บทที่ 550 เสียใจและดีใจ
วันแรกของเดือนแห่งพฤกษา ภายในอาคารสหพันธ์บทเพลงจันทราสาขาอัลลิน…

จูรีเซียนในชุดเครื่องแบบของนักเวทประจัญบาน ประดับเหรียญตราอาร์คานาหกดาว เหรียญตราเวทมนตร์ห้าวงแหวนและเหรียญตรารูปพระจันทร์เสี้ยวบนอก เดินช้าๆ เข้ามาในห้องโถง

“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านจูรีเซียน” จอมเวทระดับกลางหลายคนที่เพิ่งเดินลงบันไดมาทักทายจูรีเซียนด้วยความเคารพทันทีที่เห็นเขา

นับแต่ที่มีการใช้คะแนนอ้างอิง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ระดับอาร์คานาจะมากกว่าระดับเวทมนตร์ แต่จอมเวทระดับสูงก็ยังพบได้ยากอยู่ดี ปราการที่ยากจะเอาชนะซึ่งหลายๆ คนไม่อาจข้ามไปได้แม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับห้าและระดับหก การค้นพบช่องเปิดของเส้นสเปกตรัมภายใต้สนามแม่เหล็กรุนแรงและคำอธิบายเชิงทฤษฎีของเขาเมื่อสี่เดือนก่อน จูรีเซียนได้พิสูจน์คำทำนายในการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยและได้รับดาวสีเงินหกดวงในที่สุด หากไม่ใช่ว่าโลกแห่งปัญญาของเขายังไม่รวมตัวเป็นปึกแผ่น เขาก็คงจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับหกและหลายเป็นนักเวทระดับสูงแล้ว

จูรีเซียนมักจะเป็นกันเองเมื่อไม่ได้ทำภารกิจ เขาตอบยิ้มๆ “อรุณสวัสดิ์ พวกเจ้าก็มารอ ‘อาร์คานา’ ฉบับวันนี้ใช่ไหม”

“ขอรับ ช่วงนี้การโต้แย้งเรื่องสูตรการแปลงของท่านโอลิเวอร์ยังคงร้อนระอุ เรารอแทบไม่ไหวที่จะได้อ่านคำอธิบายและการประยุกต์ใช้ล่าสุด บางทีใครสักคนอาจพิสูจน์มันด้วยการทดลองแล้วก็เป็นได้ขอรับ” บ็อบบี้ จอมเวทระดับกลางที่อยู่ด้านหน้าเป็นชายร่างกำยำสูงใหญ่ที่มีดวงตาเรียวยาว

จูรีเซียนหัวเราะ “ข้าเองก็เช่นกัน แต่ข้าเป็นกังวลมากกว่าว่าอาจจะได้เห็นงานเขียนของท่านอีวานส์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในสักวันหนึ่ง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จอมเวทส่วนใหญ่ในห้องโถงก็พลันเงียบเสียงลง ชื่อนี้เป็นดั่งฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน พวกเขาไม่อาจเชื่อเนื้อหาในบทความของโอลิเวอร์และบทความของจอมเวทท่านอื่นๆ เกินไปจนกว่าคนผู้นี้จะเสนอความเห็นในเรื่องสูตรการแปลง การเฝ้ารอและหวาดกลัวดูเหมือนจะกลายเป็นนิสัยของพวกเขาไปเสียแล้ว

กว่าสิบวินาทีผ่านไป บ็อบบี้ก็หลุดจากภวังค์ เขากำลังจะตอบจูรีเซียน แต่พนักงานต้อนรับก็นำวารสารทั้งหลาย รวมถึง ‘อาร์คานา’ และ ‘เวทมนตร์’ ออกมาวางบนเคาน์เตอร์เสียก่อน เขาจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “ท่านจูรีเซียนขอรับ วารสารมาแล้ว เชิญท่านก่อนเลยขอรับ”

เมื่อเห็นว่าบ็อบบี้อยู่หน้าเคาน์เตอร์แล้ว จูรีเซียนก็ส่ายศีรษะและเอ่ยอย่างหยอกเย้า “ตามลำดับดีกว่า เจ้าจะได้ดูให้เราก่อนว่ามีบทความของอีวานส์หรือไม่ เพื่อที่คนอื่นๆ จะได้เตรียมตัวไว้”

เขาตั้งใจจะปฏิเสธความใจกว้างของบ็อบบี้อย่างอ้อมๆ และตลกขบขัน แต่หลังจากพูดออกไป จอมเวททั้งหมดที่เบียดเสียดขึ้นไปเพื่อซื้อวารสารกลับหยุดชะงัก

ดวงตาของพวกเขาจดจ้องไปที่บ็อบบี้ ราวกับจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของจูรีเซียนที่ว่าเขาควรตรวจดูมให้ก่อนว่ามีบทความของลูเซียน อีวานส์ หรือไม่ และมันเป็นหัวข้อเกี่ยวกับอะไรถ้าหากว่ามีจริงๆ

บ็อบบี้ไม่ได้คิดอะไรมากในทีแรก แต่เมื่อสายตาของทุกคนจดจ้องมาที่เขา เขาก็พลันหวนนึกถึงความสำเร็จอันงดงามอัศจรรย์ใจของ ‘เครื่องบดศีรษะ’ เม็ดเหงื่อพลันผุดพรายขึ้นบนหน้าผากเขา แต่เหล่าจอมเวทด้านหลังช่างกดดันเขาเสียจนจะต้องหยิบ ‘อาร์คานา’ ขึ้นมาฉบับหนึ่งหลังจากลังเลอยู่นาน

พอรู้ตัวว่ามุกตลกของเขาดูเหมือนจะถูกตีความไปผิดๆ ภายใต้สถานการณ์พิเศษนี้ จูรีเซียนจึงก้าวไปข้างหน้าและคิดจะหยุดบ็อบบี้เพื่อที่เขาจะได้ ‘ตรวจสอบ’ มันด้วยตัวเอง

แต่ทันใดนั้น บ็อบบี้ก็โพล่งออกมาว่า “มีบทความของท่านอีวานส์!”

เสียงของเขาแหลมสูงอย่างไม่อาจควบคุมได้ และสั่นพร่าอย่างชัดเจน เสียงกระซิบภายในห้องโถงพลันหายไป ที่แห่งนั้นคล้ายกับถูกหยุดเวลาเอาไว้

“บทความเกี่ยวกับอะไรหรือ” จูรีเซียนโพล่งถามอย่างลืมตัว

บ็อบบี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เป็นหัวข้อเกี่ยวกับพลศาสตร์ไฟฟ้าของวัตถุเคลื่อนไหวและสมการมวลสาร-พลังงานขอรับ ฟังดูเหมือนเป็นการวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีการเคลื่อนไหวในพลศาสตร์ไฟฟ้าและดูจะไม่ใช่บทความหักล้างนะขอรับ”

หลังจากที่เขามั่นใจ เขาก็เริ่มอ่านบทความที่ถูกจัดเรียงไว้หน้าแรกสุดของวารสารด้วยความสงสัยใคร่รู้ขณะยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ จอมเวทคนอื่นๆ ไม่รบกวนเขาแต่กลับจดจ้องไปที่ศีรษะบ็อบบี้อย่างแยบยล ส่วนจูรีเซียนกลับตกอยู่ในห้วงความคิดลึกล้ำเพราะชื่อหัวข้อที่คลุมเครือนั้น

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กล้ามเนื้อบนใบหน้าบ็อบบี้ก็เริ่มกระตุก และหยาดเหงื่อเริ่มไหลย้อยลงมาตามแก้ม จากนั้นเขาก็ยกมือซ้ายขึ้นมาทาบบนศีรษะ ราวกับกำลังเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่ง ในขณะที่แววตาเขาฉายชัดถึงความสับสนวุ่นวาย

ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบอันแปลกประหลาดอีกครา บ็อบบี้พึมพำอะไรบางอย่างขณะหันขวับกลับมา และก็พบว่าจอมเวททุกคนที่อยู่รอบกายเขา รวมถึงจูรีเซียน ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ต่างถอยห่างจากเขาไปอย่างน้อยสิบเมตร บัดนี้รอบกายเขามีเพียงความว่างเปล่า ราวกับปีศาจเพิ่งจะกัดกินบริเวณนี้ไป

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” บ็อบบี้ถามด้วยความมึนงง

จอมเวททุกคนในที่นั้นมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จูรีเซียนเป็นผู้กระแอมไอก่อนจะเอ่ยว่า “เราเห็นว่าเจ้าดูท่าทางเจ็บปวด เลยผละห่างให้เจ้ามีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเพื่อฟื้นตัว แล้วบทความเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรหรือ”

“โอ้ ท่านกลัวว่าโลกแห่งปัญญาของข้าจะพังทลายลงและสมองข้าจะระเบิดใช่หรือไม่” บ็อบบี้เข้าใจสถานการณ์โดยพลัน แล้วจึงแย้มยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่าขอรับ บทความของท่านอีวานส์ได้ข้อสรุปจากสูตรการแปลงของท่านโอลิเวอร์โดยยึดจากข้อสันนิษฐานสองข้อ ไม่มีอะไรรุนแรงหักล้างเลยขอรับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูรีเซียนและคนที่เหลือก็ก้าวถอยหลังไปอีกสามก้าว “อะไรนะ มันเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับสูตรโอลิเวอร์อย่างนั้นหรือ”

“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงจับศีรษะเหมือนปวดหัวมากขนาดนั้นเล่า”

บ็อบบี้ก้มลงมองเท้าตนเองด้วยท่าทางอับอาย “ข้าเข้าใจสูตรทั้งหลายที่อยู่ในนี้นะขอรับ แต่คำอธิบายเรื่องเวลา อวกาศ มวลสาร และพลังงานกลับชวนมึนงงเกินไปสำหรับข้า ข้าไม่ทันคิดอะไร และเพียงลองเคาะศีรษะดู เผื่อว่าจะได้แรงบันดาลใจอะไรบ้างน่ะขอรับ”

‘ฮู่’ ลมหายใจจากความโล่งอกของทุกคนแทบจะรวมตัวกันเป็นสายลมได้ สรุปก็คือ บ็อบบี้เพียงคิดมากเพราะเขาไม่อาจเข้าใจเนื้อหา ความวิตกกังวลของพวกเขานั้นช่างสูญเปล่า

เมื่อทราบว่ามันเป็นคำอธิบายของอีวานส์ที่พวกเขา ‘เฝ้ารอมานาน’ จอมเวทระดับกลางของสหพันธ์บทเพลงจันทราจึงสงบลงในที่สุด แต่ยังมิมีผู้ใดกล้าอ่านมันอย่างละเอียด

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อจูรีเซียนคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับบ็อบบี้ เขาจึงรวบรวมความกล้าแล้วอ่านบทความของลูเซียนอยู่ข้างเคาน์เตอร์

เมื่อเวลาผ่านไป จูรีเซียนก็มีท่าทางเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ กล้ามเนื้อของเขาหดเกร็ง และเขาก็ขบกรามแน่น หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ ในดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนและตกตะลึง และเขาก็พึมพำทวนคำว่าเวลาและอวกาศ มวลสารและพลังงานกับตนเองอยู่อย่างนั้น

และสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงน่าอัศจรรย์ที่เหมือนจะเกิดขึ้นรอบกายเขา ราวกับลำแสงทั้งหลายจะส่องสว่างขึ้น

บ็อบบี้พลันเข้าใจถึงความหวาดกลัวก่อนหน้านี้เมื่อได้เห็นสภาพของจูรีเซียน เขารีบเดินไปรวมกลุ่มกับฝูงชน ในขณะที่จอมเวทท่านอื่นกำหมัดแน่นและจดจ้องไปที่ศีรษะของจูรีเซียนด้วยความหวั่นหวาด

เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ จูรีเซียนก็ ‘กรีดร้อง’ ทำให้จอมเวทผู้ตึงเครียดทั้งหลายที่รีบถอยห่างไปทันที ทั้งห้องโถงพลันตกอยู่ในความโกลาหล

หลังจากที่พวกเขาถอยห่างออกมาอีกและเตรียมรับมือกับภาพร่างไร้ศีรษะ แต่แล้วพวกเขาก็พบว่าจูรีเซียนยังยืนอยู่ด้วยท่าทางดีใจ และดูสดชื่นอย่างหาที่สุดมิได้

“ท่านจูรีเซียน ท่านไม่เป็นอันใดใช่ไหมขอรับ” บ็อบบี้รวบรวมความกล้าเพื่อถามออกไป

จูรีเซียนหัวเราะอย่างปิตียินดียิ่ง “แม้ว่าบทความนี้จะยังไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว แต่มันก็ยังทำให้ข้าตื่นตะลึงอย่างมากและแก้ปัญหาบางประการที่กวนใจข้ามาสักพัก ดังนั้น โลกแห่งปัญญาของข้าจึงรวมตัวเป็นปึกแผ่นกึ่งหนึ่งเมื่อครู่นี้เอง!”

ด้วยพลังจิตที่มีเพียงพอเสียยิ่งกว่าเพียงพอและการควบคุมเวทมนตร์ของเขา มันหมายความว่าเขาจะกลายเป็นนักเวทระดับหกในเร็วๆ นี้

“จริงหรือขอรับ ข้าขอแสดงความยินดีล่วงหน้าขอรับที่ท่านจะได้เป็นนักเวทระดับสูงแล้ว แต่เหตุใดท่านจึงกรีดร้องออกมาล่ะขอรับท่านจูรีเซียน เรานึกว่าสมองของท่านจะระเบิดเสียอีก…” บ็อบบี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

จูรีเซียนหัวเราะขันขณะตอบ “ข้าดีใจมาก จึงอยากจะแบ่งปันความสุขน่ะสิ”

เมื่อได้เห็นกับตาว่าจูรีเซียนเพิ่งจะทลายอุปสรรคใหญ่หลวงที่สุดในการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทระดับสูง เหล่าจอมเวทระดับกลางภายในห้องโถงจึงไม่มีเวลาจะมาต่อว่าความซุกซนของเขา แต่กลับหลั่งไหลไปยังเคาน์เตอร์เพื่อซื้อ ‘อาร์คานา’ ด้วยความหวังว่าจะเกิด ‘ปาฏิหาริย์’ กับพวกเขาบ้าง

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ๆ มีเพียงจอมเวทระดับกลางไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด ราวกับว่าพวกเขาได้รับความกระจ่างแต่ก็ยังสับสนอยู่ในขณะเดียวกัน ส่วนคนที่เหลือต่างเป็นเหมือนบ็อบบี้ พวกเขาไม่อาจเข้าใจการอนุมาน แต่สามารถเข้าใจความหมายจำเพาะของพวกมันได้ พวกเขาต่างอับจนหนทาง

ทว่า ทุกคนต่างตระหนักดีว่าบทความชิ้นนี้ดูเหมือนเพิ่งจะโค่นล้มระบบการเคลื่อนไหวของท่านประธานดักลาส โลกแห่งปัญญาของพวกเขาที่มีรากฐานมาจากระบบนั้นจึงสั่นคลอน ต้องขอบคุณที่ลูเซียนตรากตรำอธิบายว่าระบบการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้คือค่าประมาณความเร็วต่ำของทฤษฎีใหม่ที่อยู่ครึ่งหลังของบทความนี้พร้อมกับตัวอย่างอีกมามาย ซึ่งทำให้โลกแห่งปัญญาของพวกเขากลับมามั่นคงดังเดิม มันหาใช่การหักล้างแต่เป็นการเปลี่ยนให้เป็นที่ยอมรับ!

ถึงกระนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีความรู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ และไม่มั่นคงก็ยังทำให้พวกเขาฉงนสงสัยยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ในตอนนั้นเอง ชายผู้มีจมูกเหมือนจะงอยปากเหยี่ยวก็เดินเข้ามา บนอกของเขาประดับด้วยเหรียญตราของจอมเวทระดับเจ็ดและนักเวทระดับเจ็ด

เมื่อสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของเหล่าสหายจอมเวท เขาก็ถามซักไซ้เล็กน้อย

หลังจากได้ยินคำตอบ เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วหยิบ ‘อาร์คานา’ ขึ้นมาฉบับหนึ่งเพื่ออ่านบทความนั้น ขณะที่อ่านอยู่นั้น เขาก็ออกความเห็นด้วยน้ำเสียงขยะแขยง “ไร้สาระ! เวลาและอวกาศจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! นี่มันขัดแย้งกับข้อสังเกตการณ์และจินตนาการอย่างยิ่ง! ในหัวลูเซียน อีวานส์ ขุ่นมัวเพราะงานศึกษาด้านคณิตศาสตร์ที่ใช้ไม่ได้จริงของเขาแล้วหรืออย่างไร”

“อีกอย่าง มันยังมีช่องโหว่อยู่มากมายอีกด้วย!”

เขาพูดพลางเดินขึ้นบันไดพร้อมกับวารสารในมือ วางแผนว่าจะโจมตีมัน

“ท่านอัลวาโร่ นั่นของข้า…” จอมเวทระดับกลางที่วารสารถูกช่วงชิงไปสุดท้ายก็เลิกพยายาม เพราะเขารู้ดีว่าอัลวาโร่คือจอมเวทมากประสบการณ์ที่มีความดื้อรั้นเหนือจินตนาการในเรื่องของกฎสามข้อของสนามแรง ระบบการเคลื่อนไหว และเวลาและอวกาศสัมบูรณ์

ภายในหอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม…

ขณะมองอาจารย์ตนพึมพำคำว่า ‘มวลสาร’ ‘พลังงาน’ ‘เวลา’ และ ‘อวกาศ’ ต่อหน้าเขา เคก็พลันรู้สึกหวาดกลัวเหนือคำบรรยายและหลุบตาลงจดจ่อกับวารสาร ‘อาร์คานา’ ในมือตน

ฉับพลันนั้น แลร์รี่ก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วกำหมัดแน่น เขาประกาศกร้าวด้วยดวงตาเปล่งประกาย “หากว่ามันสมบูรณ์ มันจะต้องเป็นผลงานที่จะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยแน่!”

“อาจารย์ขอรับ?” เคถามไถ่อย่างระมัดระวัง ตอนนี้เขาได้เลื่อนขึ้นเป็นจอมเวทระดับสี่และนักเวทระดับสี่แล้ว

ไม่มีทางเลยที่จะมองเห็นสีหน้าของแลร์รี่ภายใต้หนวดเครายาวหนาสีเหลืองของเขา แต่น้ำเสียงที่เขาใช้พูดนั้นแสดงชัดถึงความดีใจ “โลกแห่งปัญญาของข้ารวมตัวเป็นปึกแผ่นกึ่งหนึ่งแล้ว”

บนชั้นสามสิบของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน…

ลูเซียนนั่งอยู่ในห้องทำงานของคณะกรรมการกิจการ รอให้ทอมป์สันยืนยันว่ามิมีนักเวทคนใดที่โลกแห่งปัญญาพังทลายลง

“จนถึงตอนนี้ยังไม่มีเลยสักคน” ทอมป์สันเดินเข้ามา “นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่ได้นำเสนอพัฒนาการในการทดลองด้วยเครื่องไซโคลตรอน อีกอย่าง หลังจากเป็นที่ถกเถียงกันมานานแปดเดือน จอมเวทส่วนใหญ่ก็น่าจะเตรียมพร้อมทั้งจิตใจและสติปัญญาแล้วล่ะ”

“แต่ก็ยังมีจอมเวทระดับสูงบางคนจากสำนักสนามแรงที่มีปฏิกิริยารุนแรง”

ลูเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหมดหนทาง “ข้าหวังว่าโลกแห่งปัญญาของพวกเขาจะหยุดอยู่ที่การพังทลายและถูกแช่แข็งเท่านั้น หรือไม่ พวกเขาอาจจะพบข้อผิดพลาดในบทความแล้วนำเสนอความเห็นใหม่ๆ ได้จริงๆ ก็ได้”

ทอมป์สันไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนใดๆ แต่กลับปลอบใจเขา “แต่ก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นอยู่เหมือนกันนะ วันนี้ โลกแห่งปัญญาของนักเวทระดับห้าอย่างน้อยหกคนรวมตัวเป็นปึกแผ่นกึ่งหนึ่งเพราะบทความของเจ้า สี่คนนั้นมาจากสำนักแม่เหล็กไฟฟ้าและสำนักแสง-ความมืด ซึ่งรวมถึงจูรีเซียนที่เจ้ารู้จัก ส่วนอีกสองคนเป็นนักเวทแห่งธาตุ หนึ่งในนั้นคือแลร์รี่ อย่างน้อยในระยะเวลาสั้นๆ ผลกระทบดีๆ จากบทความของเจ้าก็มีมากกว่าผลกระทบแย่ๆ นะ”

“เท่าที่ข้ารู้ สถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นก็เพียงในตอนที่ ‘หลักคณิตศาสตร์ของปรัชญาเวทมนตร์’ และสูตรบรูคถูกนำเสนอเท่านั้น แน่นอน ผลกระทบจากทั้งสองอย่างนั้นรุนแรงกว่านี้มาก โลกแห่งปัญญาของบางคนถึงกับรวมตัวเป็นปึกแผ่นในตอนนั้นเลยเชียว”

……………………………………