คนที่ปรนนิบัติภายในห้องนั้นยังคงเป็นคนเก่าแก่ของไทเฮา เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาไม่ได้ยื่นมือเข้ามาถึงภายในวังหย่งโซ่วจริง  

 

 

เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เห็นได้ว่าฮองเฮาไม่น่าจะรู้อาการที่แท้จริงของไทเฮา  

 

 

หลังจากทุกคนรายงานขอเข้าพบแล้วจึงพากันเดินเข้าไป  

 

 

ไทเฮาเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมาไม่นาน กำลังทานอาหารอยู่ นั่งเอนตัวอยู่บนเตียง ด้านหลังยังมีหมอนอิงรองเอาไว้ จางหมัวหมัวป้อนอาหารให้ไทเฮาอยู่ข้างๆ แบบนี้ก็มองไม่ออกว่าไทเฮาขยับร่างกายไม่สะดวก  

 

 

เห็นจางหมัวหมัวมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ถาวจวินหลันก็ก้าวขึ้นไปรับถ้วยในมือของจางหมัวหมัวเอาไว้ “ให้ข้าทำเถิด”  

 

 

แต่ยังช้ากว่าถาวซินหลันไปก้าวหนึ่ง ถาวซินหลันรับถ้วยนั้นไปแล้ว ยิ้มและพูดว่า “ข้าป้อนไทเฮาเสวยอาหารดีกว่า หมัวหมัวไปพักก่อนเถิด”  

 

 

ไทเฮาเห็นถาวซินหลันก็แย้มยิ้ม “ทำไมเจ้าถึงมาได้เล่า? แต่ก็ดี ให้เจ้ามาปรนนิบัติข้าแล้วกัน จางหมัวหมัวไปพักหน่อยเถิด”  

 

 

ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ดึงดัน หัวเราะพลางก้าวขึ้นไปทำความเคารพพร้อมกับองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า ทั้งยังพูดอีกว่า “วันนี้ท่าทีของไทเฮาดูดีขึ้นมากเลยเพคะ อีกไม่นานคงใกล้หายดีแล้วแน่เลยเพคะ”  

 

 

องค์หญิงแปดมองนางกำนัลที่เอียงหน้าเข้ามาแอบมองอยู่ตรงประตูวูบหนึ่ง ยิ้มและพูดเออออว่า “จะไม่ใช่ได้อย่างไร? หม่อมฉันว่าไทเฮาบุญบารมีมากล้น จะต้องไม่เป็นอะไรร้ายแรงแน่นอน เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้เลยเพคะ”  

 

 

องค์หญิงเก้าก็ตั้งสติพูดเออออคล้อยตามไปด้วย  

 

 

ไทเฮากินสิ่งที่ถาวซินหลันป้อนอยู่เงียบๆ กลับไม่ได้แสดงท่าทีดีใจหรือไม่ดีใจออกมา ทว่าดูมีอำนาจยิ่งนัก  

 

 

พอกินข้าวต้มหมดไปแล้วถ้วยหนึ่ง ไทเฮาก็พยักหน้าเรียกถาวซินหลัน  

 

 

ถาวซินหลันวางถ้วยข้าวต้มลง พลางหยิบผ้าเช็ดปากออกมาเช็ดริมฝีปากให้ไทเฮาอย่างรวดเร็ว  

 

 

ไทเฮาถึงได้ยิ้มและพูดว่า “หญิงแก่อย่างข้ากำลังเบื่อ ได้พวกเจ้ามาพูดคุยเป็นเพื่อนพอดี”  

 

 

แต่ก็พูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แล้วไทเฮาก็พูดอีกว่า “แก่แล้วๆ นี่เพิ่งคุยได้ไม่เท่าไรก็แน่นอกจะแย่แล้ว”  

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้ก็เข้าใจทันที นางมองคนที่อยู่เต็มห้องมากมายทีหนึ่ง ก่อนหัวเราะและพูดว่า “บางทีคนอาจจะเยอะเกินไป คนอื่นออกไปก่อนเถิด มีพวกข้าคอยปรนนิบัติไทเฮา ไม่เป็นไรแน่นอน” ก่อนเดินไปบริเวณข้างหน้าต่าง เปิดหน้าต่างเป็นช่องเล็กๆ ไม่นับว่าระบายอากาศได้ดีนัก แม้นมองเห็นสถานการณ์ด้านนอก แต่ก็ไม่ถึงขั้นเห็นข้างในทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ไม่มีคนกล้ายืนแอบฟังอยู่ข้างหน้าต่างแล้ว  

 

 

จางหมัวหมัวได้ยินเช่นนั้น ก็เดินนำออกไปก่อน คราวนี้นางกำนัลคนอื่นต่อให้ไม่ยินยอมถอยออกไป ก็ไม่อาจรั้งอยู่ต่อได้แล้ว  

 

 

พอทุกคนออกไปแล้ว ก็เห็นว่าไทเฮาสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรต้องคอยหลอกผู้คนมากมาย ว่าร่างกายตนเองไม่ป่วยหนักก็ถือเป็นเรื่องเหนื่อยมากเช่นเดียวกัน  

 

 

ถาวซินหลันเห็นเช่นนั้นก็รีบก้มหน้าพูดกับไทเฮาเสียงเบา “ไทเฮาเพคะ นอนลงดีหรือไม่เพคะ?”  

 

 

ไทเฮาส่ายหน้า พูดว่า “ประคองข้านั่งลงไปอีกหน่อยเถิด” เพื่อแสดงว่าตนเองไม่เป็นอะไร เมื่อครู่นี้นางจึงนั่งหลังเหยียดตรง ทำได้เพียงเกร็งคอให้ยืดตรง สำหรับนางในตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากเลยทีเดียว  

 

 

เมื่อเขยิบลงไปเล็กน้อยจนเอนคอพิงบนหมอนได้ ไทเฮาก็มีท่าทางสบายขึ้นมาก  

 

 

ถาวจวินหลันมองไทเฮาเป็นเช่นนี้ แต่ยิ่งทำให้นางเจ็บปวดใจ ปกติแล้วไทเฮาไม่เคยแสดงอารมณ์ให้คนนอกเห็น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนไม่สนิท แต่ตอนนี้กลับแสดงท่าทีสบายใจได้ขนาดนี้ เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ไทเฮาฝืนทนไว้ลำบากมากเพียงใด  

 

 

ไทเฮาเหมือนจะปรับตัวอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงกลับมาเป็นเหมือนเดิม หัวเราะเยาะตนเอง “แก่แล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว สมควรตาย”  

 

 

เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป ทุกคนต่างก็รู้สึกเจ็บปวด สุดท้ายแล้วถาวซินหลันก็อดส่งเสียงร้องสะอื้นไม่ได้ กล่าวว่าไทเฮา “ไทเฮาท่านตรัสเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ? ท่านต้องอายุยืนเป็นร้อยปี ท่านจะต้องมีชีวิตยืนนานนะเพคะ!”  

 

 

“ข้าตายตอนนี้ไม่ได้แน่นอน” ไทเฮาหรี่ตาพลางพูดว่า “ยิ่งมีคนอยากเห็นข้าตายมากเพียงใด ข้าก็จะไม่ตาย ฮ่องเต้มีอาการไม่สู้ดีนัก ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้แผ่นดินนี้ตกอยู่ในกำมือของสตรีผู้นั้นเด็ดขาด!”  

 

 

สตรีผู้นั้นย่อมหมายถึงฮองเฮา   

 

 

ตอนที่ไทเฮาพูด ต่อให้เป็นเทียนกลางลม ต่อให้อ่อนระโหยโรยแรง แต่ก็ยังฉายแววมีอำนาจอยู่ดี จำต้องยอมรับเลยว่า เป็นมารดาของแผ่นดินมานานหลายปี อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมีชีวิตสุขสบาย ฮองเฮาย่อมเทียบความทรงอำนาจของไทเฮาไม่ได้  

 

 

ถาวจวินหลันก้าวขึ้นไปก้าวหนึ่ง ทำความเคารพไทเฮาทีหนึ่ง “ที่จริงแล้ว หม่อมฉันเข้าวังหลวงมาวันนี้ ก็ด้วยมีเรื่องอยากปรึกษาไทเฮาเพคะ”  

 

 

ไทเฮาเลิกคิ้ว “อย่างนั้นหรือ? เรื่องอะไรหรือ?”  

 

 

คนที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นคนเชื่อใจได้ ถาวจวินหลันจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเอาไว้ แล้วถามออกมาตรงๆ “ไทเฮารู้อาการของฮ่องเต้บ้างหรือไม่เพคะ?”  

 

 

ไทเฮามองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง ก่อนพูดเนิบๆ ว่า “ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้น” แม้ฟังแล้วจะดูเรียบสงบ แต่ความจริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยท่าทีเจ็บปวดและผิดหวัง อย่างไรนั่นก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของไทเฮา ไฉนเลยจะเมินเฉยได้? เพียงแค่ตั้งใจทำให้ดูมีแข็งแกร่งเท่านั้นเอง  

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ พยักหน้าเบาๆ “เมื่อวานนี้องค์หญิงเก้าเข้าวังหลวงมา แต่ไม่ได้พบหน้าฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อยเพคะ วันนี้พวกเราเข้าวังหลวงมา แม้แต่ทหารยามที่เฝ้าอยู่ก็เข้มงวดขึ้นไม่น้อย อีกทั้งที่วังของไทเฮาเองก็มีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยเพคะ”  

 

 

พอนางพูดถึงเรื่องนี้ คิดว่าไทเฮาคงเข้าใจความหมายแฝงเป็นแน่  

 

 

ไทเฮากลับไม่แปลกใจ แต่ขมวดคิ้วพูดว่า “ข้ารู้เรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว เจ้ามาพูดเรื่องนี้มีความหมายว่าอย่างไรกัน?”  

 

 

“ไทเฮาทรงถามความหมายของหม่อมฉันหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันถอนหายใจ มองดูสายตาของไทเฮาพลางพูดออกมาเสียงเบา  

 

 

ไทเฮาเม้มริมฝีปากเงียบไป  

 

 

“ถ้าหากครั้งนี้ปล่อยให้ฮองเฮาได้ใจ ไทเฮาอาจจะไม่เป็นอะไร เพราะอย่างไรท่านก็เป็นไทเฮา ฐานะก็เห็นชัดอยู่ แต่จวนตวนชินอ๋องจะเป็นเช่นไร ตระกูลกู้จะเป็นเช่นไรเพคะ? บรรดาขุนนางที่ช่วยฮ่องเต้ลดทอนอำนาจองค์รัชทายาทจะเป็นเช่นไรเพคะ?” ถาวจวินหลันพูดออกมาอย่างโศกเศร้า เสียงไม่ได้ดังมากนัก แต่กลับแฝงความหมายลึกซึ้งตรงใจคนออกมา  

 

 

ไทเฮายิ่งเงียบ ผ่านไปนานถึงถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”  

 

 

“ขอให้ไทเฮาช่วยท่านอ๋องสักครั้งเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจอีกครั้ง น้ำเสียงจริงใจเป็นอย่างมาก  

 

 

ไทเฮาหัวเราะขมขื่น “เย่เอ๋อร์เป็นหลานชายของข้า หรือว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่หลานชายของข้าเล่า?”  

 

 

“ไม่ปิดบังไทเฮาเพคะ หม่อมฉันกระจายข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นไปแล้ว บรรดาขุนนางมีหน้ามีตา หรือบรรดาพ่อค้าคนทำมาหากินล้วนรู้เรื่องพวกนี้แล้วเพคะ รู้ว่าองค์รัชทายาทอกตัญญูอย่างไร รู้ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงได้ประชวรเพคะ” ถาวจวินหลันยังคงไม่รีบร้อน ค่อยๆ พูดเรื่องนี้อย่างใจเย็น  

 

 

ไทเฮาแสดงสีหน้าตื่นตะลึง ถลึงตามองถาวจวินหลันทั้งโมโหและโกรธ “เจ้าบังอาจนัก!”  

 

 

“หม่อมฉันบังอาจนักเพคะ” ถาวจวินหลันรับคำ จากนั้นก็ค่อยๆ คุกเข่าลงไป ก้มหัวไปทางไทเฮา “หม่อมฉันกล้าบังอาจเพคะ เพื่อท่านอ๋อง เพื่อลูกหญิงชายของหม่อมฉัน หม่อมฉันกล้าเพคะ!”  

 

 

องค์หญิงแปดลุกขึ้นมาก่อน แล้วก็คุกเข่าตามถาวจวินหลัน พร้อมพูดเช่นเดียวกัน “องค์รัชทายาทไร้ศีลธรรม ไม่ควรเป็นผู้สืบทอด หม่อมฉันเห็นด้วยกับการปลดองค์รัชทายาทเพคะ!”  

 

 

ถาวซินหลันก็คุกเข่าลงไปเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ได้พูดสาเหตุเหล่านั้น พูดแค่ว่า “ไทเฮาเพคะ ขอให้ท่านช่วยซวนเอ๋อร์ด้วยเถิดเพคะ! ขอให้ท่านคิดถึงบรรดาคนที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีเช่นพวกหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ!”  

 

 

ไทเฮาหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงเย็น “ดีๆๆ! สมแล้วที่เป็นหลานสาวของข้า สะใภ้ดีจริงๆ! แต่ละคนกล้ากันยิ่งนัก! กล้ามาต่อรองกับข้า! ถาวซื่อ เจ้ามีความสามารถเสียจริง!”  

 

 

ถาวจวินหลันไม่กล้าตอบโต้ เพียงแค่หมอบอยู่กับพื้น หน้าผากสัมผัสกับพื้น หลับตาลงไม่ขยับเขยื้อน นางรู้แต่แรกแล้วว่าหากพูดออกมา ไทเฮาจะต้องโมโหแน่นอน แต่นางไม่พูดก็ไม่ได้ ต่อให้ไม่กล้าพูดก็ต้องพูด  

 

 

แม้ว่าหลี่เย่จะมั่นใจในตนเองมาก แต่นางก็เข้าใจว่าเสาต้นเดียวมิอาจค้ำยันทั้งเรือนเอาไว้ได้ อย่างไรฮองเฮาและองค์รัชทายาทก็เป็นสายเลือดตรง เมื่อหลี่เย่อยู่ต่อหน้าทั้งสอง แม้ว่าเขาจะสูงส่งเป็นถึงชินอ๋อง แต่ก็ถือเป็นขุนนางกบฏ ดังนั้นหลี่เย่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากไทเฮา  

 

 

นางต้องบีบให้ไทเฮาแสดงจุดยืนออกมา นางอยากจะบีบให้ไทเฮามายืนอยู่ข้างหลี่เย่อย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่สนับสนุนอย่างหลบซ่อน นางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทเป็นหลานชายของไทเฮาเช่นเดียวกัน แม้นไทเฮาไม่ชอบฮองเฮาก็จริง แต่สำหรับหลานนั้นก็ใช่ว่าจะโหดเ**้ยม  

 

 

ดังนั้นนางต้องบีบไทเฮา ไทเฮาไม่อาจใจอ่อนได้แม้แต่น้อย มิเช่นนั้นเท่ากับว่ารอให้หลี่เย่เผชิญหน้ากับเคราะห์กรรมไม่จบสิ้น หลี่เย่ไม่อาจพูดเรื่องนี้เองได้ และยิ่งไม่อาจทำเองได้ ดังนั้นยกเรื่องนี้ให้นางทำถึงจะเหมาะสม  

 

 

เดิมไทเฮาก็ไม่ชอบนางอยู่แล้ว ยิ่งนางกำเริบเสิบสานแบบนี้ ต่อให้ไทเฮาคิดจะเอาเรื่อง ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว  

 

 

อีกทั้งดูจากซวนเอ๋อร์แล้ว ต่อให้ไทเฮาไม่พอใจนาง ก็ไม่มีทางทำอะไรนางเป็นแน่   

 

 

ไทเฮาว่าไม่ผิด แท้จริงแล้วนางก็กล้าจริง ถือว่ามีความสามารถมากนัก