ตอนที่ 747 ไม่กล้าฝืนใจนาง
ขณะที่โดนเขาบังคับอยู่ อันหลิงเกอก็เผยสีหน้าและท่าทางของความเจ็บปวดออกมา
ภายใต้แสงตะเกียงสลัว ทันใดนั้นมุมปากของอันหลิงเกอก็มีโลหิตไหลออกมาทำให้ฟางหลิงซู่ตกใจจนรีบลงจากตัวนางและช่วยห่มผ้าให้
นางเลือกกัดลิ้นฆ่าตัวตายเพราะไม่ต้องการมีความสัมพันธ์กับเขา !
ฟางหลิงซู่รีบฉีกมุมเสื้อของตนออกเพื่อห้ามเลือดให้อันหลิงเกอและเรียกหมอหลวงเข้ามาดูอาการนางทันที
อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของนางยังมิฟื้นตัวดี ตอนนี้ยังเจ็บตัวซ้ำอีก ฟางหลิงซู่รู้สึกเหมือนโดนมีดบาดลึกลงในหัวใจ แต่โชคดีที่หมอหลวงมาถึงไว
หมอหลวงผู้นี้ดูแลอาการบาดเจ็บให้อันหลิงเกอในคราบหลู่เยว่เยว่ทุกวันและทุกครั้งที่ทำการรักษาก็มักรู้สึกประหม่าเพราะรู้ว่าหลู่เยว่เยว่มีความสำคัญต่อฟางหลิงซู่มากเพียงใดจึงต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง
คราวนี้เพราะอันหลิงเกอเสียเลือดมากเกินไปจึงหมดสติ ท่านหมอถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะรู้ว่าหากหลู่เยว่เยว่เป็นอันใดไป ประมุขเผ่าคงให้เขาตายตามนางไปด้วย
มิว่าผู้ใดก็รู้ว่าฟางหลิงซู่รักภรรยามาก แม้นางมิเคยออกมาปรากฏตัวแต่ก็ถูกฟางหลิงซู่ปกป้องและประคบประหงมเป็นอย่างดี แม้ในเผ่าปิงชวนมีสาวงามมากมายที่มิด้อยไปกว่าหลู่เยว่เยว่ ทว่าฟางหลิงซู่ก็ทำเหมือนมองมิเห็นเสียอย่างนั้น เพราะเขาโปรดปรานหลู่เยว่เยว่เพียงคนเดียว
นี่จึงกลายเป็นความลับของเผ่าปิงชวน เนื่องจากถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาตั้งแต่โบราณ
เพราะตามธรรมเนียมแล้วประมุขเผ่าจะต้องปฏิบัติต่อสตรีในวังหลังให้เท่าเทียมกัน แต่เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดกล้าตักเตือนฟางหลิงซู่ เนื่องจากทุกคนรู้จักนิสัยโหดเหี้ยมของฟางหลิงซู่ดี
ตอนนี้อันหลิงเกอยังหมดสติอยู่ ส่วนฟางหลิงซู่ก็อยู่ในท่าทีไม่สบอารมณ์ พอท่านหมอห้ามเลือดเสร็จก็รีบถอยออกไปทันที เนื่องจากมิกล้าอยู่ขวางหูขวางตาประมุขเผ่า
โชคดีที่เมื่อครู่อันหลิงเกอดื่มสุราเข้าไป ตอนนี้นางจึงนอนสงบมิได้ดิ้นขัดขืนอันใด ไม่เช่นนั้นนางคงเสียเลือดมากกว่านี้ หลังจากท่านหมอทำแผลเสร็จแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่ออันหลิงเกอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันต่อมา นางจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ทั้งหมดและรู้ว่านางกับฟางหลิงซู่ยังมิได้มีอะไรกัน แม้ลิ้นได้รับบาดเจ็บและมิสามารถพูดได้ แต่นางก็รู้สึกสบายใจมาก
ซึ่งฟางหลิงซู่เข้าใจในสิ่งที่นางต้องการสื่อ ช่วงหลายวันมานี้เขาจึงไม่มากวนนางอีก เพียงให้นางพักผ่อนรักษาบาดแผลเท่านั้น อันหลิงเกอก็ใช้โอกาสนี้หลบหน้าฟางหลิงซู่เช่นกัน
กระทั่งครบกำหนดส่งยาถอนพิษครั้งต่อไป ฟางหลิงซู่ก็มิได้รอให้อันหลิงเกอมาหาแต่เลือกสั่งคนนำไปส่งเลยทันที
คราวนี้ฟางหลิงซู่มิได้ยื่นข้อเสนออันใดต่อนางอีกและหวังเพียงให้นางออกมาเดินเล่นกับตนบ้างเท่านั้น
การส่งยาอีกหลายครั้งต่อจากนั้น ฟางหลิงซู่ก็ยื่นข้อเสนอที่ไม่เกินกว่าเหตุอีก อย่างมากก็แค่ให้นางมาทานข้าวหรือออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนและมิได้สร้างความอับอายให้อันหลิงเกอด้วย
เนื่องจากเขามิกล้าทำเช่นนั้นอีกแล้วเพราะอันหลิงเกอเป็นคนยอมหักมิยอมงอ หากเขาทำร้ายนางอีกครั้งก็กลัวว่าจะเสียนางไปจริง เมื่อเทียบกับการมิได้ครอบครองนางแล้วสิ่งที่ฟางหลิงซู่กลัวยิ่งกว่าก็คือการไร้อันหลิงเกออยู่ข้างกาย
เขารู้จักอันหลิงเกอดีและรู้ว่านางมิยอมทำตามที่ต้องการอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ที่นางยอมทำตามทุกอย่างก็เพื่อยาถอนพิษของมู่จวินฮานเท่านั้น
…
อีกด้านหนึ่ง มู่จวินฮานที่อยู่ในจวนยังดูแลหลู่เยว่เยว่เป็นอย่างดี ตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้วจึงทำให้หน้าท้องเริ่มนูนขึ้นมา
การที่ฟางหลิงซู่ส่งยาถอนพิษมาให้ทุกครั้ง ส่งผลให้พิษในกายของมู่จวินฮานมิได้กำเริบขึ้นมาอีก
แต่มู่จวินฮานรู้สึกว่ายาตัวนี้ไม่ใช่ยาถอนพิษที่แท้จริง มันแค่ระงับความเจ็บปวดให้เท่านั้น
เนื่องจากทุกครั้งที่พิษกำเริบ แม้เขาไม่รู้สึกเจ็บแต่ร่างกายก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ เหมือนกับคนป่วยหนักแต่มิได้รับการรักษา
แต่เขามิได้บอกเรื่องนี้แก่หลู่เยว่เยว่เพราะกลัวว่านางจะไปเสี่ยงอันตรายอีก ตอนนี้ในสายตาของมู่จวินฮานเห็นหลู่เยว่เยว่เป็นอันหลิงเกอ ดังนั้นเขายอมเสียนางไปมิได้อีก
ส่วนหลู่เยว่เยว่คิดว่ายาถอนพิษนั้นได้ผลจึงมิได้สงสัยอันใด แม้นางรู้ว่ายาถอนพิษที่ได้มาต้องแลกด้วยการที่อันหลิงเกอทำตามข้อเสนอของฟางหลิงซู่ และนางก็รู้ว่าอันหลิงเกอจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง ทว่านางก็มิคิดที่จะบอกความจริงแก่มู่จวินฮาน
ใต้หล้านี้ทุกคนย่อมมีความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น แม้หลู่เยว่เยว่เข้าใจว่าอันหลิงเกอรู้สึกเยี่ยงไรกับมู่จวินฮาน แต่นางก็ไม่มีทางคืนเขาให้อย่างแน่นอน
หากเป็นไปได้นางก็หวังว่าฟางหลิงซู่จะกักขังอันหลิงเกอไว้ตลอดชีวิต ทำให้อันหลิงเกอมิอาจกลับมาอยู่ข้างกายมู่จวินฮานได้อีก เพราะหลู่เยว่เยว่รู้ดีว่าหากอันหลิงเกอตัวจริงกลับมา นางก็จะกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับมู่จวินฮาน
นางรู้ว่าคนที่มู่จวินฮานรักมิใช่ตน แต่เป็นอันหลิงเกอที่นางต้องสวมรอยอยู่ทุกวี่วัน
แม้นางเข้าใจทุกอย่างดีแต่มิอยากเสียมู่จวินฮานและความสุขในเวลานี้ไป
สิ่งที่ทำได้มีเพียงการปิดบังเรื่องทุกอย่างเอาไว้เพื่อมิให้มู่จวินฮานรู้ความจริงว่าตนมิใช่อันหลิงเกอ
จักให้มู่จวินฮานรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าตอนนี้อันหลิงเกอยังอยู่ในเงื้อมมือของฟางหลิงซู่
ขณะที่วันเวลาผันเปลี่ยน ความรู้สึกผิดที่หลู่เยว่เยว่มีต่อมู่จวินฮานและอันหลิงเกอก็ค่อย ๆ หายไป สิ่งที่เหลืออยู่ในเวลานี้มีเพียงความรักอันเห็นแก่ตัวเท่านั้น !
นางอยากครอบครองมู่จวินฮาน อยากให้เขาเป็นของนางคนเดียวตลอดไป ด้วยเหตุนี้นางจะมิยอมให้อันหลิงเกอกลับมาและไม่มีทางปล่อยให้มู่จวินฮานทราบความจริงทั้งหมด
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกขอบคุณใบหน้าที่คล้ายคลึงกับอันหลิงเกอ ใบหน้านี้นำพาความสุขมากมายมาให้ หากไม่มีใบหน้านี้นางต้องกลายเป็นสตรีในวังหลังของฟางหลิงซู่ที่ไร้ผู้ใดสนใจ
แม้ทุกสิ่งที่นางได้รับจะแสนจอมปลอม แต่นางก็มิอยากสูญเสียมันไปเพราะหากต้องสูญเสียทุกอย่างนี้นางก็จะมิเหลือสิ่งใดอีก
หากเปรียบอ๋องมู่เป็นดั่งเทพเซียน เยี่ยงนั้นฟางหลิงซู่ก็เป็นดั่งปิศาจร้าย ส่วนอันหลิงเกอที่อยู่ระหว่างเทพกับปิศาจจึงต้องยอมรับความเจ็บปวดทั้งหมดไว้
หลู่เยว่เยว่เป็นผู้ที่รับรู้ทุกอย่าง รู้ว่าอันหลิงเกอต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้างและรู้ว่าอันหลิงเกอกำลังทรมานอยู่แน่นอน แต่เพื่อความสุขของตนจึงเลือกไม่ช่วยเหลืออันหลิงเกอ
ตอนนี้อันหลิงเกอทราบข่าวที่มู่จวินฮานได้รับยาถอนพิษแล้วเพราะก็มีสายลับคอยรายงานข่าวให้ฟังเช่นกัน ทุกครั้งที่อันหลิงเกอได้ยินข่าวนี้ก็จะหัวเราะทั้งน้ำตาออกมา
ร้องไห้เพราะมิอาจอยู่เคียงข้างเขาได้อีก ได้แต่อดทนทำตามสิ่งที่ผู้อื่นต้องการอยู่ตรงนี้และข้างกายเขาก็มีคนอื่นอยู่แล้ว ไม่มีที่ยืนสำหรับนางอีกต่อไป
ส่วนการที่นางหัวเราะก็เพราะรู้ว่ามู่จวินฮานกำลังมีความสุขและไร้อันตรายอีกต่อไป การที่เขาไม่เจ็บป่วยหรือไม่ได้รับความยากลำบากจึงทำให้นางรู้สึกดีใจยิ่งนัก
“เหนียงเหนียง ท่านทานเยอะ ๆ หน่อยสิเพคะ” นางกำนัลที่ฟางหลิงซู่ส่งมาดูแลเอ่ยแนะนำ แต่ช่วงนี้อันหลิงเกอทานข้าวแค่เพียงคำสองคำเท่านั้น ร่างกายจึงผ่ายผอมเรื่อย ๆ
“วางไว้ตรงนั้น” อันหลิงเกอมิได้พูดอันใดมากเพราะไม่อยากทำตัวสนิทสนมกับผู้ใดในเผ่าปิงชวน
“เหนียงเหนียง…”
“วางไว้แล้วก็ออกไป”
น้ำเสียงของอันหลิงเกอเรียบนิ่ง เห็นได้ชัดว่านางเริ่มโมโหแล้ว
“เป็นอันใดไป ! ” ฟางหลิงซู่ที่อยู่หน้าประตูเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ก็อยากจะพุ่งเข้ามา ทว่าสุดท้ายก็เลือกถอยเท้ากลับไป
ช่างเถิด นางคงมิอยากเจอเขาแล้วจริง ๆ