บทที่ 499 โมโห

บัลลังก์พญาหงส์

สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ทำได้แค่ยินยอม หลี่เย่เป็นแก้วตาดวงใจของนาง ซวนเอ๋อร์ก็เช่นเดียวกัน และนางจะไม่สนใจตระกูลกู้ของนางได้อย่างไร แม้องค์รัชทายาทจะเป็นหลานของนาง แต่องค์รัชทายาทก็ไม่ได้สนิทสนมกับนางมาตั้งแต่แรก และยังทำเรื่องเช่นนี้อีก พอเอาทั้งสองฝ่ายมาเทียบกัน ตราชั่งย่อมต้องเอนเอียงอย่างแน่นอน   

 

 

แต่ไทเฮาก็ยังกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไปไม่ได้ ดังนั้นจึงพูดช้าๆ ว่าปล่อยให้ถาวจวินหลันคุกเข่าอยู่ตรงนั้น  

 

 

แต่ถาวจวินหลันคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ไทเฮาย่อมไม่อาจเรียกให้องค์หญิงแปด องค์หญิงเก้าและถาวซินหลันลุกขึ้นมาก่อนได้  

 

 

จะให้ลุกขึ้นมา ก็คงไม่หายโกรธ แต่ไม่เรียกให้ลุกขึ้นมา มองดูคนอื่นคุกเข่าตามแล้วก็รู้สึกไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อเห็นร่างขององค์หญิงแปดเริ่มเอนเอียงเล็กน้อย คล้ายว่าจะทนไม่ไหวแล้ว ไทเฮาก็ยิ่งไม่อาจใจร้ายได้อีก  

 

 

สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ทำได้เพียงเก็บความโกรธนี้เอาไว้ แล้วเรียกถาวจวินหลันให้ลุกขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก “ข้ายังไม่ตาย หลังจากนี้พอตายแล้วค่อยมาคุกเข่าก็ยังไม่สาย!”  

 

 

ด้วยอารมณ์ไม่ดี คำพูดย่อมไม่น่าฟัง  

 

 

ถาวจวินหลันไม่ใส่ใจ แล้วลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างไรนางก็บีบบังคับไทเฮา เป็นไปได้ว่าไทเฮาจะโมโหแล้วเลือกไม่ช่วย อาจถึงขั้นจัดการนางด้วยซ้ำไป   

 

 

ตอนนี้ไทเฮาเรียกให้นางลุกขึ้น แม้ว่าน้ำเสียงจะไม่น่าฟัง และไม่น่าคุยด้วยเท่าไร แต่ก็ยังเป็นการแสดงออกกลายๆ ว่าตอบรับคำขอของนาง แล้วนางจะไม่สบายใจได้อย่างไร?  

 

 

หลังจากทุกคนลุกขึ้นมาแล้ว ไทเฮาก็พูดว่า “แต่สภาพของข้าตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ช่วยให้เกิดผลอะไร”  

 

 

“ไทเฮาท่านไม่ต้องทำอะไรเลยเพคะ” ถาวจวินหลันส่ายหน้า พูดว่า “ท่านเพียงแค่รักษาสุขภาพให้ดีเท่านั้นเพคะ ขอเพียงท่านยังอยู่ ฮองเฮาก็ไม่อาจกำเริบเสิบสานได้ตามใจชอบแล้วเพคะ อีกอย่างไม่ว่าจะปลดองค์รัชทายาทก็ดี หรือว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม บรรดาขุนนางผู้ใหญ่จะต้องถามความคิดเห็นของท่านอยู่แล้วเพคะ”  

 

 

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนั่นก็เป็นการวางแผนในทางที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ แต่ตอนนี้ขอเพียงแค่ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมา เรื่องราวก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีโดยทันที ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก อย่างไรฐานะของหลี่เย่ก็ไม่มั่นคง และทางด้านองค์รัชทายาทก็ไม่ได้เห็นว่าจะมีฐานที่มั่นคงนัก  

 

 

ตอนนี้คนที่ฐานมั่นคงที่สุดคือฮ่องเต้ ที่จริงแล้วหากฮ่องเต้อาการดีขึ้นได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุด  

 

 

กระทั่งเรื่องการกำจัดองค์รัชทายาท ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รีบร้อน สิ่งที่นางต้องการก็คือขอเพียงตอนนี้ลดทอนอำนาจของฮองเฮาได้ก็พอแล้ว ขอเพียงแค่ทั้งหมดนี้ไม่ได้กำหนดตายตัว พวกนางก็ยังมีโอกาสอยู่ดี  

 

 

นางไม่เร่งเรื่องกำจัดองค์รัชทายาทก็เพราะว่านางยังมีไพ่ตายอีกใบหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องระหว่างองค์รัชทายาทกับอี๋เฟย และเรื่องที่ฮองเฮาช่วยอี๋เฟยปกปิดสายเลือดมังกร นี่ก็มากพอให้องค์รัชทายาทตายไร้หลุมฝังแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องปลดองค์รัชทายาทเลย  

 

 

ถาวจวินหลันบอกเรื่องกังวลให้ไทเฮาฟัง ว่าไปตามหาหมอมากฝีมือที่พึ่งพาได้มาสองคน ด้วงกังวลว่าหมอหลวงภายในวังจะพึ่งพาไม่ค่อยได้ “ว่ากันว่า พระจากแดนอื่นนั้นสวดมนต์ดี แม้ว่าจะไม่ให้รักษา แต่มาจับชีพจรเสียหน่อยก็ดีนะเพคะ อีกอย่าง สูตรยาที่หมอหลวงภายในวังสั่งทำก็มีฤทธิ์เบาบางนัก แม้จะบอกว่าไม่ผิดอะไร แต่สุดท้ายแล้วก็เห็นผลช้า กระทบถึงเรื่องต่างๆ นะเพคะ”  

 

 

ที่จริงแล้วไทเฮาก็แอบเป็นกังวลอยู่ว่าหมอหลวงจะพึ่งพาไม่ได้ พอได้ยินคำพูดของถาวจวินหลันก็เริ่มคล้อยตาม แต่เพราะยังไม่อาจทิ้งศักดิ์ศรีไปได้ จึงไม่ยอมเอ่ยปากรับคำ  

 

 

ถาวจวินหลันพอคาดเดาความรู้สึกในใจของไทเฮาได้บ้างจึงพูดว่า “ที่จริงแล้วท่านอ๋องกตัญญูเพคะ สั่งให้หม่อมฉันไปหาคนมา ไม่เพียงแค่ทางด้านไทเฮาเท่านั้น เขาเองก็คิดถึงทางด้านฮ่องเต้เช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นหรือไม่ คิดดูแล้วจึงมาถามไทเฮาให้ท่านช่วยคิดหน่อยเพคะ”  

 

 

ไทเฮาถึงได้พูดว่า “ในเมื่อตวนชินอ๋องมีใจกตัญญู ข้าเองก็ไม่ทำให้เขาเสียน้ำใจ พรุ่งนี้ก็ให้เข้ามาเถิด เอาป้ายตราของข้าไป ข้าจะดูว่ามีใครกล้าขัดขวาง!”  

 

 

ถือป้ายตราของไทเฮา ย่อมไม่มีใครกล้าห้ามเป็นแน่ หากกล้าขวางจริง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว ถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ดี ต่อให้ฮองเฮาไม่ยินยอมเพียงใด ก็ไม่มีทางห้ามไม่ให้ไทเฮาเชิญหมอจากข้างนอกเข้ามาในวังหลวงได้เป็นแน่   

 

 

“ทางด้านฮ่องเต้ รอดูฝีมือของหมอจากนอกวังก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” ไทเฮานิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงได้พูดเข่นนี้ ขอแค่หมอนอกวังมีฝีมือทางการแพทย์ดี จะพาไปตรวจฮ่องเต้ก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ถึงเวลานั้นก็พูดได้ว่านางเป็นคนสั่งให้ไป ยังจะมีใครกล้าขัดอีก? มั่นใจว่าฮองเฮาไม่กล้า นอกเสียจากฮองเฮาไม่กลัวว่าองค์รัชทายาทจะถูกตราหน้าด่า!  

 

 

ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจออกมา ขอเพียงแค่ไทเฮายอมร่วมมือ ก็จะแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง  

 

 

พอพูดจบไทเฮาก็ไม่ได้มีท่าทีจะพูดต่อ แต่กลับค่อยๆ หลับตาลง  

 

 

ถาวซินหลันเห็นสถานการณ์ก็ลอบถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ไทเฮาเหนื่อยแล้ว พวกท่านออกไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ วันอื่นค่อยมาใหม่นะเจ้าคะ”  

 

 

ถาวจวินหลันก็รู้ว่ายามนี้ไทเฮาคงไม่อยากเห็นหน้านางเป็นแน่ ย่อมไม่คิดจะรั้งอยู่ต่อให้เกะกะสายตาไทเฮา ดังนั้นจึงเดินนำออกไปก่อน  

 

 

องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็เดินตามออกไป เหลือเพียงแค่ถาวซินหลันคนเดียวที่ยังอยู่ในห้อง  

 

 

หลังออกมาจากในห้อง ทั้งสามคนก็สบตากัน มองเห็นความขมขื่นกล้ำกลืนจากใบหน้าของแต่ละคน  

 

 

“ไทเฮาหัวแข็งไปหน่อย” ถาวจวินหลันถอนหายใจ พูดรำพันเสียงเบา จากนั้นก็รวบรวมความกล้าขึ้นมาใหม่ “ในเมื่อเข้าวังหลวงมาแล้ว พวกเราก็จะต้องไปทำความเคารพองค์รัชทายาทและฮองเฮาด้วยใช่หรือไม่?”  

 

 

องค์หญิงเก้าและองค์หญิงแปดสบตากัน ก่อนพยักหน้าเบาๆ พวกนางย่อมต้องไป มิเช่นนั้นเข้ามาเพียงเพราะเยี่ยมไทเฮา จะพูดอย่างไรก็ไม่น่าฟังอยู่ดี  

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปวังของฮ่องเต้ก่อนแล้วกัน” ถาวจวินหลันพยักหน้า ตัดกระโปรงอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปยังวังของฮ่องเต้ ตอนนี้ในวังหย่งโซ่วมีถาวซินหลันอยู่ดูแลไทเฮา นางย่อมต้องวางใจขึ้นหลายส่วน อย่างน้อยคนที่ฮองเฮาส่งมาก็ไม่ได้ทำงานง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว  

 

 

ไม่ใช่เพราะถาวซินหลันมีความสามารถหรืออะไร แต่เพราะถาวซินหลันแรงดี หากมีไทเฮาคอยค้ำยัน บวกกับจางหมัวหมัว ไม่ว่าอย่างไรก็ทำสำเร็จ  

 

 

เพียงไม่นานก็เดินมาถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ วังไท่เหอ ทหารยามที่นี่เข้มงวดกว่าของไทเฮามาก ถาวจวินหลันต้องพูดจุดประสงค์ในการมาอย่างละเอียดถึงได้เข้าไป นี่ทำให้นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย นางนึกว่าฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาแล้ว  

 

 

แต่ถาวจวินหลันก็ได้รู้ทันทีว่าสิ่งที่ตนเองเดานั้นผิด  

 

 

เพราะนางไม่ได้พบฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย ฮองเฮาพบพวกนาง พูดคุยด้วยเล็กน้อย แล้วก็ให้พวกนางกลับไปก่อน  

 

 

ถาวจวินหลันจับสังเกตได้ว่าด้านนอกยังมีพระสนมกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ แน่นอนว่าหมอหลวงก็อยู่ด้วยเช่นกัน ลองนับดูแล้วก็มีประมาณเจ็ดแปดคน ไม่เห็นขันทีเป่าฉวน คิดว่าคงดูแลปรนนิบัติอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้  

 

 

ฮองเฮาดูแล้วอิดโรยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังดูทรงอำนาจ ฮองเฮามองพวกนางทั้งหลายอย่างอบอุ่น หัวเราะและพูดว่า “ลำบากพวกเจ้าแล้ว แต่เพราะฮ่องเต้ยังบรรทมอยู่ และต้องการความเงียบสงบ จึงไม่อาจปล่อยพวกเจ้าเข้าไปทำความเคารพได้”  

 

 

จากคำพูดที่ฮองเฮาบอกให้ทำความเคารพผ่านประตู ถาวจวินหลันถึงได้เอ่ยปากพูดออกมา   

 

 

นางพูดกับฮองเฮาเสียงเบา “เหนียงเหนียงควรรักษาสุขภาพด้วยเช่นกันนะเพคะ ตอนนี้ในวังหลวงมีสามคนที่ล้มป่วยลงแล้ว หากเหนียงเหนียงล้มลงไปอีกคน เช่นนั้นก็จะไม่มีเสาหลักจริงๆ แล้วนะเพคะ”  

 

 

ฮองเฮายิ้มบางๆ “ลำบากพวกเจ้าเป็นกังวลแทนข้าแล้ว พวกเจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ได้เป็นเต้าหู้ ไฉนเลยจะอ่อนแอถึงเพียงนั้น”  

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มตอบ “เสด็จป้าพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือเพคะ? หม่อมฉันเป็นห่วงท่านถือเป็นเรื่องสมควรเพคะ จริงซี ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”  

 

 

ฮองเฮาได้ยินคำว่า ‘เสด็จป้า’ สองคำนี้ ก็รักษารอยยิ้มและความทรงอำนาจบนใบหน้าไม่ได้อีก ด้วยมีความเฉียบคมเข้ามาแทนที่ แล้วจ้องเขม็งไปที่ถาวจวินหลัน  

 

 

ถาวจวินหลันตอบโต้ด้วยความอ่อนน้อม พูดว่า “หม่อมฉันขอทำความเคารพท่านแทนท่านแม่เพคะ แต่เดิมนั้นท่านแม่คิดจะเข้ามาในวังหลวงด้วยตนเอง แต่ด้วยสุขภาพไม่ค่อยดีนัก จึงทำได้แค่ให้หม่อมฉันมาทำแทนนาง ขอให้เสด็จป้าอย่าถือสาเลยนะเพคะ”  

 

 

สีหน้าของฮองเฮาบิดเบี้ยว ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้รักษาท่าทีเอาไว้ได้ สุดท้ายแล้วก็หัวเราะพูดว่า “ลำบากให้พวกเจ้าเหนื่อยแล้ว แต่ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่มาคุยเล่นกัน พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด”  

 

 

หลังออกมาจากวังไท่เหอ ท่าทีของแต่ละคนก็ไม่ค่อยน่าดูนัก เห็นสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าฮ่องเต้คงยังไม่ฟื้นขึ้นมา  

 

 

ไม่นานก็พาไปถึงตำหนักที่องค์รัชทายาทพักอยู่ ย่อมต้องเป็นพระชายาองค์รัชทายาทออกมารับพวกนาง มองดูท่าทางอิดโรยอ่อนแรงของพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว ก็รู้ได้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทคงหนักใจไม่น้อย สองวันมานี้คงไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายเป็นแน่  

 

 

ใช่แล้วองค์รัชทายาทสร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ พระชายาองค์รัชทายาทจะสบายใจได้ก็แปลกแล้ว ถ้าเป็นใครก็คงทำตัวสบายใจไม่ได้  

 

 

หลังจากถาวจวินหลันยิ้มและพูดคุยกับพระชายาองค์รัชทายาทเล็กน้อยแล้ว ก็เห็นว่าหยวนฉงหวาเดินออกมา เมื่อเทียบกับพระชายาองค์รัชทายาท หยวนฉงหวาดูมีท่าทางสบายกว่าเล็กน้อย แม้จะบอกว่าดูอิดโรยเล็กน้อย แต่กลับไม่เหมือนว่าเป็นเพราะห่วงองค์รัชทายาท  

 

 

ถาวจวินหลันอดคิดเรื่องเลวร้ายไม่ได้ว่า หยวนฉงหวาอยากดูองค์รัชทายาทตกต่ำ หรือว่าตื่นเต้นเกินไปจนนอนไม่ค่อยหลับ?  

 

 

หยวนฉงหวายิ้มพลางพูดกับพระชายาองค์รัชทายาทว่า “พระชายาเหนื่อยแล้วเพคะ มิสู้ให้หม่อมฉันรับแขกเอง พูดไปแล้ว ข้ากับชายารองถาวก็เคยรู้จักกันมาก่อน ถือว่ารู้จักกันมานานแล้ว”  

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทรู้อยู่แก่ใจว่าหยวนฉงหวาต้องการแย่งหน้าตนเอง แต่ตอนนี้นางก็ไม่มีใจจะมาเชือดเฉือนกับพวกถาวจวินหลันแล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้าน้อยๆ และขอโทษทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปด้วยข้ออ้างว่าขอตัวไปดูแลองค์รัชทายาท  

 

 

หยวนฉงหวาต้อนรับทุกคนตามปกติ เชิญไปนั่งดื่มชาและทานของว่าง  

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มพลางถามถึงอาการขององค์รัชทายาท  

 

 

หยวนฉงหวากวาดตามองบ่าวรับใช้รอบข้างทีหนึ่ง น้ำเสียงแฝงความท้าทายออกมาอย่างไม่ปิดบัง “องค์รัชทายาทแข็งแรงอยู่ เมื่อวานนี้ยังเรียกให้นางสนมสองคนมาอุ่นเตียงอยู่เลย”  

 

 

คำพูดเปิดเผยเช่นนี้ทำให้ถาวจวินหลันและองค์หญิงทั้งสองหน้าแดงหูแดงเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงนางกำนัลที่อยู่รอบด้านเลย  

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าหยวนฉงหวาจะต้องจงใจแน่นอน เพิ่งเกิดเรื่องได้ไม่นาน องค์รัชทายาทดูจะกล้าเกินไปแล้ว ถึงเวลานี้ยังกล้าร่ำร้องเพลงทุกค่ำคืนอีกอย่างนั้นหรือ? ไม่กลัวคนอื่นหาว่าอกตัญญูหรืออย่างไร?  

 

 

แม้แต่ฮองเฮา แม้ว่าอยากให้ฮ่องเต้หมดลมหายใจ แต่ก็ยังต้องคอยเฝ้าดูอยู่ แสดงท่าทีเป็นห่วงให้เห็นบ้าง  

 

 

ถ้าหยวนฉงหวาไม่ได้โกหก อย่างนั้นก็คงเพราะองค์รัชทายาทมีเสาหลัก เขาจึงไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น  

 

 

ถาวจวินหลันกำลังครุ่นคิด หยวนฉงหวาก็ส่งส้มลูกหนึ่งมาให้ ยิ้มและพูดว่า “ส้มนี้เป็นของบรรณาการ ทั้งใหญ่และหวาน เจ้าลองชิมดู”  

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป ยื่นมือออกไปรับ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกได้ว่าใต้ผลส้มมีน้ำตาเทียน จึงรับมาถือเล่นไว้ในมือ ยิ้มและพูดว่า “ในจวนของพวกเราก็ได้รับมาบ้าง ใช้ได้เลยทีเดียว”  

 

 

ถาวจวินหลันถือเล่นไปพลาง แอบแกะน้ำตาเทียนในส้มออกมาพลาง แล้วก็แอบเอาไปซ่อนไว้ในแขนเสื้อ