เมิ่งฉีพยักหน้า ลุกขึ้นยืน
เหวินซื่อก็ลุกขึ้นตาม
ทั้งสองเดินไปห้องรับแขก
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เฝิงจิ้งเหวินนั่งบนม้านั่ง พูดว่า “ข้าจะจับชีพจรให้อาซ้อก่อน”
เฝิงจิ้งเหวินยื่นมือขวาออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยววางมือลงบนจุดชีพจรของนาง ตั้งใจจับชีพจรให้นาง
เฝิงจิ้งซูนั่งอีกด้านเงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าเปลี่ยนสีอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน กลับแสร้งไม่มีอะไรยิ้มพูดว่า “ยังเหมือนกับก่อนหน้านี้ ข้าจะไปเตรียมการ ทำการรักษาให้อาซ้อทันที พวกท่านรออยู่ในห้องสักครู่นะ”
สองพี่น้องเฝิงพยักหน้าพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากห้อง สีหน้าก็ตึงเครียด เดินตรงมายังห้องรับแขก ออกปากก่นด่าเหวินซื่อพลัน “เหวินซื่อ เจ้าเป็นหมูเรอะ? ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกเจ้าแล้ว ให้เจ้าคอยสังเกตคนรอบตัว เจ้าได้ทำบ้างหรือไม่?”
เหวินซื่อไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถูกด่าจนงง พูดพึมพำถาม “มีอะไรหรือ?”
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ? พิษที่อาซ้อได้รับหนักหนายิ่งกว่าแต่ก่อน หากข้าไม่เรียกพวกเจ้ามา เกรงว่าไม่พ้นเดือนสองเดือนนี้ อาซ้อจะต้องนอนติดเตียงตลอดไป”
เหวินซื่อตกใจลุกพรวด เบิกตาร้องถามเสียงหลง “จะเป็นไปได้อย่างไร สิ่งที่จะเข้าปากนาง ข้าได้สั่งกำชับบ่าวตรวจสอบอย่างละเอียดทุกวัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวแทบอยากจะผ่าศีรษะของเขาออกดู “จากนั้นเล่า เจ้าก็ไม่สนใจอะไรแล้ว แม้แต่สิ่งผิดปกติของนางก็ไม่รู้?”
เหวินซื่อขมวดคิ้ว “สองสามวันมานี้เวลานอนนางจะรู้สึกหนาว ข้านึกว่าเป็นเพราะอากาศเริ่มเย็น ไม่ได้เอามาใส่ใจ หรือนี่จะเป็นอาการของพิษ”
“เสียแรงที่เจ้าเป็นนายท่านร้านยาเต๋อเหริน คนข้างกายได้รับพิษเจ้ายังไม่รู้ เจ้ามีสมองเอาไว้คั่นหูเท่านั้นเรอะ?” เมิ่งเชี่ยนโยวร้องด่าอย่างไม่เกรงใจ
เหวินซื่อเป็นนายท่านร้านยาเต๋อเหรินมาหลายปี ควบคุมดูแลร้านยาหลายสิบสาขาทั่วประเทศ ย่อมมีความนึกคิดไม่เหมือนในอดีตแล้ว หากถูกคนอื่นดุด่าเขาเช่นนี้ คงถูกเขาเตะตัวลอยไปนานแล้ว แต่คนตรงหน้าคือเมิ่งเชี่ยนโยว จึงไม่กล้าทำเช่นนั้น ได้แต่ยืนนิ่ง ยอมให้นางว่ากล่าวสั่งสอน
เห็นนางตวาดเหวินซื่อเหมือนเด็กสามขวบ เมิ่งฉีได้แต่นั่งอ้าปากตะลึงค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนออกไปด้านนอก “ชิงหลวน หยิบพู่กันกระดาษมา!”
ชิงหลวนรับคำ รีบหยิบกระดาษพู่กันเข้ามา วางลงบนโต๊ะ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กันเขียนใบสั่งยา มอบให้ชิงหลวน “รีบไปจัดยาที่ร้านยาเต๋อเหริน อย่างน้อยสิบขนาน”
ชิงหลวนรับใบสั่งยามาแล้วเดินออกไป
“ช้าก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกนาง หันกลับไปบอกเหวินซื่อ “ให้ไปหาใคร?”
เหวินซื่อที่ยังตกอยู่ในภวังค์ ถามอย่างไม่เข้าใจ “หาใครอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “รักษาโรคให้ภรรยาเจ้า ยังต้องให้ข้าออกเงินซื้อยาเองเรอะ?”
เหวินซื่อถึงได้สติกลับมา ปลดป้ายหยกข้างเอวออกมอบให้ชิงหลวน “เจ้านำสิ่งนี้ให้คนจัดยา เขาจะจัดยาให้เจ้าเอง”
ชิงหลวนรับมา กำไว้ในมือ เร่งเฝีท้าไปร้านยาเต๋อเหริน
เมิ่งเชี่ยนโยวยังโมโหไม่หาย หงุดหงิดงุ่นง่านใจ ตำหนิบ่นเหวินซื่ออีกชุด
“เจ้านี่นะ เสียแรงเป็นถึงนายท่านร้านยา ภรรยาถูกคนวางแผนหลายต่อหลายครั้ง เจ้ากลับไม่พบสิ่งผิดปกติใด หากเรื่องเล็ดลอดออกไป เจ้าไม่อายบ้างเรอะ?”
“กินน้ำคูเพิ่มประสบการณ์พูดมาว่าเจ้าเสียเปรียบไปกี่ครั้งแล้ว ยังคิดไม่ได้อีก ทำไมคนผู้นั้นไม่วางยาเจ้าให้รู้แล้วรู้รอดไปนะ?”
“แม้แต่คนที่วางยายังสืบไม่ได้ เจ้ายังมีหน้าคอยชักสีหน้าเคร่งขรึมอีก”
“ข้าจะบอกให้นะ ประเดี๋ยวเจ้าจงไปรบเร้าภรรยา ให้นางหย่ากับเจ้าซะ อย่าให้คนดีๆ อย่างนางต้องเป็นเพราะคนไม่เอาถ่านอย่างเจ้า ไม่เพียงมีลูกไม่ได้ ยังอาจจะต้องจบสิ้นชีวิตเพราะเจ้า”
…
เสียงด่าทอดังไม่ขาดสาย เหวินซื่อไม่กล้าโต้แย้ง ครั้นพอได้ยินประโยคสุดท้าย ถึงกับขวัญผวารีบพูดว่า “อย่าๆๆ วันนี้กลับไปข้าจะขายบ่าวรับใช้ในเรือนออกไปทั้งหมด รับรองว่าต่อไปจะไม่เกิดอันตรายกับเหวินเอ๋อร์อีก เจ้าห้ามพูดเรื่องนี้กับอาซ้อเจ้าเด็ดขาดนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็ยิ่งโมโห “เจ้าทำแบบนี้หาได้แก้ที่ต้นเหตุไม่ ขายคนชุดนั้นไป เจ้าจะรับประกันได้ว่าคนชุดต่อมาจะไม่เล่นตุกติกอีกหรือ?”
เหวินซื่อพูดเสียงต่ำ “ข้ารู้ๆ ช่วงที่ผ่านมาข้าส่งคนตามสืบแล้ว ไม่นานจะต้องได้เรื่อง พอข้ารู้ว่าเป็นใคร ข้าจะไม่ให้อภัยพวกมันเด็ดขาด”
“เหวินซื่อ!” เมิ่งเชี่ยนโยวเน้นหนักน้ำเสียง “บทเรียนที่ได้รับเมื่อสี่ปีก่อนยังไม่พอหรือ? ครั้งนั้นเจ้าโชคดีรอดมาได้ พอแผลหายเจ้าก็ลืมความเจ็บ? ข้าจะบอกให้นะ ตัดหญ้าต้องถอนราก ไม่ว่าเป็นใคร ทำร้ายอาซ้อถึงขั้นนี้ เจ้าห้ามมีเมตตาออมมือให้เด็ดขาด”
นี่เป็นคำพูดเตือน และชี้แนะ เหวินซื่อไม่โง่ เข้าใจโดยพลัน เขาเงยหน้ามองนาง เบิกตากว้างถามอย่างไม่เชื่อ “ไม่ใช่กระมัง?”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “นอกจากพวกเขา สกุลเจ้ายังมีใครไม่อยากให้อาซ้อตั้งครรภ์ อยากเห็นนางตายในเร็ววัน”
เหวินซื่อไม่พูด สีหน้าหม่นหมองหดหู่
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ “อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้”
“ข้าให้คนสืบดูแล้ว หลังจากที่น้องชายข้าถูกข้าไล่ออกจากสกุลไป ก็ไม่เคยได้ข่าวจากเขาอีก มารดาเลี้ยงข้าก็ไม่เคยติดต่อเขา” เหวินซื่อพูด
“มารดาเลี้ยงเจ้าเล่า? วันๆ เอาแต่ร่ำไห้ ปานจะขาดใจ?”
เหวินซื่อส่ายหน้า “ไม่ได้เป็นเช่นนั้น หลายปีมานี้นางเอาแต่เก็บตัวเงียบ ทำตัวดีมาตลอด”
“ดังนั้น เจ้าไม่คิดว่าผิดปกติ? บุตรชายเพียงคนเดียวถูกขับออกจากสกุล ไม่มีเสาหลักพึ่งพา ทายาทก็หายไปไร้ร่องรอย นางกลับยังใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ เจ้าไม่คิดว่าผิดปกติหรือ?”
เหวินซื่อพยักหน้า “ข้าก็รู้สึกผิดปกติ และส่งคนตามสืบแล้ว แต่สืบอยู่หลายเดือนก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงล้มเลิกไป”
“เจ้าส่งใครไป?”
“พนักงานที่ติดตามข้ากลับมาจากร้านยาเต๋อเหรินตำบลชิงซี”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีแล้ว “เจ้าไม่มีคนที่ไว้ใจได้หรือ?”
เหวินซื่อส่ายหน้าแหนงหน่าย “เจ้าก็รู้ ตอนเด็กท่านปู่ปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ต่อมายังถูกไล่ไปอยู่ตำบลชิงซีหลายปี มีเพียงพนักงานร้านยาเต๋อเหรินที่เป็นคนของข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขาเขม็ง
เหวินซื่อถูกมองจนขนลุกชูชัน ถามตะกุกตะกัก “เจ้า เจ้ามองข้าแบบนี้ทำไม?”
“มองว่าเจ้ามีชีวิตอยู่รอดมาถึงป่านนี้ได้อย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโดยไม่อ้อมค้อม
เหวินซื่อชะงักอึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีก “ตอนมาเมืองหลวงใหม่ๆ ข้าได้ยินว่าเจ้าเอาแต่ทำหน้าเข้ม เกรี้ยวกราดดุดันขึ้น ข้ายังนึกว่าเจ้าจะเก่งกาจสักแค่ไหน ที่แท้เจ้าก็แค่แสร้งทำตบตาคนอื่น แท้จริงแล้วเจ้ายังเป็นพวกไม้หลักปักขี้เลน บอกมาสิว่าเจ้ามีชีวิตอยู่มาถึงป่านนี้ได้อย่างไร?”
คำพูดเริ่มเกินสมควร เมิ่งฉีตวาดนาง “น้องสาว อย่าพูดเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่พูดอีก
เหวินซื่อนิ่งเงียบ ชักสีหน้าขรึม คล้ายว่ากำลังคิดสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ชิงหลวนกลับมา วางห่อยาลงบนโต๊ะ ทั้งคืนป้ายหยกให้เหวินซื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น หยิบยาบนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งห่อ เปิดออก ตรวจสอบอย่างละเอียด มอบให้ชิงหลวน “ให้สาวใช้รีบต้มยา เอาไปให้ข้าที่ห้อง”
ว่าแล้วก็ออกไปจากห้องรับแขกทันที
เมิ่งฉีเห็นเหวินซื่อไม่พูด นึกว่าเขาโกรธ จึงพูดขอโทษแทนเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาวข้ามีนิสัยเช่นนั้น แต่ไม่ได้คิดร้ายอะไร นายท่านเหวินอย่าได้ถือสา”
เหวินซื่อพยักหน้าทั้งส่ายหน้า “ข้าทราบ หลายปีก่อนตอนอยู่ตำบลชิงซีข้าเคยถูกนางสั่งสอนมาแล้ว แม้นางจะพูดไม่น่าฟังไปบ้าง แต่ทุกคำกลับหวังดีต่อข้า บางทีข้าอาจจะมีใจเมตตาเกินไป คิดแต่จะเหลือทางรอดให้พวกเขา ไม่คิดว่ากลับช่วยเพิ่มเชื้อไฟให้พวกเขา ทำให้ตอนนี้เหวินเอ๋อร์ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ นางพูดถูก ข้าจะยอมต่อไปอีกไม่ได้ ต้องจำกัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก”
เมิ่งฉีไม่รู้ความเป็นมาเป็นไป จึงพูดอะไรมากไม่ได้
ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
เหวินซื่อลุกพรวดขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งฉี “ข้ายังมีธุระ ต้องกลับร้านยาเต๋อเหรินก่อน หากฮูหยินข้ารักษาเสร็จ รบกวนท่านบอกนางว่า ให้นางรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะกลับมารับนางที่หลัง”
เมิ่งฉีรับคำ ออกไปส่งเหวินซื่อถึงหน้าประตูใหญ่
เหวินซื่อขี่ม้าจากไป
เมิ่งฉีรับรู้ได้ถึงรัศมีความดุดันรอบกายเขารางๆ
เมิ่งฉีส่ายหน้า เดินกลับเรือน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงเรือนตัวเอง ปรับอารมณ์เล็กน้อย ถึงยิ้มเดินเข้ามาในห้อง พูดว่า “ให้อาซ้อต้องรอนานแล้ว ข้าเพิ่งนึกได้ว่า ยาที่จัดมาครั้งก่อนขาดไปหนึ่งตัว จึงสั่งสาวใช้ไปจัดมาใหม่หลายขนาน ทำให้เสียเวลานิดหน่อย”
เฝิงจิ้งเหวินโบกมือ “ไม่เป็นไร จะได้พูดคุยกับน้องโยวเอ๋อร์ได้มากขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนม้านั่งข้างเฝิงจิ้งเหวิน
เฝิงจิ้งซูย้ายม้านั่งของตัวเองมานั่งเบื้องหน้านาง พูดว่า “แม่นางโยวเอ๋อร์ เมื่อตอนนี้ไม่มีอะไรทำ งั้นท่านเล่าเรื่องที่เคยช่วยชีวิตพี่เขยให้ข้าฟังก็แล้วกัน”
เฝิงจิ้งเหวินยิ้มอธิบาย “เจ้าเด็กคนนี้ ตั้งแต่ที่นางได้ยินท่านพี่พูดว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตเขา นางก็สนอกสนใจ แต่ก็ไม่กล้าตอแยถามท่านพี่ วันนี้ได้พบเจ้าเสียที หากเจ้าไม่เล่าให้นางฟัง คาดว่านางจะไม่ยอมกลับบ้านเป็นแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ พูดว่า “ข้าช่วยชีวิตนายท่านเหวินที่ไหนกัน ทั้งหมดเป็นความชอบของหมอชรา ข้าเพียงแต่ใช้ปากเท่านั้น”
เฝิงจิ้งซูกะพริบตาปริบ มองนางอย่างรอคอย
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่นางเย็บแผลให้เหวินซื่อ โดยยกให้เป็นความชอบของหมอชราอย่างแนบเนียน
เฝิงจิ้งซูฟังอย่างออกรสออกชาติ ส่งเสียงร้องอุทานเป็นช่วงๆ แม้แต่เฝิงจิ้งเหวินก็ตื่นเต้นตาม ตั้งใจฟังอีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าจบ เฝิงจิ้งซูยังไม่หายอยาก ข้องใจถาม “หมอชราท่านนั้นเล่า? ทำไมถึงไม่เคยได้ยินพี่เขยพูดถึงมาก่อน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันมองเฝิงจิ้งเหวิน
เฝิงจิ้งเหวินเม้มริมฝีปาก ตอบนาง “ตอนที่พี่เขยเจ้ากลับเมืองหลวง โลงศพที่นำกลับมาด้วยก็คือหมอชรา”
“อ๊า!” เฝิงจิ้งซูตกใจร้องลั่น ไม่ถามต่ออีก
คิดถึงเรื่องราวในอดีตของหมอชรา เมิ่งเชี่ยนโยวสะท้อนสีหน้าระลึกถึง
เฝิงจิ้งเหวินสั่งน้องสาวตัวเอง “หมอชราเป็นปมของท่านพี่ที่เจ้าห้ามแตะต้อง เวลาอยู่ต่อหน้าเขา ห้ามเอ่ยถึงเด็ดขาด”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ท่านพี่”
สาวใช้ยกยาที่ต้มเสร็จเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เฝิงจิ้งเหวินดื่ม จากนั้นพูดว่า “อาซ้อ ท่านไปนอนบนเตียงข้า ข้าจะทำการรักษาให้ท่าน”
เฝิงจิ้งเหวินนึกว่าดื่มยาก็คือการรักษา ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายให้นางฟัง “ยาที่ดื่มลงไปเพื่อขจัดพิษ ไล่พิษที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายท่านออกมา การรักษาตอนนี้ คือฟื้นฟูมดลูกของท่าน ช่วยเรื่องการคลอดบุตรในภายหน้าของท่าน”
แม้เฝิงจิ้งเหวินจะฟังที่นางพูดไม่เข้าใจ แต่รู้ว่านางทำเพื่อตัวเอง จึงยอมนอนราบลงบนเตียง
เฝิงจิ้งซูก็ตามไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้านวมของตัวเองมาห่มให้เฝิงจิ้งเหวิน พูดว่า “อาซ้อ ถอดเสื้อตัวบนของท่านออก เปิดให้เห็นสะดือ ข้าจะได้รักษาให้ท่านได้”
เฝิงจิ้งเหวินตกใจ
เฝิงจิ้งซูถลึงตาโต
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากยกยิ้ม “เราต่างเป็นผู้หญิง จะกลัวอะไร?”
เฝิงจิ้งเหวินหน้าแดง กัดฟันตัดสินใจ ขยุกขยิกอยู่ใต้ผ้าห่ม ถอดเสื้อตัวบนออก เปิดให้เห็นสะดือสีแดง
เมิ่งเชี่ยนโยวนำเข็มที่สั่งทำออกมา วางแบไว้บนเตียง
เฝิงจิ้งซูมองดูเข็มยาวสั้นไม่เท่ากัน ร้องอุทาน “แม่นางโยวเอ๋อร์ อย่าบอกว่าท่านจะฝังเข็มพวกนี้ไปที่ท้องพี่สาวข้านะ? แบบนี้ก็เจ็บแย่สิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แม่นางเฝิงพูดถูกต้อง และเพราะเช่นนี้ ประเดี๋ยวตอนข้าฝังเข็ม เจ้าอย่าได้ส่งเสียง เพราะจะส่งผลกระทบต่อข้าได้ หากข้าฝังผิดจุด พี่สาวเจ้าที่จะต้องทรมาน”
เฝิงจิ้งซูรีบปิดปากตัวเอง พยักหน้าหงึกๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
เฝิงจิ้งเหวินเห็นเข็มพวกนั้น ก็ให้หวาดหวั่น ร่างกายสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฝังเข็ม แต่พูดกับนางว่า “อาซ้อ หากท่านเกร็งตัว เวลาข้าฝังเข็มท่านก็จะยิ่งเจ็บ ผ่อนคลายร่างกาย ท่านจะไม่รู้สึกเจ็บ”
“ข้ารู้” เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าพูด “แต่ข้าควบคุมร่างกายไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มพรรณนาถึงภาพที่งดงาม “อาซ้อ หากตอนนี้ท่านให้ความร่วมมือข้าในการรักษา ถ้าโชคดีสองสามเดือนนับจากนี้ ไม่แน่ว่าท่านก็จะตั้งครรภ์ และวันนี้ในปีหน้า ท่านก็จะได้อุ้มเด็กน้อยตัวอ้วนจ่ำม่ำ”
พอคิดตามภาพที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด เฝิงจิ้งเหวินก็ตื่นเต้นดีใจ พยายามสะกดกลั้นความเครียดกลัว ผ่อนคลายเนื้อตัวตามสบาย ครู่หนึ่งถึงสูดลมหายใจเข้าลึกพูดว่า “ได้แล้ว ข้าไม่กลัวแล้ว น้องโยวเอ๋อร์ พวกเราเริ่มเถอะ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หยิบผ้านวมมาห่มส่วนบนของนาง แล้วหยิบอีกผืนมาห่มส่วนล่าง เปิดบริเวณท้องไว้ จากนั้นหยิบเข็มสั้นหนึ่งเล่ม พูดอย่างนุ่มนวล “อาซ้อ ความจริงเข็มรักษานี้ไม่ทำท่านเจ็บดอก ข้าจะฝังให้ท่านเข็มแรก ท่านลองรับรู้ความรู้สึกก่อนนะเจ้าคะ”
เฝิงจิ้งเหวินตื่นเต้นจนไม่กล้าแม้แต่พยักหน้า สมาธิทั้งหมดอยู่ที่หน้าท้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวปักเข็มลงไปที่จุดชีพจรอย่างว่องไว แล้วกดเบาๆ ยิ้มถาม “อาซ้อ ข้าฝังเข็มแรกเสร็จแล้ว ท่านรู้สึกหรือไม่?”
เฝิงจิ้งเหวินโล่งใจ พยักหน้าด้วยความยินดี “รู้สึกเหมือนยุงกัด ไม่เจ็บเลยสักนิด”
เฝิงจิ้งซูได้ยินนางพูดว่าไม่เจ็บ ก็หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเข็มเล่มที่สองขึ้น หาจุดชีพจรปักลงอย่างเบามือ
เฝิงจิ้งเหวินยังคงไม่รู้สึกเจ็บ ครั้งนี้จึงวางใจเป็นปลิดทิ้ง ทั้งผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายนาง เข็มต่อๆ มาจึงเร็วขึ้น
เฝิงจิ้งซูมองการกระทำของนางโดยไม่วางตา ใบหน้าเลื่อมใสยกย่อง หลังจากดูนางปักเข็มเล่มสุดท้ายเสร็จ ก็รีบยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้นาง “เหนื่อยไหม เช็ดเหงื่อก่อน ข้าจะไปรินน้ำมาให้”
“ขอบใจ!” เมิ่งเชี่ยนโยวรับผ้าเช็ดหน้ามาโดยไม่เกรงใจ ซับเหงื่อบนหน้าผาก ยิ้มพูดว่า “ไม่ได้ฝังเข็มให้ใครนานแล้ว รู้สึกไม่คล่องมือ คงไม่ทำอาซ้อเจ็บกระมัง”
“ไม่เลย” เฝิงจิ้งเหวินรีบตอบ
“เช่นนั้นก็ดี”
เฝิงจิ้งซูรินน้ำร้อนถ้วยหนึ่งเข้ามา บรรจงเบาก่อนจะยื่นให้นาง “อุ่นพอดี เจ้ารีบดื่มเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ใช้ลิ้นแตะเล็กน้อย น้ำอุ่นกำลังดี จึงแหงนหน้าดื่มลงไปทั้งหมด
“เอาอีกไหม? ข้าจะไปรินน้ำมาให้อีก” เฝิงจิ้งซูถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ขอบใจแม่นางเฝิง”
เฝิงจิ้งซูวางถ้วยลงบนโต๊ะ พูดอย่างชื่นบาน “แม่นางเมิ่งไม่ต้องเกรงใจดอก เจ้าโตกว่าข้าไม่กี่ปี ต่อไปเรียกชื่อข้าตรงๆ เถอะ ไม่งั้นเรียกซูเอ๋อร์ก็ได้ คนที่บ้านต่างเรียกข้าเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจ ยิ้มเรียกนางทันที “ซูเอ๋อร์”
เฝิงจิ้งซูดีใจขานรับคำ “เช่นนั้นต่อไปข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว จะเรียกท่านว่าพี่โยวเอ๋อร์นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับ “ได้เลย ต่อไปเจ้าก็คือน้องสาวข้า”
เฝิงจิ้งซูดีใจยิ่งนัก คุยโว้ขึ้นทันที “พี่โยวเอ๋อร์ ข้าจะบอกให้นะ ท่านรับข้าเป็นน้องสาวมีประโยชน์มาก ข้าชอบทำให้คนหัวเราะ ทั้งพี่สาวพี่ชายของข้าต่างชอบข้ากันทั้งนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกสนุกคิดจะแหย่เย้านาง พูดด้วยท่าทีขึงขัง “ที่ข้ายอมรับเจ้าเป็นน้องสาวไม่ใช่เพราะเจ้าน่ารัก แต่เพราะต่อไปข้าจะได้มีคนให้แกล้งได้ตามใจชอบแล้ว”
“อ๊า?” เฝิงจิ้งซูเบิกตากลมโตคู่งาม “พี่โยวเอ๋อร์ ท่านไม่ได้พูดจริงๆ ใช่ไหม?”
เห็นท่าทีน่ารักของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงกับขำก๊าก แม้แต่เฝิงจิ้งเหวินก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่
คนทั้งหมดหัวเราะร่วน เสียงชิงหลวนก็ดังขึ้นจากด้านนอก “นายท่าน ขบวนรถม้าจากที่บ้านกลับมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”