ภาคที่ 4 บทที่ 57 หลงเสน่ห์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 57 หลงเสน่ห์

หลังจากขบวนหยุดพักเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มเดินทางต่อ ทว่าบรรยากาศออกจะประหลาดไปสักหน่อย

ใครที่ตายังใช้งานได้ย่อมรู้ว่าจูเซียนเหยามีบางอย่างเปลี่ยนไป ทำให้รู้ได้ง่ายนักว่าเกิดอะไรขึ้น

ต่างคงก็มองไปต่างกัน

จูไป๋อวี่มองจูเซียนเหยาด้วยความทุกข์ใจ เขารู้ความรู้สึกที่จูเซียนเหยามีต่อซูเฉิน แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นเช่นนี้ แต่จูเซียนเหยามีสีหน้าราวกับไม่ใส่ใจสักนิด ราวกับเผลอทำเนื้อฉีกเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ

โหยวเทียนหย่างกอดตัวเองกลมแล้วร้องไห้ หลบอยู่ในรถตนเอง น้ำตาชุ่มผ้าเช็ดหน้าไปสามผืน แต่ก็ยังไม่พุ่งออกมาคว้าขอซูเฉิน

ฉือหมิงเฟิงไปหาซูเฉินโดยส่วนตัว ถามว่าจะทำอย่างไรต่อ เขาไม่คิดกังวล เว้นเสียแต่ซูเฉินจะเอนเอียงไปทางตระกูลจูเพราะเหตุนี้ แม้อารามนิรันดร์กับตระกูลจูจะดูอยู่ด้วยกันอย่างสงบแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉือหมิงเฟิงจะยอมให้ซูเฉินไปเข้าร่วมตระกูลจู กลับกัน หากภารกิจนี้ทำให้ซูเฉินไปผูกมิตรกับตระกูลจู อารามนิรันดร์ก็จะเสียพันธมิตรล้ำค่าไปคนหนึ่ง นับว่าสูญเสียมากกว่าได้ เคราะห์ดีที่คำตอบของซูเฉินทำให้เขาโล่งใจ

เรื่องส่วนตัวระหว่างสองคนนี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับไม่ถ้วน ทุกคนก็สรุปกันเอาเองคิดกันเอาเอง ไม่ว่าจะเป็นคนอารามนิรันดร์หรือตระกูลจู คนเดียวที่ไม่กระทบคือเยี่ยเม่ย นางเป็นคนเดียวที่ไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงจองคนทั้งคู่

ดังนั้นนางจึงยังติดตามซูเฉินไปมาอย่างไม่คิดอะไร พยายามพูดจาไร้สาระแล้วรีดเอาของกินจากเขาให้ได้มากกว่าเดิม นางสังเกตเห็นเพียงอย่างเดียวคือวันนี้ไม่มีจูเซียนเหยามาเกาะแกะซูเฉิน ทำให้นางยินดีนัก แม้ซูเฉินจะยังทำเมินนางและสนใจแต่สสารต้นกำเนิดตัวใหม่ในขวดแก้วก็ตาม

แน่นอนว่าครั้งนี้เขาระมัดระวังไม่เปิดโอกาสให้เยี่ยเม่ยได้มาวุ่นวายกับขวดยาอีก

หลังจากเดินทางมาวันหนึ่ง ในที่สุดก็ถึงเมืองภูผาเมิน

ถึงตอนนี้ก็ได้เวลาแยกทางแล้ว

หลังจากถามจูเซียนเหยาว่าวางแผนไว้อย่างไรแล้ว จูไป๋อวี่ก็หมายจะพาคนจากไป ทว่าซูเฉินกลับเดินเข้ามากล่าวคำ “หากตระกูลจูไม่ได้มีธุระเร่งด่วนอะไร ข้าแนะนำให้พวกท่านรั้งอยู่อีกสักสองสามวัน”

“ทำไมเล่า ?” จูไป๋อวี่ถาม

“ข้าอยากมอบของขวัญก่อนจากกับเซียนเหยา ทำให้ต้องใช้เวลาอีกหน่อย”

จูไป๋อวี่มองซูเฉินด้วยสีหน้าซับซ้อน “ของที่เจ้าคิดจะมอบ ตระกูลจูอาจมีอยู่แล้วก็ได้ หากไม่มีอะไรแล้วข้า……”

“รวมถึงยาที่ช่วยทำให้สายเลือดแข็งแกร่งขึ้นด้วยหรือ ?” ซูเฉินถาม

“เจ้าว่าอะไรนะ ?” จูไป๋อวี่ตกใจ “เจ้ามียาที่ช่วยเพิ่มพลังของสายเลือดตระกูลจูได้หรือ ?”

“มันจำกัดแค่สายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์เท่านั้น อีกทั้งข้ายังวิจัยมันอยู่”

“เจ้าพูดจริงหรือ ?”

“ข้ายังไม่มั่นใจ ข้าเพียงแต่พบสสารชนิดหนึ่ง เป็นตัวที่…… สามารถดึงเอาความใคร่ที่ปิดบังไว้ในใจคนออกมาได้ มันกระทั่งทำลายการป้องกันจิตเข้าไปได้ หากรวมกับสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ ไม่แน่ว่าอาจทำให้ความสามารถในการลวงเสน่ห์ของสายเลือดก้าวข้ามพลังของตัวมันเองก็เป็นได้” ซูเฉินตอบ

จูไป๋อวี่ ฉือหมิงเฟิง และคนอื่น ๆ เข้าใจโดยทันที

ซูเฉินกำลังอธิบายเรื่องเมื่อวานโดยใช้วิธีการเฉพาะต่างหาก

ถึงจะยังมีเรื่องที่ต้องอธิบายเพิ่มก็ตามแต่

จูไป๋อวี่มองซูเฉิน “มั่นใจหรือว่าทำได้ ?”

หากเป็นอย่างซูเฉินว่าจริง เช่นนั้นพลังของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ก็จะพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อทีเดียว

ซูเฉินส่ายหน้า “ข้ายังไม่มั่นใจ แต่ข้าย่อมต้องทำให้ถึงที่สุด”

เขาหันมองจูเซียนเหยา “กลับไปนางคงถูกลงโทษใช่หรือไม่ ?”

จูเซียนเหยายืนอยู่ตรงนั้น จงใจทอดสายตามองไกลออกไปไม่ยอมตอบคำ

จูไป๋อวี่ถอนใจ ความเงียบของเขาเป็นคำตอบแล้ว

ซูเฉินเอ่ยคำ “หากสายเลือดนางแกร่งขึ้นได้ ข้าคิดว่าคงแก้ปัญหาของนางได้มาก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะช่วยทำให้นางแกร่งขึ้นให้ได้”

จูเซียนเหยาคำรามในลำคอ “คิดว่าข้ากลัวหรือ ?”

ซูเฉินตอบ “เจ้าไม่กลัวการลงโทษ แต่คงไม่ใช่ว่าไม่ชอบความแข็งแกร่ง”

จูเซียนเหยาเงียบไป

ซูเฉินว่า “เจ้าพูดถูก ฟ้าไม่ช่วยคน เราต่างหากต้องช่วยตนเอง ในเมื่อเจ้าอยากแข็งแกร่ง เจ้าก็ไม่ควรปิดกั้นตนเองจากทุกโอกาสตรงหน้า หากมองข้ามโอกาสนี้ไปเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา เช่นนั้นเจ้าก็ยังใสซื่อเป็นเด็กน้อยนัก เจ้าอาจแกล้งทำท่าเป็นผู้ใหญ่ได้ แต่แท้จริงกลับไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรเลย”

จูเซียนเหยาจ้องเขาอยู่นานก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “เจ้าพูดถูก ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไร้เหตุผลในการปฏิเสธการทำให้ตัวข้าแกร่งขึ้น แต่ทำไมข้าต้องเชื่อว่าเจ้าจะสามารถทำได้เล่า ?”

ซูเฉินตอบ “หากข้าทำไม่ได้ ข้าจะมอบโทเทมโลหิตสลายให้เจ้า เจ้าน่าจะได้เห็นที่เผ่าหินผาสามารถใช้มันได้แล้ว ถือเสียว่ามันเทียบได้กับการถือครองวิชาทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดก็แล้วกัน เจ้าว่าอย่างไร ?”

ในแง่การใช้งานจริง โทเทมโลหิตสลายไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดเลย

นับว่าซูเฉินจะมอบของที่ตระกูลจูกัดฟันสู้อย่างขมขื่นมานานหากแต่ไม่ได้มาสักที

ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

เป็นตอนนั้นเองที่ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวไป๋อวี่ มองมุมหนึ่ง ใช้สาวงามเป็นกับดักนับว่าสำเร็จ หากแต่ผลลัพธ์ต้องใช้เวลาหลายปีมากกว่าจะยังผล ทั้งยังมาในวิถีที่แปลกนัก

——————————

หลังจากนั้น ตระกูลจูกับซูเฉินก็รั้งอยู่ในเมืองภูผาเมิน

ฉือหมิงเฟิงเองก็อยากรั้งอยู่ด้วย เพราะไม่มั่นใจว่าซูเฉินจะหันไปผูกมิตรกับตระกูลจูหรือไม่ ทว่าซูเฉินย้ำคำสัญญากับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลจู มันจะไม่กระทบถึงความสัมพันธ์กับอารามนิรันดร์แน่ เขาจึงได้แต่จากไปด้วยความลังเล ก่อนจากยังถามถึงแผนการต่อไปของซูเฉินด้วย

ซูเฉินคิดครู่หนึ่ง จากนั้นตอบว่าจะเดินทางไปหลงซี

เข้าจะไปหากู่ชิงลั่ว

ไม่ใช่เพราะความคิดถึงที่ต้องห่างกันนาน แต่เป็นเพราะเขาต้องอธิบายเรื่องจูเซียนเหยากับนางต่างหาก

ดังนั้นฉือหมิงเฟิงจึงจากไปด้วยความมั่นใจ ก่อนไปเขาทิ้งค่ายกลร้อยลี้ที่ทำให้สามารถสื่อสารกันทางไกลได้ มันเป็นค่ายกลต้นกำเนิดที่สามารถทำให้สื่อสารได้ในระยะทางที่ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีการคิดค้นขึ้นมา ที่ไกลกว่านี้ยังไม่อาจเป็นไปได้ หากต้องการสื่อสารกัน ก็ต้องส่งข้อความผ่านค่ายกลเหล่านี้หลายอย่างกว่าจะถึงที่หมายได้

แต่อย่างไรเมื่อมีวันในมือแล้ว ซูเฉินกับฉือหมิงเฟิงย่อมสามารถสื่อสารกันได้ง่ายมากขึ้น

เยี่ยเม่ยลังเลไม่ยอมจากไปอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกต่อซูเฉินของนางยังไม่ล้ำลึกจนเรียกว่ารักได้ ดังนั้นหลังจากหลอกเพียงเล็กน้อยก็ยอมจากไป

เมื่อคนจากอารามนิรันดร์จากไปแล้ว ซูเฉินก็เก็บตัวอยู่ในห้องทดลองทันที

เขาใช้เวลาส่วนมากไปกับการค้นคว้าเรื่องสสารต้นกำเนิดสีชมพู โดยให้ชื่อมันว่า ‘หลงราคะเสน่ห์’

สสารต้นกำเนิดหลงราคะเสน่ห์ตัวนี้คือยาปลุกกำหนัดที่แรงที่สุดที่ซูเฉินเคยเห็น ยังไม่รวมถึงผลเพิ่มเติมที่สามารถส่งอิทธิพลถึงจิตได้โดยตรง ทั้งยังไม่สนเกราะป้องกันจิตใด ๆ ที่ตั้งเอาไว้เลยอีก

ก็คล้ายกับการโจมตีจิตที่ไม่สนเกราะร่าง สสารหลงราคะเสน่ห์นี่ก็ไม่สนเกราะจิตเช่นกัน ไม่ว่าจะมีพลังจิตกล้าแข็งเพียงไร สุดท้ายก็จะถูกมันครอบงำแน่นอนว่าหากพลังจิตสูงส่งก็จะฟื้นสติได้เร็วกว่า ทำให้ซูเฉินได้สติโดยเร็ว หากแต่ถึงตอนนั้นมันก็สายเกินกว่าจะมานั่งเสียใจแล้ว ส่วนจูเซียนเหยานั้นกำลังตกอยู่ในห้วงราคะเร่าร้อน เรือนร่างเปลือยเปล่าของนางก็ยั่วยวนนัก สุดท้ายซูเฉินก็ปล่อยตัวปล่อยใจ ทำเป็นว่าตนยังตกอยู่ใน ‘ผลของสสาร’ ไป

แต่แน่ว่าเขาย่อมไม่มีทางบอกจูเซียนเหยาเรื่องนั้นแน่

หากเขาคิดผสานสสารหลงราคะเสน่ห์กับสายเลือดของจูเซียนเหยาและปรับปรุงมันจนสามารถลวงได้เพียงเป้าหมาย ก็คงต้องใช้ความพยายามมากสักหน่อย เขาต้องคอยค้นคว้าและทดสอบทฤษฎีเรื่อย ๆ ทำให้จูเซียนเหยาต้องร่วมมือด้วยการคอยมอบเลือดให้เขา

ดังนั้น แม่นางจะคอยพูดว่านางจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยตนเองและจากซูเฉินไป แต่แท้จริงแล้วนางกลับสนิทสนมกับซูเฉินมากขึ้นไปอีก

และยังไม่เพียงเท่านั้น

ภายในห้อง ซูเฉินหยิบยาที่เขาปรุงขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ลองทดสอบผลของยาตัวนี้เถอะ”

ควันพวยพุ่งออกมาอีกครา จิตใจของคนทั้งคู่ถูกกระตุ้นจนสั่นสะท้าน ทั้งสองจ้องตากัน เต็มไปด้วยความพร่ามัว จากนั้นก็โผเข้ากอดกัน ……