ตอนที่ 77 นอนร่วมห้องกันไม่ได้

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดหัวเราะ ลุกขึ้นพูดกับทั้งสองคน “อาซ้อ ซูเอ๋อร์ ข้าออกไปดูก่อน”

 

 

“ไปเถอะ! อย่าให้เสียงานเจ้า” เฝิงจิ้งเหวินพูด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป

 

 

เฝิงจิ้งซูนั่งในตำแหน่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งเมื่อครู่ สีหน้าเป็นกังวล ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้เฝิงจิ้งเหวิน พูดอย่างปวดใจ “ท่านพี่ คงจะเจ็บมากสินะ เหงื่อออกไม่หยุดเลย”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินยิ้มพูด “เด็กโง่ พี่บอกแล้วไงว่าไม่เจ็บ”

 

 

เฝิงจิ้งซูมองเข็มที่สั่นไหวบนท้องนาง ส่ายหน้า “เข็มมากขนาดนี้ปักอยู่บนท้องท่าน จะไม่เจ็บได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อดอก”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินไม่อาจอธิบายแก่นางได้ พูดเพียงว่า “ต่อให้เจ็บก็ไม่เป็นไร เพื่อลูกแล้วพี่ทนได้ทุกอย่าง”

 

 

เฝิงจิ้งซูดวงตาเปล่งประกายขึ้นพลัน “ท่านพี่ ที่พี่โยวเอ๋อร์พูดเมื่อครู่เป็นความจริงหรือ ปีหน้าข้าก็จะได้อุ้มหลานแล้ว”

 

 

ในบรรดาพี่น้องทั้งห้าคน เฝิงจิ้งซูเป็นคนเล็กสุด ทุกคนในบ้านต่างรักใคร่เอาใจนาง ไม่เคยให้นางต้องรู้เรื่องไม่ดี ทำให้นางมีนิสัยใสซื่อบริสุทธิ์ ขอเพียงเป็นคนใกล้ตัวพูดอะไรนางก็จะเชื่อ เมื่อครู่ได้ยินที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ก็เชื่อว่าเป็นความจริง จึงถามนางอย่างคาดหวัง

 

 

เฝิงจิ้งเหวินทอดถอนใจ ฝืนยิ้มพูดว่า “หากข้าโชคดี สวรรค์เมตตา อาจจะส่งเด็กมาให้ข้าจริงๆ ก็ได้”

 

 

พอเข้าใจความหมายที่นางพูด เฝิงจิ้งซูก็นิ่งเงียบครู่หนึ่ง จากนั้นก็แย้มยิ้มพูดปลอบใจนาง “พี่โยวเอ๋อร์มีวิชาแพทย์เป็นเลิศ แม้แต่พี่เขยบาดเจ็บใกล้ตาย นางยังช่วยกลับมาได้ นางจะต้องรักษาโรคของท่านจนหายได้ ท่านวางใจเถอะ วันนี้พอพวกเรากลับไป พวกเรามาลงมือทำชุดเด็กอ่อนให้หลานตัวน้อยของข้ากัน”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินหัวเราะออกมา “ลูกยังไม่มีเลย จะทำชุดเด็กอ่อนไปไหน เจ้าคิดถึงเรื่องคู่ครองของตัวเองก่อนเถอะ ท่านแม่หาให้เจ้าไม่รู้กี่คนแล้วเจ้าก็ไม่เคยพอใจ ระวังวันไหนท่านแม่ทนไม่ไหว เลือกส่งๆ ให้เจ้าเอง”

 

 

เฝิงจิ้งซูทำหน้าแน่วแน่ “ท่านแม่รักข้าที่สุด อยากให้ข้าอยู่ที่บ้านอีกหลายๆ ปี นางไม่ทำเช่นนั้นดอก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งเดินพ้นประตูเรือนออกมา เมิ่งฉีก็ได้ยินบ่าวเข้ามารายงาน เดินมาถึงลานเรือนพอดี พอเห็นเขามาคนเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจร้องถาม “เหวินซื่อเล่า”

 

 

เมิ่งฉีบอกสิ่งที่เหวินซื่อพูดแก่นาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฟังแล้วไม่พูดอะไร สองพี่น้องเดินมาถึงประตูใหญ่

 

 

หัวหน้าองครักษ์หลวงเห็นพวกเขา รีบพูดอย่างนอบน้อม “แม่นาง คุณชายเมิ่ง พวกเรากลับมาแล้วขอรับ”

 

 

“เหตุใดถึงกลับมาช้าเช่นนี้ ข้านึกว่าพวกเจ้าจะกลับมาแต่เมื่อวานแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม

 

 

“คุณชายใหญ่ให้พวกเราลำเลียงมันฝรั่งชุดใหม่ ดังนั้นจึงต้องรออีกหนึ่งวันขอรับ” องครักษ์หลวงตอบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถึงรู้ว่า ตอนนี้เป็นเวลาเก็บเกี่ยวมันฝรั่งของทางบ้านพอดี พี่ใหญ่คิดว่าพวกเขาเปิดโรงงานในเมืองหลวง จึงตั้งใจส่งมันฝรั่งที่เพิ่งขุดใหม่มาให้

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าจะพาพวกเขานำมันฝรั่งไปไว้ที่โรงงาน ที่บ้านยังมีแขก เจ้าไม่ต้องเข้าไปแล้ว”

 

 

“ได้ พอถึงโรงงาน อย่าหยุดรอหน้าประตู ให้แล่นรถม้าเข้าไปทันที เลี่ยงไม่ให้พวกคนที่รองานเห็นมันฝรั่งถูกส่งมาแล้ว เข้ามายื้อแย่ง จนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขา

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”

 

 

“อีกอย่าง พอขนย้ายมันฝรั่งเสร็จ ท่านจงไปบ้านใต้เท้าเปา ขอให้เขาช่วยรับสมัครคน ทางที่ดีจัดการเรื่องให้เสร็จภายในวันนี้ พรุ่งนี้เตรียมการอีกเล็กน้อยก็จะเปิดโรงงานได้”

 

 

“ข้ารู้แล้ว” เมิ่งฉีรับคำ ขึ้นไปนั่งบนคานรถด้านหน้า สั่งคนรถมุ่งหน้าไปเมืองฝั่งเหนือ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องตะโกนไล่หลัง “หากข้าเสร็จธุระเร็ว จะเข้าไปตอนบ่าย”

 

 

เมิ่งฉีนำขบวนรถม้าจากไปไกล เมิ่งเชี่ยนโยวจึงกลับเข้ามาในห้องตัวเองอีกครั้ง

 

 

เฝิงจิ้งเหวินกล่าวขอโทษ “น้องโยวเอ๋อร์ ข้ามาทำเจ้าเสียงานหรือไม่”

 

 

“ไม่เลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ข้าคิดจะเปิดโรงงานมันฝรั่งที่เมืองฝั่งเหนือ ให้บ่าวกลับไปลำเลียงมันฝรั่งมา วันนี้พวกเขากลับมาพอดี พี่รองพาพวกเขาไปแล้ว ข้าไม่มีอะไรต้องทำอีก”

 

 

จากนั้น ด้วยกลัวเฝิงจิ้งเหวินจะพูดเกรงใจอีก จึงเปลี่ยนเรื่อง ถามนาง “อาซ้อรู้สึกอย่างไรบ้าง”

 

 

“รู้สึกท้องร้อนวูบวาบ นับแต่ที่ข้าคลอดเด็กคนนั้น ท้องข้าก็เย็นยะเยือก ทุกข์ทรมานมาตลอด จนข้าแทบอยากจะเอาท้องไปนาบกับเตาผิงในฤดูร้อนให้รู้แล้วรู้รอด ตอนนี้รู้สึกว่าความเย็นค่อยๆ หายไป เกิดความรู้สึกอุ่นวูบวาบที่ท้องแทน” เฝิงจิ้งเหวินตอบตามความจริง

 

 

“เช่นนั้นก็ดี” เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจยิ่งนัก “นี่แสดงว่าการรักษาได้ผลดี รอจนความเย็นที่มดลูกท่านสลายไปหมด ท่านก็จะกลับมามีบุตรได้อีกครั้งแล้ว”

 

 

“จริงหรือ” เฝิงจิ้งเหวินถามอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพยักหน้า

 

 

เฝิงจิ้งเหวินปลื้มปริ่มน้ำตาไหลอาบโดยไม่รู้ตัว “ดียิ่งนัก ในที่สุดข้าก็จะเป็นแม่ได้แล้ว”

 

 

เฝิงจิ้งซูเห็นนางร้องไห้ก็ตกใจ รีบเข้าไปใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้นาง “ท่านพี่ ท่านนี่จริงๆ เลย นี่เป็นเรื่องดีนะ ท่านจะร้องไห้ทำไม”

 

 

“พี่สาวเจ้าดีใจนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “แต่ว่า อาซ้อ ข้าก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย พวกเราต้องรักษาไปดูอาการไป อีกอย่าง นับแต่วันนี้ไป ท่านจะต้องเข้ามารับการรักษาที่นี่ทุกวัน ห้ามขาดแม้แต่วันเดียว ไม่เช่นนั้นที่ทำมาก็จะล้มเหลว”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าดีใจไม่หยุด “ข้ารู้ๆ ขอบใจน้องโยวเอ๋อร์”

 

 

เฝิงจิ้งซูหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว “พี่โยวเอ๋อร์ ข้าถามท่านอย่างหนึ่งได้ไหม”

 

 

“ถามเถอะ”

 

 

“มดลูกที่ท่านพูดเมื่อครู่คืออะไร”

 

 

นางพูดถึงสองครั้ง เฝิงจิ้งเหวินก็ให้กังขา แต่ก็ไม่กล้าถาม ตอนนี้ได้ยินน้องสาวถาม สองพี่น้องต่างมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว รอคอยคำตอบจากนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย ยกยิ้มอธิบายว่า “มดลูกที่ว่านี้ พูดง่ายๆ ก็คือที่ให้เด็กน้อยเติบโตตอนอยู่ในท้อง มดลูกของพี่สาวเจ้ามีปัญหา จึงทำให้มีลูกไม่ได้อีก”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าเหมือนเข้าใจเหมือนไม่เข้าใจ

 

 

เฝิงจิ้งซูกลับสงสัยพูดว่า “เหลือเชื่อเกินไปแล้ว ข้านึกว่าเด็กอยู่ในท้องซะอีก ที่แท้ก็อยู่ในมดลูก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้นพอพี่สาวเจ้าไม่รู้สึกเย็นวาบที่มดลูก ก็จะสามารถมีบุตรได้อีกครั้ง”

 

 

เฝิงจิ้งซูมองนางอย่างเลื่อมใส “พี่โยวเอ๋อร์ ท่านรู้อะไรเยอะจัง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ “เหล่านี้เพราะได้อาจารย์สอนสั่ง ข้าเพียงทำตามก็เท่านั้น”

 

 

ผ่านไปประมาณสามเค่อ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถอนเข็มออก พูดว่า “นายท่านเหวินกลับไปก่อนแล้ว บอกให้ท่านอยู่รอที่นี่ เขาจะกลับมารับภายหลัง”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินห่มผ้านวม พอใส่เสื้อผ้าใต้ผ้าห่มเสร็จก็ลุกขึ้น พับผ้านวมไปพลางพูดว่า “ไม่ต้องรอให้เขามาแล้ว ข้าและซูเอ่อร์จะนั่งรถม้ากลับไปร้านยาเต๋อเหรินเอง เจ้ามีธุระ อย่าให้เสียเวลาเจ้าอีกเลย”

 

 

เหวินซื่อกลับไปกะทันหัน จะต้องไปสืบเรื่องเฝิงจิ้งเหวินได้รับพิษ และไม่อยากให้นางรู้ ดังนั้นจึงชิงกลับไปตอนนี้ หากตนเองปล่อยนางกลับไปเวลานี้ หากเฝิงจิ้งเหวินจับพิรุธบางอย่างได้ ผลลัพธ์อาจจะคาดไม่ถึง ดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงยิ้มพูดว่า “อาซ้อใจเย็นๆ ข้ายังมีเรื่องเกี่ยวกับอาการของโรคต้องกำชับท่าน”

 

 

พอได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับโรคของตัวเอง เฝิงจิ้งเหวินจึงล้มเลิกความคิดจะไปร้านยาเต๋อเหริน นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมเฝิงจิ้งซู

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวนไปรินน้ำสามถ้วยเข้ามา ยิ้มสรวลพูดกับเฝิงจิ้งซู “เรื่องที่ข้าจะพูดกับอาซ้อเป็นความลับ เจ้าไม่ควรฟัง ให้ชิงหลวนพาเจ้าไปเดินวนจวนสักรอบดีหรือไม่”

 

 

เฝิงจิ้งซูพยักหน้าเห็นชอบ “ได้ ข้ากำลังอยากเดินเล่นในจวนพอดี”

 

 

ชิงหลวนยิ้มอ่อนเดินนำเฝิงจิ้งซูออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดแล้วพูดกับเฝิงจิ้งเหวิน “อาซ้อ ครั้งก่อนหลังจากที่ท่านคลอดบุตร อาหารเป็นพิษที่ท่านกินเข้ายังขจัดออกไปไม่หมด ยังหลงเหลือพิษตกค้างในร่างกาย ตอนนี้ข้าไม่เพียงต้องไล่ความเย็นในมดลูกให้ท่าน ยังต้องขจัดพิษตกค้างในร่างกายท่านออกไปด้วย เช่นนี้ต่อไปพอท่านมีบุตร จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนครั้งก่อนอีก”

 

 

เพราะความตะกละของตัวเอง กินสิ่งของที่ไม่ควรกินเข้าไป ทำให้คลอดเด็กตายออกมา นี่เป็นเรื่องที่เฝิงจิ้งเหวินเสียใจอย่างที่สุด ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า ยังมีสารพิษตกค้างภายในร่างกาย ก็ตกใจกลัว รีบพูดอย่างหวาดหวั่น “น้องโยวเอ๋อร์ ข้าเชื่อเจ้า เจ้าว่าอะไรข้าก็จะทำตามทุกอย่าง”

 

 

“พิษที่ตกค้างในร่างกายท่านต้องใช้เวลาขับออกอย่างน้อยหนึ่งเดือน ดังนั้นในหนึ่งเดือนนี้ท่านจะมีอะไรกับนายท่านเหวินไม่ได้”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินถึงกับหน้าแดงวาบ “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้า…” จากนั้นก็พูดไม่ออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบายว่า “วันนี้การรักษาของเราได้ประสิทธิผล หากท่านมีอะไรกับนายท่านเหวิน ไม่แน่ว่าจะตั้งครรภ์ได้ แต่พิษในร่างกายท่านยังขับออกไม่หมด เด็กอาจจะเหมือนครั้งก่อน พอคลอดออกมาก็จะมีปัญหา ดังนั้น…”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินหน้าแดงเรื่อพยักหน้าหงึกๆ “ข้ารู้แล้ว น้องโยวเอ๋อร์”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “นายท่านเหวินอยู่ในวัยฉกรรจ์ หากพวกท่านอยู่ด้วยกัน อาจจะควบคุมไม่อยู่ ข้าจึงอยากให้อาซ้อกลับไปอยู่บ้านแม่สักหนึ่งเดือน กระทั่งร่างกายขับพิษออกไปหมดแล้ว ท่านค่อยกลับบ้านเหวิน ถึงตอนนี้ต่อให้ตั้งครรภ์ พวกท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วงอีก”

 

 

ความคิดของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เลว แต่ตอนนี้นางเป็นผู้ดูแลเรือน จะกลับไปอยู่บ้านแม่วันสองวันยังพอได้ แต่เวลาหนึ่งเดือน ไม่เพียงในเรือนวุ่นวาย คนอื่นก็จะเอาไปพูดนินทาได้ เฝิงจิ้งเหวินเริ่มลำบากใจ พูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์ ไม่ใช่ข้าไม่อยากกลับบ้าน แต่งานมีเรื่องมีมากมายจริงๆ หากข้าทิ้งจวนไปหนึ่งเดือน อย่าว่าแต่ท่านพี่ ท่านปู่ก็คงจะไม่ยินยอม”

 

 

“เรื่องนี้ไม่ยาก” เมิ่งเชี่ยนโยวเสนอความคิดให้นาง “วันนี้ท่านกลับไป พูดสิ่งที่ข้าบอกกับนายท่านเหวิน ให้เขาไปปรึกษานายท่านใหญ่ ขอให้นายท่านใหญ่ออกหน้าดูแลงานแทนหนึ่งเดือน นายท่านใหญ่อยากอุ้มหลานแทบคลั่งแล้ว เชื่อว่าเขาจะต้องตอบรับอย่างไม่ลังเล”

 

 

นี่เป็นวิธีที่ดี เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้า “ข้าจะลองกลับไปพูดกับท่านพี่ดู หากท่านปู่ยินยอม ข้าจะรีบกลับบ้านแม่ทันที”

 

 

“อีกอย่าง แม้ท่านจะกลับบ้านแม่ไป แต่นอกจากท่านพ่อท่านแม่แล้ว ท่านห้ามบอกใครเรื่องที่ท่านมารักษาตัวกับข้าที่นี่ รวมถึงคนรับใช้ข้างกายด้วย”

 

 

จุดนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเคยกำชับไว้แล้ว เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้ารับคำ “ข้าทราบแล้ว ข้าจะไม่บอกคนอื่น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปสั่งจูหลีให้นำยาที่จัดมาวันนี้มาหนึ่งห่อ พูดว่า “ตอนค่ำ ให้ท่านต้มยาด้วยตัวเอง แล้วดื่มทันที ห้ามผ่านมือคนอื่นเด็ดขาด อีกอย่างต่อไปให้ท่านมารับยาจากข้า นำกลับไปต้มดื่มวันละหนึ่งห่อ”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินจดจำเป็นข้อๆ

 

 

เพิ่งจะพูดจบ เสียงของเหวินซื่อก็ดังขึ้นจากด้านนอก “แม่นางของเจ้ายังรักษาฮูหยินข้าไม่เสร็จหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองเฝิงจิ้งเหวินแวบหนึ่ง เปล่งเสียงตอบกลับ “เข้ามาเถอะ”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินถูกนางมองจนหน้าแดง ก้มหน้าเขินอาย

 

 

เหวินซื่อเดินเข้ามา เห็นฮูหยินของตัวเองก้มหน้าก้มตา ให้นึกประประหลาดใจ เอ่ยปากถามทันควัน “เหวินเอ๋อร์ ไม่สบายตรงไหนหรือ”

 

 

คราวนี้เฝิงจิ้งเหวินแดงลามไปถึงลำคอแล้ว ส่ายหน้างุด ตอบกลับเหมือนเสียงแมลงหวี่ “เปล่าเจ้าค่ะ”

 

 

เหวินซื่อมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างประหลาดใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

 

 

เหวินซื่อยิ่งให้กังขา คิดจะถามอีก เฝิงจิ้งซูก็เดินเข้ามาจากด้านนอก เห็นเหวินซื่ออยู่ในห้องก็ดีใจร้องถาม “พี่เขย ท่านมาแล้ว เมื่อครู่ท่านพี่บอกจะให้พวกเราไปหาท่านที่ร้านยาเต๋อเหริน”

 

 

“อ่อ” เหวินซื่อรับคำ “เมื่อครู่ข้างนึกขึ้นได้ว่าที่ร้านยาเต๋อเหรินมีธุระยังสะสางไม่เสร็จดี จึงกลับไปจัดการ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว”

 

 

เฝิงจิ้งซูก็ร้อง “อ่อ”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินลุกขึ้นพูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์ยังมีธุระ พวกเราอย่ารบกวนนางเลย พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาใหม่เถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมีธุระจริงๆ จึงไม่รั้งทุกคนไว้ ออกมาส่งพวกเขาถึงประตูใหญ่ เห็นทั้งสามคนจากไปไกลแล้ว ถึงสั่งการชิงหลวน “ไปเตรียมรถม้า พวกเราจะไปเมืองฝั่งเหนือ”

 

 

ชิงหลวนให้คนบังคับรถม้าออกมาอย่างเร็วรี่ เมิ่งเชี่ยนโยวพานางและจูหลีมาถึงโรงงานฝั่งเหนือโดยไม่รอรี

 

 

ประตูโรงงานปิดสนิท

 

 

ชิงหลวนลงไปเคาะประตู ครู่หนึ่งถึงมีคนมาแง้มประตูออก พอเห็นเป็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวก็อ้าประตูออกกว้าง ให้พวกเขาเข้ามา

 

 

คนรถบังคับรถม้าเข้ามาในโรงงาน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เห็นองครักษ์หลวงและเหล่าคนงาน กำลังขนย้ายมันฝรั่งเข้าโรงงาน กวาดตามองดู ไม่เห็นเมิ่งฉี ให้นึกสงสัย ถามองครักษ์ที่มาเปิดประตู “คุณชายรองเล่า ไปจวนใต้เท้าเปายังไม่กลับมาหรือ อีกอย่างเหตุใดวันนี้บนถนนถึงเงียบผิดปกติ แม้แต่คนมารองานทำก็ไม่มี เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

 

 

พอเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถาม องครักษ์หลวงที่คล้ายยังหวาดผวาตอบว่า “นายท่าน ท่านยังไม่รู้ เหตุการณ์เมื่อครู่ หากไม่ใช่เพราะพวกเรามีวรยุทธ์ เกรงว่าคงถูกเบียดจนกลายเป็นขนมปังไส้เนื้อไปแล้วขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

องครักษ์เล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยละเอียด

 

 

ที่แท้พอเมิ่งฉีพาขบวนรถม้าเข้ามาถึงเมืองฝั่งเหนือ ก็ถูกคนที่คอยเฝ้าดูว่าโรงงานจะเปิดเมื่อไหร่จับตาดู เห็นรถม้าบรรทุกสิ่งของเต็มแน่น รู้ทันทีว่าเป็นวัตถุดิบ ใกล้จะเปิดโรงงานแล้ว จะต้องรับสมัครคนงาน คนทั้งหมดจึงเฮโลกันเข้ามา รุมล้อมรถม้าสิบกว่าคัน ร้องโวยวายว่าตนเองต้องการลงชื่อทำงาน

 

 

พวกเมิ่งฉียังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกเบียดล้อมไปพร้อมกับรถม้า ต่างตกใจขวัญผวา เมิ่งฉีลุกขึ้นยืนบนรถม้า ตะโกนบอกทุกคนว่า “ทุกคนไม่ต้องเบียด ให้พวกเราขนถ่ายสินค้าลงก่อน ประเดี๋ยวจะมีคนไปประกาศรับสมัครงานเอง”

 

 

คนหมู่มากหางานทำไม่ได้มาหลายวันแล้ว ทั้งคนแก่และเด็กในครอบครัวต่างหิวโหย อีกทั้งพวกเขายังได้ยินคนงานซ่อมหลังคาพูดว่า โรงงานจะมีผัดผักใส่เนื้อหมูให้กินวันละหนึ่งมื้อด้วย พวกเขาต่างกระวนกระวายรอคอย ตอนนี้พอเห็นขบวนรถม้าเข้ามา กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ทำงาน จึงเบียดเสียดกันเข้ามา หาได้สนใจคำพูดของเมิ่งฉีไม่

 

 

ผู้คนมากมายร้องโหวกเหวก ม้าตกใจกลัว ส่งเสียงร้องไม่หยุด องครักษ์หลวงต้องออกแรงไม่น้อยถึงควบคุมพวกมันลงได้ แต่ปฏิกิริยาของทุกคนกลับยิ่งร้อนแรง กลายเป็นความวุ่นวายขนาดย่อม หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องควบคุมม้าไว้ไม่อยู่ หากม้าก่อเรื่องเหยียบคนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

 

 

เมิ่งฉีไม่มีทางเลือก สั่งองครักษ์นายหนึ่ง “รีบไปขอให้ใต้เท้าเปานำทหารเข้ามา”