บทที่ 58 เดินเล่น
สุดท้ายซูเฉินก็รั้งอยู่กับตระกูลจูที่เมืองภูผาเมินเป็นเวลา 3 เดือน
ในช่วง 3 เดือนนี้ จูเซียนเหยาช่วยซูเฉินเรื่องการค้นคว้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นจึงอยู่ด้วยกันเกือบทุกคืน และเพราะเขาปรับสูตรยาอยู่เกือบทุกวัน พวกเขาจึงต้องตกอยู่ในห้วงอารมณ์เกือบทุกคืน บ้างวันหลายครั้งก็ยังมี
บางทีครั้งแรกกับครั้งที่สองอาจนับว่าเผอเรอได้ แต่หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นความเคยชิน
ซูเฉินรู้สึกผิดต่อกู่ชิงลั่วในครั้งแรกและอาจเป็นในครั้งที่สอง แต่ต่อมาความรู้สึกนั่นก็จางหายไป
มันก็เป็นเช่นนี้ เมื่อถึงจุดต่ำสุดเมื่อไร มันก็จะปรับให้ต่ำลงและต่ำลงไปเรื่อย ๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ไม่ต้องใช้ยา แต่ทั้งคู่ก็สามารถกระทำการกันเองโดยไม่ต้องมีเหตุผลมารองรับได้
ซูเฉินกับจูเซียนเหยาชอบตอนที่ทั้งคู่มีสติเสียมากกว่า เช่นนั้นพวกเขาก็จะสามารถจดจำและดื่มด่ำกับห้วงอารมณ์ได้ลึกล้ำมากขึ้น
คนอื่น ๆ เองก็จับสัมผัสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน
คนตระกูลจูปรับตัวได้ดีไม่น้อย คำสัญญาของซูเฉินนับว่าตัดปัญหาที่เคยมีต่อกันไปได้ ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่ ยิ่งเห็นผลประโยชน์เป็นสำคัญ หากซูเฉินยินดีมอบผลประโยชน์ให้ จะใช้จูเซียนเหยาจ่ายให้เขาก็ไม่นับเป็นปัญหา เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยสัญญาว่าจะแลกจูเซียนเหยาและของอื่น ๆ กับซูเฉิน เพียงแต่ได้มาแลกอีกหลายปีให้หลังเท่านั้น…… ทั้งยังไม่ต้องจ่าย ‘ของอื่น ๆ’ ให้อีกต่างหาก
โหยวเทียนหย่างได้แต่ร้องไห้จนหลับไป
หลังจากรู้ว่าจูเซียนเหยาเสียบริสุทธิ์ไปแล้ว เจ้าอ้วนน้อยก็ยังรักนางไม่เสื่อมคลาย หากเหยาเหยาเต็มใจเขาก็พร้อมยอมมองข้าม จนกระทั่งมารู้ว่าแม้ตนเองอยากจะได้สักเศษเสี้ยวหนึ่งที่เป็นของเหลือ ๆ อีกฝ่ายก็ยังไม่เต็มใจให้
เวลา 3 เดือนผ่านไปเช่นนั้น จูเซียนเหยาได้ซูเฉินคอยนำทางก็เริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เรือนร่างดูเป็นสตรีมากขึ้น กลิ่นอายเย้ายวนก็แผ่รอบกายโดยไม่ต้องพยายาม แม้ไม่ได้ใช้วิชาลวงใจคน ใครที่ได้เห็นนางก็ย่อมรู้สึกถูกดึงดูด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสน่ห์ของนางเพิ่มขึ้นหรือเป็นเพราะผลของสสารหลงราคะเสน่ห์กันแน่
กระนั้นซูเฉินก็ยังวิจัยสสารหลงราคะเสน่ห์ไม่เสร็จ ไม่ใช่ว่ามันไร้ประโยชน์ แท้จริงแล้วในเดือนแรกเขาก็หาวิธีผสานมันเข้ากับสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ได้แล้ว ทำให้วิชาลวงเสน่ห์ของจูเซียนเหยาสามารถส่งผลกับคนที่มีพื้นฐานพลังสูงกว่านางได้ขั้นหนึ่ง
หรือก็คือจูเซียนเหยาสามารถลวงเสน่ห์คนด่านสู่พิสดารได้แล้วทั้งที่นางยังอยู่ด่านทะลวงลมปราณ
นับว่าเป็นการเพิ่มพลังไม่น้อยทีเดียว
ปัญหาคือซูเฉินยังหาวิธีกำจัดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้สสารหลงราคะเสน่ห์ไม่ได้ เมื่อจูเซียนเหยาใช้วิชา นางสามารถลวงเสน่ห์คนพลังสูงกว่าได้ก็จริง แต่ตัวนางเองก็จะถูกดึงเข้าไปในห้วงแห่งความหลงใหลด้วยเช่นกัน
ถึงตอนนี้จูเซียนเหยาก็เสียการคุมสติไปมากกว่าร้อยครั้งแล้ว ทุกครั้งก็จะใช้ซูเฉินแก้ปัญหา
ทำให้ซูเฉินมีความสุขอยู่บ้างแม้จะหงุดหงิดกับปัญหานี้ก็ตาม
ตัวเขาเองก็ไม่รู้ แต่เส้นแบ่งของเขาเองก็ลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ เช่นกัน
วันนี้ก็เช่นกัน ซูเฉินยังคงทำการทดลองต่อไป
“แปลกนัก ความสามารถของสสารประเภทนี้ส่วนมากจะสร้างความปั่นป่วนหลังจากที่เข้าสู่จิตใจไปแล้ว แต่หากเจ้าหยุดมันได้จนมันไม่อาจเข้าสู่จิตใจ ตามทฤษฎีแล้วผู้ใช้ก็ควรจะไม่ได้รับผลข้างเคียงสิ แล้วทำไมถึงไม่ได้ผลกัน ?” ซูเฉินพึมพำกับตนเอง
“หากตอนนี้ยังคิดไม่ออกก็ไม่ต้องหงุดหงิดไปหรอก” จูเซียนเหยาปลอบ “ของแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืน เจ้าค่อย ๆ ลงมือเถอะ หากเหนื่อยเกินไป ออกไปเดินผ่อนคลายบ้างก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจเกิดแรงบันดาลอะไรระหว่างทาง”
ได้ยินดังนั้นซูเฉินก็คิดพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้าตกลง “เจ้าพูดถูก ข้าอุดอู้อยู่ในห้องมาหลายวันแล้ว ควรออกไปเดินบ้าง ใครจะรู้ว่าข้าอาจพบเรื่องเป็นประโยชน์ก็ได้ !”
ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ถนนในเมืองภูผาเมินเต็มไปด้วยผู้คน แต่ครั้งนี้มีเผ่าเกล็ดทรายน้อยกว่านัก การหายตัวไปของปัวเอ่อร์ส่งผลให้เผ่าเกล็ดทรายระส่ำระสาย เผ่าเกล็ดทรายทั้งหลายต่างแข่งขันจะชิงเอาตำแหน่งหัวหน้ากันอยู่
ถนนที่ก่อนหน้าเคยถูกพ่อค้าเผ่าเกล็ดทรายครอง ตอนนี้เป็นระบบระเบียบขึ้นมาก ไม่มีใครบังคับใครให้ซื้อของแล้ว อีกทั้งไม่ได้มีข้อบังคับไร้ลายลักษณ์อักษรมากมายยามทำการค้าเช่นแต่ก่อน สตรียังออกมาเดินเตร่ได้แล้ว ทั้งพูดคุยหัวเราะกับคนอื่น ๆ ได้
ซูเฉินกับจูเซียนเหยาเดินไปตามถนน ถูกใจอะไรก็ซื้อ อะไรน่ากินก็ลิ้มลอง เหมือนกับคู่รักไม่มีผิดด้วยเดินคุยไปหัวเราะไป มีความสุขยามได้อยู่ด้วยกัน
ซูเฉินยังหนุ่มยังแน่น เต็มไปด้วยพลังชีวิต ส่วนจูเซียนเหยาก็สง่างามและงามจับตา ทำให้ทั้งสองเป็นที่จับตามองของคนรอบข้างไม่น้อย
“นี่ อันนี้ดูดีไหม ?” จูเซียนเหยาถามซูเฉินพลางหยิบเครื่องประดับรูปดอกไม้ขึ้นมาแล้วลองประดับบนศีรษะตนดู
ซูเฉินส่ายหน้า “หยาบไปหน่อย”
จูเซียนเหยาวางชิ้นนั้นลงแล้วลองต่อไป ทันใดนั้นสร้อยมุกเส้นหนึ่งก็ต้องตานาง จึงเอ่ยปากถามเขาทันทีว่าดีหรือไม่
ซูเฉินเอ่ย “คุณหนู ที่นี่คือปราการหงส์เดียวดาย ไม่ได้มีทะเลอยู่ใกล้ ๆ แล้วมุกนั่นจะมาจากที่ใด ? และถึงจะมี ราคาก็คงสูงเกินเอื้อม มันจะถูกเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ? ของแบบนี้ของปลอมแน่นอน”
หากเป็นพ่อค้าเผ่าเกล็ดทราย คนขายคงชักดาบออกโจมตีไปแล้วแม้ซูเฉินจะพูดถูกต้องทุกประการ แต่ด้วยคนที่ขายมุกปลอมเป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงได้แอบแต่สบถด่าเบา ๆ เท่านั้น
จูเซียนเหยาบุ้ยปาก “แต่ข้าชอบมันนี่ ! ปลอมแล้วอย่างไร ?”
นางมีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ
ซูเฉินรู้ว่าจูเซียนเหยาจงใจ สายตานางคมเช่นนั้น จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าปลอม ? นางเพียงแต่ทำตัวให้เพลิดเพลินบันเทิงใจเท่านั้น
เพลิดเพลินกับการทำหงุดหงิดใส่คนที่นางรัก ไปกับการให้ซูเฉินเอาใจนางอย่างอ่อนโยน
ว่ากันว่ายามสตรีมีความรักแล้วจะกลายเป็นคนโง่ พวกนางอาจไม่ได้โง่ เพียงแต่แกล้งทำเป็นโง่เท่านั้น
แต่คนที่นางรักคือซูเฉิน
ซูเฉินไม่ใช่คนหวานล้ำ ไม่คิดทำเจ้าชู้ไปเรื่อย ดังนั้นจึงไม่เล่นตามจูเซียนเหยา เอ่ยเพียง “หากเจ้าชอบก็ซื้อเองเถอะ แท้หรือปลอมอย่างไรก็ไม่สำคัญกับคุณหนูจูอยู่แล้ว หากมีเงินก็ซื้อเลย”
พูดจบเขาก็เดินจากไป
ทิ้งจูเซียนเหยาไว้เช่นนั้น จนนางได้แต่มุ่ยหน้ากระทืบเท้าโกรธ
คนที่พยายามเข้าแทรกหัวเราะขึ้น “นี่คนงาม ไม้ทื่อท่อนนั้นจะไปสนุกอะไร ทั้งใจร้ายทั้งเลวร้ายเช่นนั้น ไปตามเขาต้อย ๆ ไปไยเล่า ? หากมากับข้า ข้าจะทำให้เจ้าสุขสมทุกคืนเลย”
จูเซียนเหยาตบเขาทันทีโดยไม่คิด ทำให้อีกฝ่ายถึงกับสายตาพร่ามัวล้มก้นกระแทกพื้น
คุณหนูตระกูลจูนั้นอารมณ์ร้าย นางอ่อนโยนแต่กับซูเฉิน คนใจกล้าคิดอยากเสี่ยงโชคแต่กลับถูกนางอัด แต่อย่างไรที่นี่ก็อาณาจักรหลงซาง จูเซียนเหยาจึงยั้งมือกับเขา หากเป็นที่อาณาจักรเหลียวเย่อาจถูกนางสังหารทิ้งไปแล้ว
หากแต่คนถูกตบไม่รู้ เขาไม่คิดว่าคำพูดประโยคเดียวจะถูกนางกระทำเช่นนี้ ดังนั้นจึงโกรธขึ้งขึ้นมาทันที “นางแพศยา ตายเสียเถอะ !”
แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา
จุดจบนั้นชัดเจนนัก คนทั้งหลายได้แต่มองเหล่าคนร่วงลงจากฟ้าคล้ายกับเกี๊ยวหล่นลงมาทับกันเป็นกองกับพื้น
พวกเขาได้แต่หัวเราะด้วยความขบขัน เมื่อครู่พวกเขาอิจฉาซูเฉิน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกสงสารเข้าแล้ว
จูเซียนเหยาเดินต่อ แต่ตีคนครั้งนี้เหมือนจะคลายความโกรธนางได้มาก นางกอดแขนซูเฉินไว้ “หากเจ้าไม่คิดว่าดีข้าก็ไม่อยากได้แล้ว หากไม่ฟังข้า ข้าก็จะเป็นฝ่ายฟังเจ้าแทน เช่นนี้ดีพอหรือไม่ ?”
ท่าทางดุดันกล้าหาญเมื่อครู่ไปไหนเสียแล้ว ? คนที่มองอยู่ต่างพากันอ้าปากค้างมองภาพนั้น