ตอนที่ 560 หมาเอ๋อส่ายหาง / ตอนที่ 561 ไสหัวไป

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 560 หมาเอ๋อส่ายหาง

 

 

           มั่วไป๋สีหน้ามืดบอดขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เขาเอามือกดที่ขมับ ผ่านไปตั้งนานด่าแค่ประโยคเดียว “…ไสหัวไป”

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงไสหัวลงมาอย่างว่าง่าย

 

 

           ยามมั่วไป๋ตื่นขึ้นมา ต้องฟื้นตัวอยู่อีกหลายนาที พอฟื้นตัวเต็มที่แล้ว เขาก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา

 

 

           เมื่อออกมาอีกที ไป๋จิ่งก็นั่งหน้าโต๊ะกินข้าวกวักมือเรียกเขาแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เบือนหน้านี้ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีตาจะดูแล้วจริงๆ

 

 

           ทำไมมองไป๋จิ่งแล้ว ถึงรู้สึกว่าเขาเหมือนกับหมาเอ๋อ นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วยังส่ายหางอีก

 

 

           ขณะที่กินข้าวกันอยู่ ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำกับมั่วไป๋ว่าวันนี้เขาจะออกไปข้างนอกสักหน่อย มั่วไป๋ชะงักงัน ทันทีหลังจากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่เขาเคยพูดเมื่อสองวันก่อน

 

 

           จึงพยักหน้ารับ “อืม โอเค”

 

 

           ไป๋จิ่งมองใบหน้าขาวผ่องของมั่วไป๋พลางเอ่ยถาม “มีอะไรอยากกินหรือเปล่า ผมจะถือโอกาสซื้อมาให้คุณ”

 

 

           มั่วไป๋คิดแล้ว ไม่มีอะไรที่อยากกินจึงส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก”

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้ถามต่อ แต่ในใจกลับใคร่ครวญจะไปซื้อของหวานกลับมาให้มั่วไป๋

 

 

           หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ไป๋จิ่งเก็บกวาดโต๊ะเรียบร้อย เขาก็ออกไปทันทีหลังจากนั้น

 

 

           หลังจากเขาไปเหยียนอวี้ก็มา เขาเห็นในห้องมีแค่เพียงมั่วไป๋คนเดียว พลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าหมอนั่นล่ะ ไม่วอแวนายแล้วเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้ามองเหยียนอวี้ “ออกไปทำธุระแล้ว”

 

 

           เหยียนอวี้ทำหน้าตาแปลกประหลาด “แปลกแล้วๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้ไป๋จิ่งพลาสเตอร์หนังหมานี้ไม่เกาะติดนาย แต่วิ่งออกไปได้”

 

 

           ในความคิดของเหยียนอวี้ ไป๋จิ่งก็คือพลาสเตอร์หนังหมาที่เกาะติดอยู่ตลอดเวลา

 

 

           ทุกครั้งที่มาหามั่วไป๋ เขาจะเห็นไป๋จิ่งอยู่ข้างๆ ด้วยตลอด แต่เจ้าหมอนั่นกลับไม่รู้สึกขายหน้าเลยสักนิด กลับทำใบหน้าภูมิใจ

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินคำว่า ‘พลาสเตอร์หนังหมา’ สี่พยางค์นี้ เขาเลิกคิ้วขึ้นเงียบๆ รู้สึกว่าเหยียนอวี้ใช้คำบรรยายลักษณะไป๋จิ่งได้อย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

 

           เขาเอาใบหน้าไป๋จิ่งมาวางไว้ด้วยกันกับคำสี่พยางค์นี้ เขาก็เชิดมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เหยียนอวี้มองมั่วไป๋ อดจะพูดจากใจไม่ได้ “ตั้งแต่เขาปรากฏตัวมา นายก็มีความสุขขึ้นเยอะเลยนะ”

 

 

           รอยยิ้มที่มุมปากมั่วไป๋หยุดชะงักไป แต่ไม่ถึงสองนาที ก็กลับฟื้นคืนสภาพเดิมยิ้มเล็กน้อย

 

 

           แม้แต่รอยยิ้มเล็กๆ ก็ลึกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เหยียวอวี้พูดถูกต้องแล้ว หลังจากที่ไป๋จิ่งปรากฏตัว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากจะยอมรับ แต่ความเป็นจริงก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

 

 

           เมื่อก่อนปกติเขาจะนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ตอนนี้หลังจากที่ไป๋จิ่งปรากฏตัว เขาก็ไม่เคยนอนไม่หลับอีกเลย

 

 

           แม้กระทั่งอาการของเขาก็ไม่เหมือนเดิม

 

 

           เหยียนอวี้เห็นใบหน้ามั่วไป๋แต่งแต้มรอยยิ้ม เขาพินิจมองเล็กน้อย รู้สึกว่ากลิ่นอายความเย็นชาบนตัวมั่วไป๋นับวันยิ่งอ่อนลง คนทั้งคนดูอ่อนโยนขึ้นมาก

 

 

           ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชอบไป๋จิ่ง แต่เห็นมั่วไป๋มีความเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะหมอหรือว่าเพื่อนก็มีความสุขมาก

 

 

           “ถึงแม้ว่านายจะมีคู่แล้ว สำหรับฉันไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร แต่ในฐานะหมอก็ยังปลื้มใจด้วย”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเปิดโปงอย่างไม่ลังแม้แต่น้อย “นายก็แค่รู้สึกว่าฉันมีคู่แล้ว ต่อไปจะไม่มีใครโสดเป็นเพื่อนนายก็เท่านั้นเอง”

 

 

           เหยียนอวี้ “…”

 

 

           ‘ทำไมเขาไม่อยากฟังมั่วไป๋พูดขนาดนี้เลย’

 

 

           เมื่อก่อนพูดจาไม่ได้คมกริบขนาดนี้ ทำไมตอนนี้ถึงได้พูดจาไม่เข้าหูคน ต้องเรียนนิสัยไม่ดีจากไป๋จิ่งมาอย่างแน่นอน

 

 

           เขาต้องการจะคิดบัญชีกับไป๋จิ่ง ทวงคืนมั่วไป๋ผู้ไร้เดียงสากลับมาให้เขา

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองเหยียนอวี้แวบหนึ่ง ทำเป็นมองไม่เห็นเขาทำท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนขู่อยู่

 

 

           เหยียนอวี้อยู่ในห้องพักผู้ป่วยอีกสักพัก แล้วค่อยออกไปด้วยสีหน้าป่วยๆ

 

 

           เดิมทีอยากจะอวดโน่นอวดนี่สักหน่อย ผลปรากฏว่าใครจะคิดว่าจะโดนมั่วไป๋ไม่สนใจแล้วยังอวดกลับใส่อีก

 

 

           หมอเหยียนเป็นทุกข์อยู่ไม่น้อย โลกใบนี้ไม่เป็นมิตรกับคนโสดเอาเสียเลย

 

 

                       

 

 

        ตอนที่ 561 ไสหัวไป

 

 

           ‘โสดแล้วมันยังไง ไม่ห่วงใยกันก็ช่างเถอะ ยังจะมาโดนกระทำอีก’

 

 

           หมอเหยียนถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ อยากจะเอามือมากอดตัวเองแทน

 

 

           ‘ชีวิตที่ช่างทรมานใจนี้ เมื่อไหร่จะสิ้นสุดสักทีนะ’

 

 

           ……

 

 

           ตั้งแต่ไป๋จิ่งออกมาจากห้องของมั่วไป๋อย่างไม่เต็มใจนัก เขาก็เดินทีหันมาสามทีอยู่อย่างนี้ เดินลำบากยิ่งกว่าใคร

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะมีธุระ เขาก็ไม่อยากจะแยกจากมั่วไป๋เลยด้วยซ้ำ

 

 

           เขาแทบอยากจะเกาะติดเกี่ยวพันอยู่บนตัวมั่วไป๋อยู่ทุกวัน เหมือนหมึกสายที่คอยติดสอยห้อยตาม มั่วไป๋ไหนเขาก็ไปด้วย

 

 

           กว่าจะออกพ้นประตูมาได้เหมือนใช้แรงในการควบคุมจิตใจตัวเองไปทั้งตัวแล้ว

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกมาจากโรงพยาบาล เขาไม่ได้ไปยังร้านอาหารที่นัดกับเซียวเย่ว์ทันที แต่ไปหาไมเคิลก่อน

 

 

           ไมเคิลเห็นไป๋จิ่งมาแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลก คิดดูแล้วคงจะเป็นเพราะเรื่องของเซียวเย่ว์

 

 

           พอไป๋จิ่งเห็นไมเคิลก็ไม่ได้อ้อมค้อมอะไร เขาบอกไปตรงๆ “ไมเคิล ผมยังมีอีกเรื่องให้คุณช่วย”

 

 

           ไมเคิลพยักหน้ารับ “เรื่องอะไรเหรอ”

 

 

           “ช่วยฉันตามหาเปาเหวินซิงที ฉันมีเรื่องอยากพบเขา”

 

 

           ไมเคิลคิดแล้วพยักหน้ารับ “ได้”

 

 

           เขาพูดจบก็มองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง “นี่นาย ทำเพื่อเซียวเย่ว์เหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว “เปล่า เพื่อคนอีกคนหนึ่ง”

 

 

           ไมเคิลขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่เริ่มให้เขาสืบเรื่องของเซียวเย่ว์ เขายังคิดว่าที่ทำก็เพื่อเซียวเย่ว์

 

 

           เห็นไมเคิลสงสัย ไป๋จิ่งก็ยิ้มหัวเราะ “เพื่อคนคนหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับฉัน”

 

 

           คนคนหนึ่งที่ดีมาก

 

 

           คนคนหนึ่งที่ฉันรักมาก

 

 

           ……

 

 

           เมื่อมาถึงยังร้านอาหารแล้ว เซียวเย่ว์ยังไม่มาถึง ไป๋จิ่งเองก็ไม่รีบร้อนอะไร เขาสั่งกาแฟมาสองแก้ว พร้อมทั้งของว่างอีกจำนวนหนึ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งรูปร่างหน้าตาโดดเด่น เพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดึงดูดสายตาผู้คนอย่างถึงที่สุดแล้ว

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถือมือถือ มุมปากแต้มรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว สีหน้าอ่อนโยนแวววับจับตาจนไม่อาจละสายตาไปได้

 

 

           ไป๋จิ่งถือมือถือพิมพ์ข้อความหามั่วไป๋

 

 

           [คิดถึงคุณแล้ว]

 

 

           [ไสหัวไป]

 

 

           [อยากกอด]

 

 

           [ไสหัวไป]

 

 

           [อยากจูบ]

 

 

           [ไสหัวไป]

 

 

           ไป๋จิ่งอ่านดูข้อความในมือถือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ้มจนหุบยิ้มไม่ได้

 

 

           เขาจ้องมองข้อความว่า ‘ไสหัวไป’ ก็รู้สึกว่าน่ารักจนอ่อนระทวยแล้ว

 

 

           เซียวเย่ว์ผลักประตูเปิดพร้อมเดินเข้ามา มองแวบแรกก็เห็นไป๋จิ่งทันที เซียวเย่ว์ตาลุกวาว เธอปล่อยไป๋จิ่งไปไม่ลงมาตลอดจนถึงตอนนี้ ที่สำคัญที่สุดคือยังเป็นใบหน้านี้

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งอยู่ตรงนั้น แข้งขาเธอก็อ่อนไปหมด หัวใจก็ตามไปอยู่กับไป๋จิ่งกแค่เพียงชั่วพริบตาเดียว ดึงกลับมาก็ดึงกลับมาไม่ได้

 

 

           เซียวเย่ว์รักษาท่าทีอยู่ในอาการสงบทำให้ตัวเองดูสง่างามขึ้นมาสักหน่อย ค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปหาไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งยังคงตกอยู่ในห้วงข้อความของมั่วไป๋ กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าข้างๆ มีสายตาหนึ่งมองมา เซียวเย่ว์ก็เดินใกล้จะมาถึงข้างกายของไป๋จิ่งแล้ว

 

 

           มือเขาที่ถือมืออยู่หยุดชะงักไป เก็บรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แม้แต่ความอบอุ่นในแววตาก็ค่อยๆ ลดต่ำลงมา

 

 

           การเปลี่ยนแปลงนี้ของเขาเบาบางมาก ถ้าไม่ดูโดยละเอียด คนรอบข้างก็มองความแปลกอะไรนี้ไม่ออก

 

 

           เซียวเย่ว์เดินเข้าไปด้วยอารมณ์ดั่งคลื่นซัดสาด ไป๋จิ่งเอียงหน้ามองแล้วยิ้มให้เธอเล็กน้อย

 

 

           เขายิ้มมาแบบนี้ หัวใจเซียวเย่ว์ก็เกร็งขึ้นมาในทันใด คนทั้งคนลนลานโดยอัติโนมัติ

 

 

           “ขอโทษนะคะ รอนานเลยใช่ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว แสดงเจตจำนงบางอย่างกับเซียวเย่ว์ “ผมสั่งมอคค่าให้คุณ ที่คุณชอบดื่มที่สุด”

 

 

           เขาพูดเพียงแผ่วเบา แต่กลับสร้างระลอกคลื่นอันยิ่งใหญ่ในใจของเซียวเย่ว์

 

 

           เธออ้าปากค้าง มองเขาอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ “คะ…คุณ คิดไม่ถึงว่าคุณจะยังจำได้ว่าฉันชอบดื่มอะไรด้วย”

 

 

           “อืม” ไป๋จิ่งขานรับเสียงเรียบๆ ทั้งไม่ได้ยอมรับทั้งไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

           กลับให้ช่วงเวลาเซียวเย่ว์ได้จินตนาการได้พอดี

 

 

           ‘เพราะอะไรไป๋จิ่งถึงยังจำได้ว่าตัวเองชอบดื่มอะไร หรือว่าไป๋จิ่งเองก็มีความคิดอย่างอื่น…กับเธอ’