ช่วงนี้เธอยุ่งอยู่กับงานนั้นงานนี้ ทั้งยังต้องจัดการกับเรื่องของชวนชม เกือบลืมไปแล้วจริงๆ
หากไม่ได้เป็นเพราะเขาเตือน เกรงว่าเธอคงนึกไม่ออก
“ฉันทราบแล้วค่ะ ฉันไปแน่นอน”มายมิ้นท์พยักหน้ารับคำ
เปปเปอร์ได้ยินว่าเธอรับปากแล้ว ประกายแห่งความสุขก็แวบวาบในดวงตา “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะให้คนส่งการ์ดเชิญมาให้”
“อึม งั้นฉันวางสายก่อนนะคะ”มายมิ้นท์พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ให้กับป้าทิพย์ทันที เพื่อบอกเป็นนัยว่าให้ป้าทิพย์วางสาย
ป้าทิพย์หยิบโทรศัพท์ไปพลางถามขึ้นว่า“ทำไมถึงไม่คุยกับคุณเปปเปอร์ต่อสักหน่อยละคะ?”
“ไม่มีอะไรต้องพูดนี่คะ”มายมิ้นท์คลึงที่หว่างคิ้วพลางตอบกลับ
ป้าทิพย์เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างเห็นใจ ราวกับกำลังเห็นใจเปปเปอร์ผ่านหน้าจอโทรศัพท์นี้
“ฉันทราบแล้วค่ะ ฉันจะวางสายเดี๋ยวนี้”คำพูดนี้ของป้าทิพย์ไม่ได้ต้องการพูดกับมายมิ้นท์เท่านั้น แต่ยังพูดกับคู่สายเปปเปอร์ด้วย
เปปเปอร์เห็นมายมิ้นท์พูดกับเขาเพียงไม่กี่ประโยคก็ต้องการวางสายแล้ว จึงรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างมาก
แต่ว่าต่อให้จนปัญญาก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องพูดแล้ว
และเธอก็ไม่เต็มใจที่จะคุยเล่นกับเขา
“วางเถอะครับ”เปปเปอร์ถอนหายใจเล็กน้อย พลางตอบกลับป้าทิพย์
เมื่อป้าทิพย์ได้ยินก็วางสาย
ตอนเย็น มายมิ้นท์ก็ได้รับการ์ดเชิญที่เปปเปอร์สั่งให้คนเอามาให้
เธอมองไม่เห็นเนื้อหาข้างใน ทำได้เพียงให้ป้าทิพย์ช่วยอ่านให้ฟัง หลักๆคือรายละเอียดของเวลาและสถานที่งานฉลองของท่านย่า
หลังจากจดจำสิ่งเหล่านี้แล้ว มายมิ้นท์ก็ให้ป้าทิพย์เอาการ์ดเชิญไปเก็บ
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดแปดสิบปีของท่านย่า อีกครึ่งเดือนถึงจะจัดขึ้น ในระยะเวลาครึ่งเดือนนี้ ดวงตาของเธอจะต้องกลับมาเป็นปกติอย่างแน่นอน
หลังจากที่รอให้ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว ค่อยไปเตรียมตัวชุดที่จะใส่ไปงานเลี้ยง รวมทั้งของขวัญที่จะมอบให้ท่านย่าก็ยังไม่ถือว่าช้า
เช้าวันรุ่งขึ้น มายมิ้นท์ได้รับความช่วยเหลือจากป้าทิพย์ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งรับประทานอาหารเช้าที่โต๊ะรับประทานอาหาร
ในเวลานี้ กริ่งประตูก็ดังขึ้น
ป้าทิพย์กำลังเทนมใส่แก้วให้กับมายมิ้นท์ เมื่อได้ยินเสียงกริ่งประตู ก็วางขวดนมลงพลางพูดขึ้นว่า:“คุณมายมิ้นท์ เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูก่อนนะคะ”
“ได้ค่ะ”มายมิ้นท์กัดแซนด์วิชหนึ่งคำพลางพยักหน้า
ป้าทิพย์เช็ดมือบนผ้ากันเปื้อน แล้วเขาก็เดินไปที่ทางเข้า
เมื่อเปิดประตูออก ราเม็งมองมายังป้าทิพย์ ดวงตาหรี่ขึ้นเล็กน้อย“คุณเป็นใครครับ?”
“ฉันเป็นพี่เลี้ยงของคุณมายมิ้นท์ค่ะ”ป้าทิพย์ตอบกลับ จากนั้นจึงถามขึ้นว่า“คุณผู้ชาย คุณคือ?”
“ผมชื่อราเม็งครับ”ราเม็งแนะนำตัวเอง
ป้าทิพย์นึกขึ้นได้ทันใด“ที่แท้ก็คือคุณราเม็ง”
“คุณรู้จักผมเหรอครับ?”ราเม็งประหลาดใจเล็กน้อย
ป้าทิพย์ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “เคยได้ยินคุณมายมิ้นท์พูดถึงค่ะ คุณราเม็งเชิญเข้ามาเถอะค่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”เมื่อได้ยินป้าทิพย์พูดว่ามายมิ้นท์เคยเอ่ยถึงเขา เขาอารมณ์ดีและยกมุมปากขึ้น พลางก้าวเท้าเข้าไปในห้อง
“พี่”เมื่อมาถึงห้องรับแขก ราเม็งเห็นมายมิ้นท์กำลังกินอาหารเช้าอยู่ ก็เอ่ยปากขึ้นถาม
มายมิ้นท์ได้ยินเสียงของเขา ใบหน้าก็เผยความดีใจออกมาเล็กน้อย “ราเม็ง คุณมาได้ยังไง?”
“ผู้จัดการของผมรับบทภาพยนตร์ไว้ให้ผมเรื่องหนึ่ง ให้ผมไปแสดงเป็นนายแบบในเรื่อง ก็เลยกำลังจะไปถ่ายหนังที่โรงถ่ายหนัง พอดีผ่านมาที่นี่ก็เลยขึ้นมาเยี่ยมพี่”ราเม็งยิ้มพลางตอบกลับ
มายมิ้นท์พยักหน้า“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ไม่เลวเลย กระโดดจากวงการนายแบบสู่วงการภาพยนตร์แล้ว ต่อไปวางแผนที่จะพัฒนาตัวเองในวงการภาพยนตร์แล้วใช่ไหม?”
“ไม่หรอกครับ ผมก็แค่คิดว่าถ่ายทำภาพยนตร์น่าสนุก ก็เลยอยากจะเสพติดมันสักหน่อย”ราเม็งส่ายศีรษะพลางพูดขึ้น
มายมิ้นท์ยิ้มเล็กน้อย“เสพติดสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ใช่สิ กินข้าวเช้าหรือยัง?”
“ยังเลยครับ”ราเม็งลูบที่ท้อง
มายมิ้นท์จึงกำชับป้าทิพย์ว่า“ป้าทิพย์รบกวนคุณจัดอาหารเช้าให้ราเม็งชุดหนึ่งค่ะ”
“ได้ค่ะ คุณราเม็งรอสักครู่นะคะ แป๊บเดียวค่ะ”ป้าทิพย์พูด
“รบกวนด้วยนะครับ”ราเม็งพูดขึ้นกับป้าทิพย์อย่างเกรงใจพลางยิ้มขึ้น
ป้าทิพย์โบกมือ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องเกรงใจ จากนั้นก็เข้าไปในห้องครัว
ราเม็งดึงเก้าอี้ด้านขวามือของมายมิ้นท์ออกพลางนั่งลง “พี่ คุณมีพี่เลี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สองวันนี้เอง ดวงตาฉันมองไม่เห็น ก็ต้องมีคนคอยดูแลสิ”มายมิ้นท์ดื่มนมพลางพูดขึ้น
ราเม็งมองไปยังห้องครัวพลางพูดขึ้นว่า “พี่เลี้ยงคนนี้ไว้ใจได้เหรอครับ?”
“ก็พอได้ ดูแลดี แต่ว่าจิตใจดีไม่หน่อย รวมๆแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะถึงยังไงถ้าดวงตาหายดีแล้วก็คงไม่จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงแล้ว”มายมิ้นท์วางนมลงแล้วพูดขึ้น
ราเม็งเงยหน้าขึ้นมา“ไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้วครับ”
“พอได้แล้ว ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”มายมิ้นท์มองไม่เห็นเขา แต่ก็พอรู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน จึงหันหน้าไปหาเขาพลางพูดขึ้นว่า“พูดเรื่องของคุณดีกว่า เมื่อวานคุณหมอการันต์บอกฉันว่า คุณไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการรักษา เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
ราเม็งหลบเปลือกตาลง“ผมไม่ได้ไม่ให้ความร่วมมือสักหน่อย”
“ไม่จริงๆเหรอ?”มายมิ้นท์หรี่ตา“คุณหมอการันต์บอกว่า เขาถามอะไรคุณ คุณก็ไม่ยอมตอบ ถ้าเป็นแบบนี้เขาจะช่วยรักษาคุณได้ยังไง?”
“สิ่งที่เขาถามส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องในอดีต อีกอย่างเรื่องพวกนั้นผมก็ไม่อยากพูดถึง”ราเม็งถูนิ้วของเขา พลางตอบกลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
มายมิ้นท์ถอนหายใจ“แต่ไม่ว่าจะยังไง คุณก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน ไม่งั้นอาการป่วยของคุณจะรักษายังไง?”
“ผมรู้แล้วครับพี่ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวผมจะหาวิธีเอาชนะมันเอง”ราเม็งหดเปลือกตาลง เพื่อปกปิดความมืดมนที่อยู่ในดวงตา แต่น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นกลับอ่อนโยน
มายมิ้นท์มองไม่เห็นท่าทางของเขาในตอนนี้ ทำได้เพียงเชื่อคำพูดของเขา จึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจพลางพูดขึ้นว่า“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
“ใช่แล้วพี่ ช่วงนี้ผมรับโฆษณาหนึ่งมา เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของนาฬิกาหรู แต่ว่านาฬิกานั้นเป็นนาฬิกาคู่รัก ดังนั้นเลยจำเป็นต้องมีคู่เป็นแอมบาสเดอร์หญิง พี่ไปถ่ายโฆษณาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คู่กับผมดีไหมครับ?”ราเม็งมองไปยังมายมิ้นท์
มายมิ้นท์ตกใจชี้ไปที่ตัวเอง“ฉัน?ไปถ่ายโฆษณากับคุณ?”
“ใช่แล้วครับ”
“อย่าล้อเล่นเลย”เธอโบกมือ“ฉันเป็นคนธรรมดา จะถ่ายโฆษณาได้ยังไง อีกทั้งยังเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ยี่ห้อดังส่วนใหญ่ก็จะใช้นางแบบหรือดาราชื่อดังระดับสากล จะหาคนธรรมดาได้ยังไง ราเม็ง คุณอย่ามาล้อเล่นกับฉันเลย”
“ผมไม่ได้ล้อคุณเล่นนะครับ ผมพูดเรื่องจริง ทางด้านของแบรนด์ให้ผมหานางแบบเองได้ ผมไม่อยากหาพวกดาราผู้หญิงหรือพวกนางแบบมาถ่ายกับผม ดังนั้นพี่ช่วยผมหน่อยนะครับ”ราเม็งจับมือของมายมิ้นท์
มายมิ้นท์ดึงมือออกมาพลางพูดขึ้นว่า“ไม่ได้ การที่แบรนด์สินค้าอนุญาตให้คุณหานางแบบเองได้ แน่นอนว่าต้องการให้คุณหาดาราหรือนางแบบที่เหมาะสมกับคุณ ไม่ใช่ให้คุณหาคนธรรมดา หากฉันไปกับคุณ หากแบรนด์สินค้าไม่เห็นด้วย ฉันจะอึดอัดแค่ไหน อีกอย่างฉันก็ถ่ายโฆษณาไม่เป็น ดังนั้นราเม็ง อย่าทำให้ฉันต้องลำบากใจเลย เชื่อฟังฉันเถอะ”
เธอตบไหล่เขาเล็กน้อย
ราเม็งเม้มที่ริมฝีปาก ไม่พูดไม่จา
มายมิ้นท์รู้ดีว่าเขาโกรธและเริ่มงอแงเหมือนเด็ก อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา
พูดได้ว่า นับตั้งแต่เธอรู้ว่าราเม็งเป็นคนวางยาเธอ เธอก็ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของราเม็งนั้นอารมณ์ไม่มั่นคง ทำให้คนรู้สึกปวดหัว
ดังนั้นในเวลานี้ เธอคิดถึงบุคลิกที่อ่อนโยนและสุภาพที่เขาพยายามสร้างขึ้นมาเป็นอย่างมาก
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ราเม็งก็ออกจากคอนโดพราวฟ้า ไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่影视城
มายมิ้นท์มาส่งเขาออกจากชุมชน กระทั่งรอให้เขาขึ้นรถแล้วถึงจะหันหลังกลับพร้อมป้าทิพย์แล้วกลับขึ้นมาบนตึกอีกครั้ง
และด้านหลังไม่ไกลจากเธอ ก็คือถนนที่อยู่ตรงข้ามกับประตูหน้าคอนโดพราวฟ้า ภายในรถเก๋งธรรมดาๆคันหนึ่ง ชายเก็บตัวและดูอ่อนโยนกำลังจ้องมองเงาหลังของมายมิ้นท์ด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงแหบแห้งราวกับกระป๋องที่เต็มไปด้วยตะกั่ว พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟัง“ผู้หญิงคนนั้นก็คือคนที่ธิติให้ความสำคัญ?”
“ใช่ครับคุณชายสี่” ชายร่างกำยำที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับตอบกลับ
ชายผู้เก็บตัวและอ่อนโยนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า“ สายตาก็ไม่เท่าไหร่ ชอบคนตาบอด”
“คนตาบอด?”ชายร่างกำยำตะลึงงันครู่หนึ่ง
ชายหนุ่มเหลือบตามองเขาครู่หนึ่ง “ทำไมเหรอ?”
ชายร่างกำยำเกาศีรษะ“ก่อนหน้าที่ผมตรวจสอบผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้พบว่าเธอตาบอดนะครับ”
“อ่อ?”สีหน้าของชายผู้เก็บตัวและอ่อนโยนไม่สู้ดีนัก แววตาราวกับงูพิษจ้องมองไปยังชายร่างกำยำ“ดังนั้นพวกเรามาหาคนผิดงั้นเหรอ?”