บทที่ 500 สวรรค์เมตตา

บัลลังก์พญาหงส์

หลังจากกินส้ม พลางคุยเรื่องสับเพเหระไปเล็กน้อยแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้ลุกขึ้นขอตัวลา จากนั้นทั้งสามคนก็ออกจากวังหลวงไป 

 

 

           เพราะทางเดียวกัน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อไปทางเดียวกัน ไม่สู้ไปพร้อมกันดีกว่า ทุกคนนั่งรถม้าคันเดียวกัน จะได้คุยกันสะดวกด้วย” 

 

 

           “เช่นนั้นก็นั่งรถม้าของข้าเถิดเจ้าค่ะ” องค์หญิงแปดยิ้มพลางพูดว่า “รถม้าของข้าสั่งทำเป็นพิเศษ ไม่เพียงแค่กว้างขวางแล้วยังอบอุ่นมาก ที่สำคัญก็คือภายในยังมีชาและของว่างให้ทานอีกด้วยเจ้าค่ะ ทรมานอยู่ในวังหลวงมานาน ข้าเริ่มรู้สึกหิวแล้ว” 

 

 

           ถาวจวินหลันย่อมเห็นด้วย หัวเราะพลางคล้องแขนขององค์หญิงเก้า แล้วพูดว่า “เช่นนั้นพวกข้าทั้งสองคนต้องขอสัมผัสเสียหน่อยแล้ว ข้ายังคิดจะแวะซื้อของกินตอนผ่านร้านขนมระหว่างทาง เจ้ามีของกินก็ช่วยประหยัดเงินข้าได้แล้ว” 

 

 

           องค์หญิงเก้าก็หัวเราะพลางรับคำ แต่กลับปรับตัวตามความคึกของถาวจวินหลันไม่ค่อยทัน นางจึงยังเกร็งๆ อยู่บ้าง 

 

 

           ถาวจวินหลันไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้ กลับเป็นองค์หญิงแปดที่เหลือบมององค์หญิงเก้าทีหนึ่ง พลางส่งยิ้มไปให้องค์หญิงเก้า 

 

 

           เพียงไม่นาน ทั้งสามคนก็ขึ้นไปบนรถม้า 

 

 

           ถาวจวินหลันยิ้มพลางพูดกับองค์หญิงแปด “ข้าเห็นเจ้าพูดคุยกับอิงผินเหนียงเหนียง อิงผินเหนียงเหนียงได้พูดเรื่องอาการป่วยของฮ่องเต้บ้างหรือไม่?” นางอยากสืบสาวถึงแก่นแท้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าองค์หญิงแปดอาจปิดบังอะไรนางอยู่ แต่เพราะนางรู้สึกใจร้อนเท่านั้นเอง อีกทั้งองค์หญิงแปดก็ไม่ใช่คนคิดมากเช่นนั้น 

 

 

           องค์หญิงแปดก็ไม่ได้มีท่าทีใส่ใจอย่างที่คาดเอาไว้ นางยิ้มพลางหยิบก้อนน้ำตาเทียนออกมาจากแขนเสื้อเม็ดหนึ่ง “เสด็จแม่ให้ข้ามาเจ้าค่ะ คิดว่าเป็นเรื่องที่พวกเราอยากรู้” 

 

 

           องค์หญิงแปดเปิดเผยขนาดนี้ กลับทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกละอายใจอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “ที่จริงแล้วหยวนซื่อเองก็เอาข้อมูลบางอย่างให้ข้าเช่นเดียวกัน”             

 

 

           องค์หญิงเก้าบีบก้อนน้ำตาเทียนออก ยิ้มและพูดว่า “ดูของข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

           ภายในก้อนน้ำตาเทียนนั้นมีกระดาษอยู่แผ่นหนึ่ง ข้างบนนั้นใช้ตัวหนังสือเล็กบางเขียนเอาไว้สองบรรทัด องค์หญิงแปดอ่านแล้วก็มีท่าทีตื่นตกใจ พลางส่งให้องค์หญิงเก้าและถาวจวินหลันดู “เสด็จแม่ของข้าสงสัยว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้ฟื้นแล้ว” 

 

 

           ถาวจวินหลันกวาดตามองแผ่นกระดาษ ข้างบนนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ข้าคิดว่าบนนั้นตื่นแล้ว จงใจแสร้งเพื่อหลอกทุกคน จงรอบคอบ รอบคอบ’ 

 

 

           องค์หญิงเก้าขมวดคิ้ว รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “หากเป็นเรื่องจริง เรื่องเหล่านั้นที่พวกเราทำ…” 

 

 

           ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหัว “ต่อให้เป็นจริงแล้วพวกเราทำอะไรได้เล่า? เพียงแค่เชิญหมอมาตรวจไทเฮาเท่านั้นเอง เรื่องอื่นไทเฮาไม่พูด แล้วใครจะรู้เล่า?” 

 

 

           หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็หัวเราะขมขื่น “ต่อให้รู้ ในใจของฮ่องเต้รู้ดีก็ไม่มีวิธีอยู่ดี” หากฮ่องเต้รู้เข้า องค์หญิงทั้งสองคนก็คงไม่เป็นอะไรแน่ อย่างไรก็เป็นลูกสาวแท้ๆ แต่นางกลับไม่ใช่ 

 

 

           องค์หญิงแปดหัวเราะ “ไฉนเลยจะรู้ได้เล่า วางใจเถิด” แต่ในใจกลับคิดว่า ต่อให้ฮ่องเต้ทราบเรื่อง ก็ต้องทำเป็นไม่รู้ อย่างไรจะพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร? อีกอย่างการปะทะกันระหว่างตวนชินอ๋องและองค์รัชทายาทก็มีสาเหตุมาจากฮ่องเต้ คิดดูแล้วคงจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น 

 

 

           ถาวจวินหลันพยักหน้า หยิบก้อนน้ำตาเทียนที่หยวนฉงหวามอบให้ แล้วบีบเอาแผ่นกระดาษข้างในออกมา ข้างบนนั้นมีเพียงแค่สองคำ ‘สิทธิทหาร’ 

 

 

           ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความหมายของหยวนฉงหวา ฉับพลันก็แค่นหัวเราะอกมา พลางเอาแผ่นกระดาษให้องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าดู แต่เมื่อทั้งสองคนอ่านแผ่นการะดาษแล้วกลับมึนงงอยู่เล็กน้อย 

 

 

           ถาวจวินหลันจึงอธิบาย “ตระกูลหวังเป็นตระกูลเชื้อพระวงศ์ มีหัวกะทิมากมาย ครองตำแหน่งขุนนางไม่รู้ตั้งเท่าไร เช่นเดียวกัน สิทธิทางการทหารในมือตระกูลหวังแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องระแวง อย่าลืมว่าองค์รัชทายาทครอบครองตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อย่างไร” 

 

 

           องค์หญิงแปดเข้าใจทันที ท่าทีมืดมนลงไปสองส่วน “องค์รัชทายาทมีคนหนุนหลังอยู่จึงไม่กลัวเกรงใดๆ ไม่แปลกที่ไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย” ขอเพียงแค่มือสิทธิทางการทหารอยู่ในมือ ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ไม่มีทางสั่นคลอนได้ง่ายแน่นอน 

 

 

           ถาวจวินหลันเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ก่อนหน้านี้นางเองก็เคยคิดมาก่อน แต่นางคิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะกล้าทำอย่างเปิดเผยเช่นนี้ อีกทั้ง แม้จะพูดว่าตระกูลหวังถืออำนาจทางการทหารเอาไว้ในมือ แต่นั่นก็อยู่บริเวณชายแดนทั้งนั้น ที่บอกว่าน้ำจากที่ไกลไม่อาจช่วยดับไฟใกล้ได้ แต่หยวนฉงหวาตั้งใจพูดเรื่องนี้ ก็อธิบายได้ว่าฮองเฮาและองค์รัชทายาทเตรียมพร้อมมานานแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช้วิธีเชื่องช้าในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 

 

 

           แน่นอนว่าตัวแปรสำคัญที่สุดก็คือฮ่องเต้ ถ้าฮ่องเต้ไม่ได้แสร้งทำ ก็ไม่ต้องเอามาใส่ใจ แต่หากฮ่องเต้แสร้งทำ…เรื่องนี้ก็จะซับซ้อนยิ่ง 

 

 

           พริบตาเดียว ในรถม้าก็เงียบกริบ พอถึงจวนตวนชินอ๋องแล้ว ถาวจวินหลันก็เดินลงจากรถไปก่อน พลางยิ้มและพูดว่า “ต้องรบกวนเจ้าให้มาส่งพวกเราแล้ว” 

 

 

           องค์หญิงแปดเม้มปากหัวเราะ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ห่างกันไม่ไกล อีกอย่างข้ากับน้องเก้าจะได้พูดคุยกันด้วย” 

 

 

           ถาวจวินหลันถึงได้เดินเข้าไปในจวนด้วยความสบายใจ 

 

 

           พอรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง องค์หญิงแปดถึงได้มองไปยังองค์หญิงเก้าทีหนึ่ง ยิ้มพลางถอนหายใจพูดว่า “พูดตามจริงแล้ว ข้าเองยังอิจฉาเจ้าที่มีพี่น้องของสามีดีถึงสองคน ล้วนผูกสัมพันธ์ง่ายทั้งนั้น อีกทั้งยังเป็นคนดี ไม่เคยทำให้เจ้าลำบากใจ ไฉนเลยจะเหมือนกับบรรดาพี่สามีเหล่านั้นของข้า ต่อหน้าดูเคารพ แต่ลับหลังกลับพูดเรื่องไม่ดีของข้าต่อหน้าแม่สามี แล้วยังชอบมาขอของจากข้าทุกครั้งไป ช่างไม่น่านับถือเสียเลย” 

 

 

           องค์หญิงเก้ามององค์หญิงแปดทีหนึ่ง ยิ้มและพูดว่า “พี่แปดพูดตลกแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

           “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร แต่ถ้าข้าเป็นเจ้าคงจะพึงพอใจแล้ว ที่จริงเจ้าควรจะคิดเช่นนี้ ต่อไปนางเป็นพระชายาหรืออาจจะมากกว่านั้น ขอเพียงแค่เจ้าดีกับนาง ไม่เพียงแค่เจ้า แต่ทั้งตระกูลกู้ก็จะได้รับประโยชน์ไม่น้อย แม้กระทั่งลูกของเจ้าก็จะมีหลักประกัน” องค์หญิงแปดพูด พลางถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่เหมือนกับข้า ข้ากับพี่รองไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ตอนนี้จะสานสัมพันธ์ใหม่ก็ไม่อาจแน่นแฟ้นเท่าพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่ได้ขออะไรมาก เพียงแค่คาดหวังให้ลูกของข้าในอนาคตมีหน้ามีตา และมีอนาคตดีก็เท่านั้น แม้ว่าพวกเราเป็นองค์หญิง แต่ก็แค่พวกเราเท่านั้น หากพวกเราตายไป จวนองค์หญิงและที่ดินก็ต้องถูกเก็บกลับไป เจ้าว่าในอนาคตจะมีอะไรเหลือให้ลูกบ้าง? เจ้ายังดี อย่างไรแล้วก็ยังมีสายเลือดตระกูลกู้อยู่บ้าง ลูกที่เกิดมาไม่มีทางอาภัพเป็นแน่” 

 

 

           ไม่เหมือนกับครอบครัวของตน คู่ครองของตนนั้นเป็นลูกคนเล็ก พอแยกเรือนออกมาก็ได้รับอะไรนัก แล้วจะเอาอะไรกับทรัพย์สมบัติที่แต่เดิมก็ไม่ได้มีเยอะ ถ้าไม่คิดหาวิธี ต่อไปนี้จะทำอย่างไร? 

 

 

           องค์หญิงเก้าฟังแล้วก็นิ่งไป ผ่านไปพักใหญ่ก็พูดอะไรไม่ออก มององค์หญิงแปดอีกครั้งด้วยความตื่นตะลึง นางคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงแปดจะมีเรื่องให้วุ่นวายมากมายเช่นนี้ ที่จริงแล้วนางอิจฉาองค์หญิงแปดมาโดยตลอด องค์หญิงแปดมีมารดาคอยปกป้องคุ้มครอง คู่ครองก็เป็นคนใช้ได้ และทั้งคู่ดูรักใคร่กันดีมาก 

 

 

           ตราบจนองค์หญิงแปดพูดเรื่องนี้เอง นางถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วทุกคนก็เหมือนกัน ด้านนอกดูสดใส แต่ข้างในกลับวุ่นวายไม่รู้ตั้งเท่าไร 

 

 

           เมื่อคิดเช่นนี้เหมือนว่าความคิดอิจฉาก่อนหน้านี้ก็สงบลง 

 

 

           องค์หญิงแปดเห็นองค์หญิงเก้านั่งครุ่นคิดบางอย่าง ก็หัวเราะพูดว่า “สามีน้องเก้าก็ไม่ได้มีตรงไหนแย่ อายุน้อยมีความสามารถ และใส่ใจเจ้ามาก แม้นพวกเราเป็นองค์หญิง แต่เสด็จแม่ของข้ากลับบอกข้าว่าองค์หญิงก็เป็นภรรยาคนอื่นเช่นเดียวกัน เป็นแม่คน ในเมื่อเป็นภรรยาเป็นมารดา ก็จะต้องคิดให้ดีว่าควรทำเช่นไร” 

 

 

           ฐานะองค์หญิงนั้นมีประโยชน์ สามารถนำผลประโยชน์มาให้พวกนางได้ไม่น้อย แต่ถ้าอยากวางมาดองค์หญิงตลอดไป นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้ 

 

 

           องค์หญิงเก้ามองท่าทีจริงใจขององค์หญิงแปด รู้สึกสั่นคลอนเล็กน้อย พร้อมกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบคุณพี่แปดที่เตือนเจ้าค่ะ” 

 

 

           “เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ก่อนหน้านี้อยู่ในวังมีเรื่องมากมายที่ไม่อาจกำหนดได้ ตอนนี้ออกจากวังหลวงแล้ว พวกเราก็ควรต้องรักษาความสัมพันธ์พี่น้องเอาไว้ให้ดีซี” องค์หญิงแปดยิ้มพลางพูดออกมา จากนั้นก็มองไปข้างนอก พูดว่า “เอาเถิด เจ้าควรจะลงรถได้แล้ว มาถึงแล้ว” 

 

 

           พอลงมาจากรถม้าขององค์หญิงแปด องค์หญิงเก้าก็มีท่าทีตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกหนาวเย็นจนไม่เหลือความอุ่นเหลืออีก แต่พอถูกบ่าวรับใช้เร่งถึงได้สติกลับมา 

 

 

           พูดตามจริง นางคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงแปดจะพูดเช่นนี้ อีกทั้งคำพูดเหล่านี้ก็ส่งผลต่อความคิดของนางมากด้วย 

 

 

           องค์หญิงเก้านั่งนิ่งอยู่คนเดียวกว่าค่อนวัน เก็บคำพูดขององค์หญิงแปดมาครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียด สุดท้ายแล้วก็เริ่มเข้าใจบางส่วน จึงสั่งบ่าวรับใช้ว่า “ให้คนไปยืนรออยู่หน้าประตู หากนายท่านกลับมาก็บอกให้นายท่านมาหาข้า” คิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งให้ห้องครัวเตรียมเหล้าและอาหาร 

 

 

           ทางด้านถาวจวินหลันย่อมไม่รู้เรื่องเหล่านี้ นางยังคิดว่ากระดาษที่หยวนฉงหวาให้นางมา สุดท้ายแล้วเป็นตามที่นางคาเดาจริงหรือไม่ 

 

 

           แล้วยังมีกระดาษที่อิงผินมอบให้องค์หญิงแปดอีก 

 

 

           ปัญหาเหล่านี้นางยังคงคิดไม่ตกตราบจนหลี่เย่กลับมา 

 

 

           หลี่เย่ดูมีท่าทีเหนื่อยล้า เห็นได้ว่าเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว ถาวจวินหลันรีบเข้าไปช่วยเขาเปลี่ยนชุด และชงชาให้เขาเพื่อคลายความเหนื่อยก่อน แล้วถึงได้นั่งลงข้างเขา หัวเราะขมขื่นพลางพูดว่า “วันนี้ข้าเข้าวังหลวงไปรอบหนึ่ง ได้กระดาษแผ่นหนึ่งมาจากหยวนซื่อเพคะ” พูดพลางส่งกระดาษชิ้นนั้นให้หลี่เย่ 

 

 

           หลี่เย่มองเพียงแค่ครู่เดียวก็พยักหน้า “ตระกูลหวังมีแม่ทัพอายุน้อยอยู่หลายคน ในขณะเดียวกันนายกองที่ไปออกรบจนได้รับชัยชนะก็กลับมาในราชสำนักแล้ว” 

 

 

           การรบบริเวณชายแดนมีอยู่ตลอด แต่ปกติแล้วล้วนเป็นแบบผลัดกันไปมา ไม่เคยมีเวลาไหนสิ้นสุด ครั้งนี้พลันได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ ดูคล้ายมีเลศนัย กลับทำให้คนอดคิดเยอะไม่ได้ 

 

 

           ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “พวกเขาได้รับจดหมาย รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” ที่สำคัญที่สุดก็คือรู้ล่วงหน้าก่อนนานแล้ว อย่างไรการส่งจดหมายไปมาสักครั้งหนึ่งก็กินเวลาไม่น้อยเลยทีเดียว 

 

 

           หลี่เย่ส่ายหน้าพลางอธิบายว่า “ไม่ใช่ว่ารู้ข่าวมาก่อนล่วงหน้า ต้องพูดว่าวางแผนมาก่อนแล้ว เสด็จพ่อลดทอนอำนาจองค์รัชทายาท เกรงว่าองค์รัชทายาทและฮองเฮาคิดจะใช้เรื่องนี้มาทำให้เสด็จพ่อยกเลิกการกดดันเช่นนี้ และสร้างฐานอำนาจให้องค์รัชทายาทใหม่อีกครั้ง” 

 

 

           จังหวะเวลาพอดีกับเรื่องนี้ ก็พูดได้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญ หลี่เย่ยิ้มเฝื่อนพลางส่ายหน้า “สวรรค์ลิขิตเช่นนี้ คนธรรมดาไม่อาจทำลายได้” สวรรค์ยังช่วยองค์รัชทายาท แล้วเขาจะสวนทางกับคำสั่งฟ้าได้อย่างไร? 

 

 

           ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่พูดเช่นนี้แล้ว ก็รู้ว่าครั้งนี้คงหมดโอกาส แต่นางก็ยังพูดว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไรองค์รัชทายาททำเรื่องเช่นนี้ก็ถือว่าขาดศีลธรรมอยู่ดี ไม่มีเหตุผล ต่อให้ไม่อาจปลดองค์รัชทายาทได้จริง แต่ก็ทำให้ตระกูลหวังไม่มีหน้าออกมาพูดแทนองค์รัชทายาทแล้ว อีกอย่างฮ่องเต้ก็ยังดีอยู่ จะต้องหายดีเป็นแน่ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะกล้าทำเรื่องเนรคุณได้ลงคอ!”