ตอนที่ 718 รับรู้ได้ / ตอนที่ 719 ตั้งสัตย์สาบานด้วยชีวิตของเซียวเหยี่ยน

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 718 รับรู้ได้

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาในวังหลวง ยามเมื่อเฉินมั่วฉือมาเยี่ยม ไทเฮาก็จะทรงสั่งการให้คนตระเตรียมลิ้นจี่เอาไว้ ด้วยเหตุนี้นางกำนัลทั้งสองจึงมิได้เคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของหลิงอวี้จื้อแต่อย่างใด รีบออกไปตระเตรียมทันที

 

 

จากนั้นหลิงอวี้จื้อก็กลับไปรอที่ห้อง เฉินมั่วฉือโปรดปรานลิ้นจี่ ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่นางอยู่ข้างกายเฉินมั่วฉือถึงได้รู้

 

 

ในตอนนั้นนางคือสหายร่วมศึกษาของเฉินมั่วฉือ เพื่อที่จะสามารถคลุกคลีกทำความรู้จักกับเขาได้ง่ายขึ้น นางจึงต้องศึกษาความชอบส่วนตัวของเฉินมั่วฉือให้ละเอียด เช่นว่าเขาชอบกินอะไร ไม่ชอบกินอะไร ล้วนแต่ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง

 

 

หลิงอวี้จื้อชอบดื่มชาส้มโอน้ำผึ้งที่สุด นอกจากนี้แล้วยังแฟนคลับเหนียวแน่นของน้ำผึ้งอีกด้วย นางชอบที่จะกินผลไม้จิ้มกับน้ำผึ้ง ทั้งยังเคยแนะนำวิธีการกินแบบนี้ให้กับเฉินมั่วฉืออีกด้วย ทว่ากลับถูกเขาเมินเสียนี่

 

 

คืนชีพกลับมาครั้งนี้ เมื่อยามที่ยังพำนักอยู่ในวัง นางสังเกตเห็นว่าเฉินมั่วฉือก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการกินผลไม้เช่นกัน ทุกคนในวังหลวงต่างก็รู้ดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใด

 

 

น้ำผึ้งจากดอกกุ้ยฮวาคือน้ำผึ้งชนิดหนึ่งที่นางชื่นชอบที่สุด ซึ่งเรื่องนี้เฉินมั่วฉือเองก็รู้เช่นกัน ขอเพียงแต่นางกำนัลเอ่ยถึงน้ำผึ้งดอกกุ้ยฮวาเท่านั้น จะต้องดึงความสนใจจากเฉินมั่วฉือได้เป็นแน่

 

 

หลิงอวี้จื้อคอยอยู่สักครู่ พลันเฉินมั่วฉือก็มาถึงจริงๆ จื่ออีตื่นขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย และเตรียมที่จะไปปลุกมู่หรงกวานเย่ว์ทว่าถูกเฉินมั่วฉือห้ามเอาไว้

 

 

หลิงอวี้จื้อยืนอยู่ที่หน้าประตูด้านหลังของจื่ออีอย่างเงียบเชียบ

 

 

“ท่านอาจื่ออีหากว่าท่านเหน็ดเหนื่อย ก็ไปพักเสียเถอะ ข้าเพียงแค่ผ่านมาดูเสด็จแม่เท่านั้น”

 

 

เฉินมั่วฉือเมื่อเห็นจื่ออีสะลึมสะลือตาปรือจนแทบลืมไม่ขึ้นเช่นนั้นก็รู้ได้ในทันทีว่านางเพิ่งจะตื่นนอน

 

 

จื่ออีรีบกล่าวตอบอย่างนอบน้อม

 

 

“หม่อมฉันไม่เหนื่อยเพคะ”

 

 

ในตอนนั้นเองนางกำนัลก็ได้ยกลิ้นจี่และน้ำผึ้งดอกกุ้ยฮวาเข้ามา ซึ่งเฉินมั่วฉือไม่ได้เข้ามาด้านในห้อง จึงให้นางกำนัลวางสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ที่โต๊ะด้านนอก เขาปอกเปลือกลิ้นจี่แล้วตักน้ำผึ้งหนึ่งช้อนราดลงบนลิ้นจี่ ให้น้ำผึ้งฉาบทับจนทั่วลิ้นจี่ทั้งลูก แล้วเอ่ยขึ้นว่า

 

 

“น้ำผึ้งดอกกุ้ยฮวานี้ พวกเจ้ามีใครรู้หรือไม่ว่ามีสรรพคุณอะไร?”

 

 

“หม่อมไม่ทราบเกล้าเพคะ คำถามเช่นนี้ฝ่าบาทจะรับสั่งถามหมอหลวงจะดีกว่าเพคะ”

 

 

จืออีตอบด้วยความนอบน้อม

 

 

“ท่านอาจืออี ทุกครั้งที่ข้ามาเยี่ยมเสด็จแม่ ท่านจะต้องเตรียมน้ำผึ้งเอาไว้ให้ข้าทุกครั้ง ทว่าแม้แต่มันมีสรรพคุณอย่างไรท่านกลับไม่รู้เลยหรือ?”

 

 

“ขอฝ่าบาททรงประธานอภัยเพคะ เป็นความเลินเล่อของหม่อมฉันเอง”

 

 

จืออีคุกเข่าลง

 

 

“ขอได้ทรงโปรด ไทเฮาทรงเคยรับสั่งถึง บ่าวจึงพอรู้เพคะ”

 

 

จู่ๆ หลิงอวี้จื้อก็เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นหลิงอวี้จื้อเปิดปาก จื่ออีก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก นางหันหน้าตวัดสายตามองมายังหลิงอวี้จื้อเล็กน้อย ซึ่งหลิงอวี้จื้อก็ได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น

 

 

“ไหนลองว่ามาซิ”

 

 

เฉินมั่วฉือสีหน้าเรียบเฉย เขาใช้ช้อนตักลิ้นจี่ราดน้ำผึ้งใส่ปาก หลิงอวี้จื้อจึงเอ่ยต่อไปว่า

 

 

“น้ำผึ้งดอกกุ้ยฮวามีความหอมเป็นพิเศษจากดอกกุ้ยฮวา สีเหลืองอ่อนใส หวานแต่ไม่เลี่ยน รสชาติเป็นเลิศ”

 

 

“ข้าถามเจ้าว่าอะไร?”

 

 

เฉินมั่วฉือหน้านิ่วคิ้วขมวด

 

 

หลิงอวี้จื้อคุกเข่าลงกับพื้น

 

 

“บ่าวรู้เพียงเท่านี้เพคะ”

 

 

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ! เจ้าก็ไม่รู้มากเท่านาง”

 

 

เฉินมั่วฉือเหม่อลอย จากนั้นเขาก็นั่งอยู่สักครู่จึงได้กลับออกไป

 

 

หลังจากเฉินมั่วฉือกลับออกไปแล้ว จื่ออีก็หันมาซักไซ้หลินอวี้จื้อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

 

“เหตุใดเจ้าถึงเอ่ยปากขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยด้วยด้วย?”

 

 

“จื่ออีกูกู ขออภัยด้วย ข้าพลั้งเผลอหลงลืมไปชั่วขณะว่าตนเองต้องเป็นหญิงใบ้คนหนึ่ง สรุปแล้วข้าเพิ่งจะเข้ามา ฝ่าบาทเองก็ทรงมิรู้ว่าข้าจะกลายเป็นหญิงใบ้คนหนึ่ง จึงจะมิทรงใส่พระทัยในคำพูดของข้าอยู่แล้ว”

 

 

“เห็นทีว่าข้าจะต้องกราบทูลไทเฮาให้ทรงทำให้เจ้ากลายเป็นหญิงใบ้จริงๆ เสียแล้ว เช่นนี้เจ้าจะได้ไม่หลงลืมอีก ไทเฮาทรงเคยรับสั่งเอาไว้ ว่าหากเจ้าแสดงพิรุธต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทครั้งหนึ่ง ก็จะตัดแขนของมั่วชิงข้างหนึ่ง เมื่อครู่เจ้าพูดมากเกินไป ซึ่งคำพูดเหล่านั้นเพียงพอที่จะทำให้มั่วชิงต้องเสียแขนได้เลยทีเดียว”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 719 ตั้งสัตย์สาบานด้วยชีวิตของเซียวเหยี่ยน

 

 

หลิงอวี้จื้อถลึงตาโต

 

 

“อย่ารังแกกันให้มากเกินไปนักนะ ข้าอดกลั้นไม่พูดอะไรมาตั้งนาน อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว”

 

 

“แล้วสิ่งที่ข้ากล่าวออกไปเมื่อครู่ก็ปกติธรรมดาทุกอย่าง ข้ากับฝ่าบาทยังมิได้สนิทสนมคุ้นเคยกันถึงขั้นนั้นเสียหน่อย หากพวกเจ้ากล้าเตะต้องมั่วชิงละก็ อย่างมากก็แค่ตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้นเอง ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครมีจุดจบที่ดีเป็นแน่”

 

 

“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย หากมีครั้งหน้า ข้าจะเอาชีวิตของมั่วชิงเสีย”

 

 

“เฮอะ…”

 

 

หลิงอวี้จื้อสบถเสียงเข้ม เพราะในใจของนางรู้ดีว่า มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว ประโยคเมื่อครู่ แม้ว่านางจะมิได้เอ่ยอะไรออกไปเลย แต่ก็ได้เปิดเผยฐานะของตนเองออกไปแล้วและเฉินมั่วฉือก็จะต้องรู้เป็นแน่ เพราะเมื่อครั้งที่นางแนะนำวิธีการกินด้วยการใช้น้ำผึ้งเช่นนี้ก็ใช้ประโยคเดียวกันกับเมื่อครู่ หากว่าเฉินมั่วฉือยังพอจะคับคล้ายคับคลาละก็ เขาจะต้องจดจำดิอย่างแน่นอน

 

 

คืนนั้นขณะที่หลิงอวี้จื้อและจื่ออีกำลังนอนหลับอยู่นั้น ควันสีขาวก็ล่องลอยผ่านหน้าต่างกระดาษเข้ามา ไม่นานทั้งหลิงอวี้จื้อและจื่ออีต่างก็สลบไสล มีใครบางคนแอบเข้ามาอุ้มหลิงอวี้จื้อออกไป

 

 

ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หลิงอวี้จื้อมองเห็นห้องที่ไม่คุ้นตา นางสะดุ้งลุกขึ้นนั่งทันที ทันใดนั้นเฉินมั่วฉือก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นเฉินมั่วฉือ หลิงอวี้จื้อก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางนึกเอาไว้อยู่แล้วว่าเฉินมั่วฉือจะต้องจดจำนางได้ คิดเอาไว้ไม่ผิดเลย

 

 

“ฝ่าบาท พวกเราได้พบหน้ากันอีกแล้ว”

 

 

หลิงอวี้จื้อส่งยิ้มให้กับเฉินมั่วฉือ ก่อนจากกันคราวก่อน นางยังเอ่ยกับเขาอยู่เลยว่า ‘จนกว่าจะพบกันใหม่’ จนกว่าจะพบกันใหม่นี้มาถึงเร็วไปหน่อยกระมัง

 

 

เจ้าตกอยู่ในเงื้อมือเสด็จแม่ของข้าได้อย่างไร?

 

 

แน่นอนว่าหลิงอวี้จื้อไม่มีทางรักษาภาพลักษณ์ของมู่หรงกวานเย่ว์อยู่แล้ว นางจึงบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างงที่มู่หรงกวานเย่ว์กระทำต่อเซียงหนานให้กับเฉินมั่วฉือให้ได้รู้จนหมดสิ้น

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินมั่วฉือเข้มขึ้นทันตา หลิงอวี้จื้อถึงได้สบายใจขึ้นมาบ้าง มู่หรงกวานเย่ว์เองก็มีจุดอ่อน เช่นว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้านางนี้คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของมู่หรงกวานเย่ว์และก็คือบุคคลเพียงคนเดียวที่สามารถทำร้ายนางได้

 

 

“นี่เสด็จแม่ลงมือเหี้ยมโหดกับเซียงหนานเพียงเชียวหรือนี้ แล้วเจ้า รู้ทั้งรู้ว่าเป็นกับดัก เพราอะไรยังต้องไปอีก?”

 

 

เฉินมั่วฉือนั่งลงบนเตียงสายตาทอดมองมายังหลิงอวี้จื้อ

 

 

“เกิดเป็นคนก็มักจะต้องกระทำเรื่องโง่เขลาออกมาบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าเป็นกับดักก็ยังจะกระโจนลงไป แต่หากว่าข้าไม่กระโจนลงไปก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เซียงหนานจะเป็นอย่างไรบ้าง ไทเฮาทรงเหี้ยมโหดกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากนัก พระนางไม่สนใจความเป็นความตายของเซียงหนานเลยด้วยซ้ำ”

 

 

เฉินมั่วฉือส่ายหน้า

 

 

“เจ้าช่างโง่เหลือเกิน เพียงเพื่อเซียงหนานคุ้มค่าแล้วหรือ?”

 

 

“พระองค์เองก็กระทำเรื่องโง่เขลาลงไปไม่น้อยทีเดียว ทั้งๆ ที่ทรงรู้แก่พระทัยว่ากระทำแล้วไม่ส่งผลดีใดๆ ต่อพระองค์เองเลยเช่นกัน”

 

 

หลิงอวี้จื้อกล่าวจบก็มองไปยังเฉินมั่วฉือ

 

 

“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”

 

 

“ขอบคุณเพียงคำเดียวนี่นะหรือ?”

 

 

“ประโยคเดียวไม่พอ สองประโยคก็ได้”

 

 

เฉินมั่วฉือที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจู่ๆ ก็ฉีกยิ้มออกมา

 

 

“ศึกใหญ่ระหว่างข้าและเซียวเหยี่ยนใกล้เข้ามา ข้าจะไม่ใช้เจ้าเป็นเหยื่อล่อหรือหมากใดๆ แต่ข้าก็จะไม่ส่งเจ้ากลับไปอยู่ข้างกายเซียวเหยี่ยนเช่นกัน เซียวเหยี่ยนจะพาเจ้าไปได้ ก็ต่อเมื่อเอาชนะข้าได้เท่านั้น หากเขาเอาชนะข้าไม่ได้ ยังมีสิทธิ์อะไรจะมาดูแลเจ้าได้อีก อวี้จื้อ เจ้าต้องรับปากเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง หากว่าเซียวเหยี่ยนปราชัยในศึกนี้ เจ้าต้องกลับวังกับข้า กลับไปเป็นสนมหยวนต่อไป”

 

 

หลิงอวี้จื้อนึกไม่ถึงเลยว่าเฉินมั่วฉือจะจะคิดเงื่อนไขนี้ออกมาได้ นางเตรียมที่จะอ้าปากปฏิเสธ ทว่าเฉินมั่วฉือกลับเอ่ยปากขึ้นเสียก่อน

 

 

“หากว่าเจ้าไม่ยินยอมละก็ได้ ข้าก็จะส่งเจ้ากลับไปอยู่ข้างกายเสด็จแม่”

 

 

“ได้เพคะ ตกลงตามนั้น”

 

 

หลิงอวี้จื้อรีบรับปากในเร็วพลัน ตอนนี้นางจำเป็นต้องรับปากไปก่อนค่อยว่ากัน มิเช่นนั้นหากตกอยู่ในเงื้อมือของมู่หรงกวานเย่ว์อีกละก็ ความเป็นไปได้ที่จะเอาตัวรอดแทบจะเป็นศูนย์

 

 

อีกทั้งในตอนนี้นางก็รู้อยู่เต็มอกว่า หากไม่มีปัจจัยภายนอก เช่นนาง เซียวเหยี่ยนจะต้องกำชัยชนะได้อย่างแน่นอน

 

 

“ข้าสาบาน ข้าให้สัตย์สาบานด้วยชีวิตของเซียวเหยี่ยน”

 

 

หลิงอวี้จื้อกมือขึ้นเอ่ยคำสาบาน ผู้คนในยุคสมัยโบราณมักจะเชื่อในวิธีนี้ แต่นางไม่ เพียงแค่ลมปากประโยคเดียว กล่าวออกไปนางก็ลืมหมดแล้ว