ภาคที่ 4 บทที่ 56 ตัดสินใจบทที่

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 56 ตัดสินใจบทที่

ตอนเช้าตรู่

จูเซียนเหยาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง นางถูเรือนผมยุ่งเหยิงของตนแล้วหันไปอีกดด้าน หมายจะนอนต่ออีกสักหน่อย

แต่เหมือนกลับนึกบางอย่างขึ้นได้จึงพุ่งพรวดขึ้นมานั่ง นัยน์ตาเบิกกว้าง เผยให้เห็นผิวพรรณนวลนุ่มครึ่งบน

นางรีบปิดอกตามสัญชาตญาณแล้วเงยหน้ามองซูเฉินที่ยืนอยู่หน้าแท่นทดลอง ในมือถือขวดสีหน้าครุ่นคิด

จูเซียนเหยาจ้องซูเฉินด้วยความมึนงง “เจ้า…… ข้า……”

“ตื่นแล้วหรือ” ซูเฉินเอ่ยทั้งที่ยังไม่เงยหน้า

จูเซียนเหยาพูดอึกอัก “เมื่อวานเรา……”

ภาพฉากเมื่อวานพลันแล่นผ่านเข้ามาในหัว

ก็น่าแปลกนัก ในช่วงเวลาที่ทั้งคู่ความสับสนมึนงง นางยังคงจำได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าความทรงจำนางยุ่งเหยิงเพียงนิด

แต่ก็เพราะเช่นนั้นที่ยิ่งทำให้นางโกรธและอับอายกว่าเก่า

นางทำเรื่องแบบนั้นกับเขาไปได้อย่างไรกัน ?

หากมันเกิดขึ้นเพราะความรัก จูเซียนเหยารู้แล้วจะไม่โกรธเลย ทั้งยังอาจรู้สึกทั้งดีใจทั้งเขินอายไปพร้อมกันอีกต่างหาก

แต่มันกลับมีความรู้สึกซับซ้อนสับสนซึ่งเกิดจากนางบรรลุในสิ่งที่ต้องการ แต่เป็นในทางที่กะทันหันเกินไป

ตัวจูเซียนเหยาเองยังไม่รู้ว่าตนควรทำอะไรเลย

“อืม” ซูเฉินเอ่ยเสียงทุ้ม “พวกเราทำเรื่องที่ไม่สมควรทำลงไปแล้ว”

ทำท่าราวกับเจ้าเป็นคนเสียหายเลย จูเซียนเหยาสบถในใจ นางอดโกรธขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของเขา หน้านางคว่ำไปทีเดียว

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?” นางถาม

ซูเฉินตาเป็นประกายวาบพลางมองไปยังขมวดที่มีควันสีชมพู “เป็นเพราะควันประหลาดนี่”

“มันเป็นยาปลุกกำหนัดหรือ ?” จูเซียนเหยาอึ้งไป

“ไม่ใช่ มันล้ำหน้ากว่านัก ! ยาปลุกกำหนัดเพียงแต่ปลุกความใคร่ในตัวคนขึ้นมา ฉะนั้นใครที่จิตใจเข้มแข็งก็ต้านมันได้ แต่สสารนี้ส่งผลต่อจิตโดยตรง ไม่เพียงปลุกความใคร่ แต่ยังปัดเหตุผลทั้งหมดออกจากหัว กระทั่งคนด่านสู่พิสดารหรือด่านผลาญจิตวิญญาณก็ยังอาจต้านมันไม่อยู่”

“นี่เจ้าค้นคว้าเกี่ยวกับเจ้านี่จริง ๆ หรือ ?” จูเซียนเหยาผุดลุกขึ้นด้วยความโกรธ จากนั้นก็พบว่าร่างกายตนเปลือยเปล่าจึงนั่งลงอีกครั้ง

หากแต่ซูเฉินไม่สนนางสักนิด “ข้าไม่คิดว่าสสารต้นกำเนิดตัวใหม่จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน แล้วการสกัดก็คงดันมาสำเร็จเอาตอนนั้นพอดี ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้กระมัง”

ซูเฉินถอนใจ

“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกเหมือนเสียหายใหญ่หลวงเลยงั้นสิ ? เหมือนกับหมดหนทาง ? เหมือนกับเจ็บปวดมาก ?” จูเซียนเหยาจ้องซูเฉินด้วยนัยน์ตาโกรธและเกลียดชัง

“ย่อมไม่ใช่ ข้าเพียงคิดว่าบางครั้งชะตาคนก็ไม่แน่นอน……” ซูเฉินเงียบไปหลายอึดใจ จากนั้นว่าต่อ “ยังอยากให้ข้าล้างความทรงจำอีกหรือไม่ ?”

จูเซียนเหยาชะงักไป

ถึงตอนนี้นางก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อแล้ว

หลังครุ่นคิดอยู่นานนางก็ลุกขึ้น ผิวงามดั่งหยกของนางก็เผยสู่สายตาซูเฉินอีกครั้ง

แม้จะเคยเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของจูเซียนเหยามาแล้ว แต่ได้เห็นอีกครั้งก็ทำเอาตกใจเช่นกัน

นางหยิบชุดขึ้นมาสวมต่อหน้าซูเฉิน จากนั้นก็ก้าวเท้าออกจากห้องไป

“เดี๋ยวก่อน” ซูเฉินเอ่ย

“อะไร ? เจ้าอยากทำอีกรอบหรือ ?” จูเซียนเหยาถาม

นางถามเสียงกระชาก แต่ในใจกลับอยากให้ซูเฉินตอบตกลง

หรือก็คือที่นางต้องการมากที่สุดคือการที่ซูเฉินจะแสดงความอบอุ่นกับนางบ้าง

น่าเสียดายที่ซูเฉินจะทำให้นางต้องผิดหวัง

เขาส่งยาขวดหนึ่งให้ “ในเมื่อมันเป็นครั้งแรกของเจ้าปราณกับเลือดลมเจ้าคงยุ่งเหยิงนัก เรื่องเมื่อคืนถูกเปิดโปงได้ไม่ยาก หากไม่อยากให้ใครรู้ก็ดื่มนี่เสีย”

จูเซียนเหยารับยามาก่อนตวัดสายตามองซูเฉิน “พูดเท่านี้น่ะหรือ ? ดื่มยานี่เสียแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ ?”

ซูเฉินถอนใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากให้ข้าพูดอะไร แต่ขออภัยด้วย ข้าต้องใช้เวลาสงบจิตใจลงและคิดเรื่องบางอย่างก่อน ข้ายังให้คำสัญญาตอนนี้ไม่ได้ แต่เจ้าให้เวลาข้าได้หรือไม่ ?”

นางเห็นสีหน้าจนใจของเขาแล้ว ไฟโกรธในใจจูเซียนเหยาก็มอดลงทันใด

หลังจากปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มแล้ว จูเซียนเหยาก็ปาดมันออก “ข้าตัดสินใจแล้ว”

“อะไรนะ ?” ซูเฉินไม่เข้าใจ

“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าล้างความทรงจำข้าอีก ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็จะเป็นตัวของข้าต่อไป” จูเซียนเหยาว่าพลางวางขวดยาลง “และข้าก็ไม่ต้องให้เจ้ามาช่วยปิดเรื่องให้เงียบ ข้าเสียบริสุทธิ์แล้วคนอื่นรู้แล้วอย่างไร ? ข้าก็มีบุรุษเพียงคนเดียวคือซูเฉิน และถึงเจ้าไม่ยกข้าเป็นภรรยา ข้าก็ไม่คิดปฏิเสธ และข้าก็จะไม่บังคับเจ้าด้วย ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นความเต็มใจของข้าเอง ไม่ว่าใครจะเยาะจะสาปส่งจะดูถูกข้า ข้าก็ทำไปโดยไร้ความเสียใจ เจ้าไม่ต้องมารู้สึกผิดบาปกับเรื่องนี้ แต่หากไม่ชอบ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ในเมื่อข้าเป็นฝ่ายตกหลุมรักเจ้า ข้าก็จะเป็นฝ่ายเต็มใจรอเจ้าทั้งชีวิตเอง”

นางพูดแล้วก็เดินออกไป

นี่มันบ้าอะไรกัน

ใจซูเฉินตกอยู่ในความสับสนอลม่านนัก

เจ้าอย่าใช้คำพูดมีคุณธรรมเช่นนั้นเฉดหัวข้าให้กลายเป็นไอ้ขยะไร้เมตตาได้หรือไม่ ?

พูดว่า ‘หากไม่ชอบ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร’ ‘ข้าก็จะเป็นฝ่ายเต็มใจรอเจ้าทั้งชีวิตเอง’ ‘ไม่ว่าใครจะเยาะจะสาปส่งจะดูถูกข้า ข้าก็ทำไปโดยไร้ความเสียใจ’ เช่นนี้ไม่ใช่เรียกว่าใช้เล่ห์เหลี่ยมมัดมือชกหรอกหรือ ?

แต่กล่าวได้ว่านับตั้งแต่ที่นางวางขวดยาลงและเดินออกไป ทุกคนก็รู้เรื่องกันหมดแล้ว

ตอนนี้นัยน์ตานางสุกใสนัก ที่เยี่ยเม่ยกล้าเข้ามานอนในห้องเขาและไม่กลัวถูกใครหัวเราะเยาะก็เพราะมันจะมีจุดพิเศษให้จับสังเกตได้ทันทีอยู่นั่นเอง

ทันทีที่จูเซียนเหยาเดินออกไปจากห้องโดยไม่คิดปิดบัง ก็นับว่านางป่าวประกาศให้ทุกคนรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว

ในแง่นั้น จูเซียนเหยาย่อมไม่ได้คิดเล่นแผนอะไร

เพื่อเขาแล้วนางยอมแลกทุกอย่าง

แต่นั่นก็ทำให้ซูเฉินไร้คำจะเอ่ยเช่นกัน

บัดซบ เจ้าอย่าบ้านักจะได้หรือไม่ ?

แต่กระนั้น ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ สถานการณ์ก็เป็นไปเช่นนั้นแล้ว

ซูเฉินทำได้แต่เผชิญหน้ากับมัน

หลังจากคิดอยู่นาน ซูเฉินก็ตัดสินใจได้

เขาเดินออกมาจากห้อง พบว่าจูเซียนเหยานั่งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง คนสองสามคนเหลือบมองไปทางนางเป็นชั่วขณะแล้วหันไปกระซิบกระซาบกัน แม้จะไม่ได้ยินคำ แต่ก็เดาได้ไม่ยาก

ซูเฉินจึงเดินเข้าไปหาจูเซียนเหยา “ข้าคิดตกแล้ว ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องแก้ปัญหาให้จบ ข้าอธิบายเรื่องกับชิงลั่วได้ ข้าเชื่อว่านางจะเข้าใจ”

จูเซียนเหยาได้ยินซูเฉินแล้วก็ไม่ได้ยินดีอะไรนัก

นางหัวเราะเสียงเย็นใส่ซูเฉิน “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้จะนับว่าเป็นการขอโทษหรือ ? หรือจะพูดว่าสตรีใดเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วก็นับว่าไร้ค่าไปเลย ? เจ้าก็เลยสมเพชเวทนาข้า เสนอว่าจะเป็นฝ่ายดูแลข้า แต่ก็ยังต้องกลับไปขอโทษขอโพยภรรยาเอกก่อนงั้นสิ ?”

ซูเฉินอึ้งไป

จูเซียนเหยาว่า “ซูเฉิน เจ้าควรจะรู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่มีค่าเพียงความบริสุทธิ์ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้ข้าก็ยังหาบุรุษเป็นโขยงที่ยอมร้องไห้อ้อนวอนขอให้ข้ายอมรับพวกเขามาได้ ?”

“เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

จูเซียนเหยาส่งเสียงคำราม “ข้ารู้ว่าเจ้าหมายความอย่างไร แต่ข้าไม่ต้องการความสงสารจากเจ้า แล้วก็อย่าคิดว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรกับแค่เห็นกู่ชิงลั่วพยักหน้าตกลง เจ้าคิดว่าอยากจะแต่งสตรีจากตระกูลชั้นสูงก็แต่งได้เลยหรือ ? ข้าเป็นผู้สืบทอดของสายเลือดจักรพรรดิอสูร ข้าไม่มีวันแต่งออก และข้าต้องเป็นคนเลือกคนที่จะแต่งเข้ามา เข้าใจหรือไม่ ? และถึงข้าแต่งกับเจ้าจริง ซูเฉิน เจ้าก็ต้องกลายมาเป็นตระกูลจู ! ส่วนกู่ชิงลั่ว ข้าก็ต้องยินยอมก่อนนางจึงจะก้าวเท้าเข้าประตูมาได้ด้วยซ้ำ ! แต่แน่นอนว่าหากสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลนางตื่นขึ้นมา เช่นนั้นสถานการณ์ข้ากับนางจะสลับกัน แต่ก่อนหน้านั้น ในฐานะที่นางเป็นคนสายเลือดเจ้าอสูร นางย่อมต้องเชื่อฟังข้า ! เจ้าคิดงั้นหรือว่าจะตัดสินใจเรื่องแทนข้าได้ทุกอย่าง ? ไม่ เจ้าทำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก !”

ซูเฉินมุ่นคิ้ว “ข้าเพียงแค่อยากรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ”

“เจ้าไม่จำเป็น !” จูเซียนเหยาตอบเสียงแข็ง “ข้าเข้าใจล่ะ เจ้าคิดว่าทุกอย่างที่ข้าพูดไปก็เพื่อกดดันเจ้าหรือ ? คิดว่าข้ากดดันให้เจ้าต้องทำบางอย่างใช่หรือไม่ ? ซูเฉิน เจ้าคิดผิดมหันต์ ! ข้าไม่ได้ฉลาดเช่นนั้น แต่ก่อนน่ะอาจใช่ แต่ตอนนี้ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก ก็เพราะหลังจากที่ข้ารับรู้เรื่องราวในสถาบันแล้ว ข้าก็รู้ว่าฟ้าไม่เคยช่วยใคร มีแต่เราต้องช่วยตนเอง !”

นางจ้องซูเฉินเขม็ง “ข้ารักเจ้า แต่ข้าไม่ต้องการความสงสารจากเจ้า หากเจ้าไม่ได้รักข้าก็ไม่จำเป็นต้องฝืน จากวันนี้ไป เจ้ากับข้าต่างคนต่างใช้ชีวิต ข้าไม่จำเป็นให้เจ้ามารับผิดชอบอนาคต !”