ภาคที่ 4 บทที่ 55 สสารต้นกำเนิดไม่ธรรมดา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 55 สสารต้นกำเนิดไม่ธรรมดา

เมื่อตะวันตกดินการต่อสู้จึงจบลง

สุดท้ายชะตาของเผ่าเกล็ดทรายก็ถูกกำหนดไว้แล้ว

เผ่าเกล็ดทรายไม่อาจได้เปรียบแม้จะมีกำลังเต็มเปี่ยม ทั้งยังพ่ายแพ้ให้แก่คนด่านทะลวงลมปราณด้วยซ้ำ เหตุผลหนึ่งเพราะสายเลือดจักรพรรดิอสูรตระกูลจูนั้นไม่ธรรมดา จ้าวจิ่งเหวินกับปาเลี่ยหยวนเป็นหัวกะทิที่ถูกคัดมาจากคนนับพัน กังเหยียนเองก็เผยกำลังการต่อสู้ที่น่าตกตะลึง อีกเหตุผลหนึ่งคือยาของซูเฉินให้ผลดีไม่น้อย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มพลังแต่ยังทำให้ไม่กลัวบาดเจ็บ ความถึกทนในการต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นมาก

สุดท้าย เผ่าเกล็ดทรายก็ถูกกวาดล้างทั้งกองทัพ ส่วนตระกูลจูและอารามนิรันดร์บาดเจ็บล้มตายเพียงน้อยนิดเท่านั้น

ด่านสู่พิสดารอีกคนหนึ่งในหมู่สามคนได้ตายลง

และเขาตายในเงื้อมมือซูเฉิน

เผ่าเกล็ดทรายที่ซูเฉินประมือด้วยคือคนที่ถูกชนกระเด็นไปไกลเมื่อการต่อสู้คราที่แล้ว เขายังไม่ตาย แต่ก็บาดเจ็บหนักยังไม่ฟื้นตัวสมบูรณ์ ซูเฉินใช้โอกาสเล็ก ๆ ตรงนี้กลบความต่างพลังและเอาชนะเขาไปได้ น่าเสียดายที่ไม่อาจจับมาตัวเป็น ๆ

ในระหว่างการต่อสู้ขื่นขม ศัตรูใช้ท่าสังหารซัดเข้ามา และเพื่อรักษาชีวิตตนเอง ซูเฉินจึงไม่กล้ายั้งมือ สุดท้ายเขาก็เอาชนะมาได้ แต่ก็ไม่อาจจับศัตรูไว้ตัวเป็น ๆ ได้ แต่ทั้งฉือหมิงเฟิงและจูไป๋อวี่ทำได้ ทำให้ซูเฉินหดหู่ใจอยู่บ้าง

ตลอดการต่อสู้ ซูเฉินเห็นได้ชัดเจนว่าความต่างของเขากับคนด่านสู่พิสดารค่อย ๆ กระชับเข้ามาแล้ว

ไม่แน่ว่าอีกไม่นานเขาก็จะสามารถต่อกรกับคนด่านสู่พิสดารได้อย่างเปิดเผยแล้วกระมัง

หลังจากปัวเอ่อร์ตายไป ตระกูลจูกับอารามนิรันดร์ก็ไร้เหตุผลให้ต้องร่วมมือกันอีก

แต่เมื่อได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาสองครั้งสองครา ทั้งสุขทั้งทุกข์ร่วมเดินทางกันมา คนทั้งสองฝั่งจึงเริ่มมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน กระทั่งเป็นสหายกันก็มี ดังนั้นจึงไม่คิดอยากต่อสู้กันอีก เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือตระกูลจูรู้แล้วว่าอารามนิรันดร์เพียงแต่แบกหน้ารับผิดแทนซูเฉินเท่านั้น

แต่เรื่องแก้แค้นซูเฉิน……

เมื่อพวกเขาเห็นท่าทางคุณหนูแล้ว คนตระกูลจูก็ปัดความคิดนั้นตกไปทันที

การตกหลุมรักคน ๆ เดิมถึงสองครั้งมันรู้สึกอย่างไรกัน ?

มันไม่อาจต้านทานได้เลย

แม้ที่ผ่านมาจูเซียนเหยาจะฝืนต้านความรู้สึกที่มีให้ซูเฉินได้ก็ตาม และแม้จะมีเมล็ดดอกรักที่นางปลูกไว้กับเขาแล้ว การที่ได้ความทรงจำกลับมาก็ทำให้ความรู้สึกที่ซ่อนเอาไว้พลุ่งพล่านราวกับน้ำหลาก ไม่อาจคุมความรู้สึกตนได้อีกต่อไป

กระทั่งจูเซียนเหยาก็ยังไม่คิดว่าความจริงกับความทรงจำจะต่างกันเพียงม่านอารมณ์บาง ๆ เท่านั้น พริบตาที่จำได้ นางก็ถูกอารมณ์ทั้งหลายรุมเร้า เป็นตอนนั้นที่นางนึกแล้วก็เสียใจ

ข้าก็รู้ความจริงแล้วไม่ใช่หรือ ? ทำไมถึงยังดื้อจะเอาความทรงจำอีก ?

แต่เสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว ในใจนางมีไฟแห่งความปรารถนาคุกรุ่นไม่อาจคุมอยู่ หากก่อนหน้านี้นางรู้สึกเหมือนใจถูกเชือกพันรัดไว้เส้นหนึ่ง ตอนนี้ก็คงเหมือนกับเชือกหลายเส้นพันกันเป็นใยทำให้ใจไม่อาจหลบหนีได้อีก

จูเซียนเหยารู้ว่าอารมณ์ของนางตกอยู่ในความว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง

ซูเฉินไม่รู้เรื่องนี้เลย

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นว่าจู่ ๆ จูเซียนเหยาก็เปลี่ยนท่าทีไป แต่การทดลองกำลังถึงจุดสำคัญต่างหาก

นอกจากตัวทดลองด่านสู่พิสดารสองคนแล้ว ซูเฉินยังเริ่มใช้สสารต้นกำเนิดแห่งความมืดที่ได้จากภาพฉายพลังงานสูญด้วย สสารต้นกำเนิดแห่งความมืดนี้ช่วยให้ซูเฉินพบวิธีสกัดเอาสสารต้นกำเนิดด้วยการยืมใช้วิชาอัญเชิญเพื่อเรียกสิ่งมีชีวิตจากต่างแดนมาได้ นอกจากนี้ความเข้าใจเรื่องหินดำของซูเฉินยังทะลวงข้ามไปอีกขั้นหนึ่ง ตอนนี้เขาก็กำลังใช้และทดลองเกี่ยวกับสสารต้นกำเนิดตัวใหม่อีกตัว

หรือก็คือซูเฉินจะสามารถสร้างโทเทมโลหิตสลายและเครื่องมือนำพลังอย่างถุงมือเพลิงเงาใหม่ขึ้นมาได้ในอีกไม่นาน

ในเมื่อมีเรื่องสำคัญอยู่มากมาย มีหรือซูเฉินจะมีแก่ใจมาใส่ใจจูเซียนเหยา ?

เขาจึงเมินใบหน้าเศร้าโศกที่พลันระบายอยู่บนใบหน้าจูเซียนเหยาไปอย่างสิ้นเชิง

เย็นวันนั้น ซูเฉินยังทำการทดลองต่อตามปกติ

หินดำถูกแช่ไว้ในขวดทำปฏิกิริยา เกิดเป็นฟองผุดขึ้นมาบางครั้ง

นี่คือสสารต้นกำเนิดที่ซูเฉินกำลังพยายามสกัดออกมา

ในที่สุดเขาก็หาทางทำมันได้ แต่ก็คงจะทำสำเร็จภายในวันนี้

เป็นตอนนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“พระเจ้า ให้ข้าได้พักหายใจบ้างได้หรือไม่ ?” ซูเฉินเปิดประตูออกท่าทางจนใจ กลับพบว่าเป็นจูเซียนเหยาที่ยืนอยู่

“เป็นเจ้าหรือ ?” ซูเฉินชะงักไป

“อะไร ? เจ้าคิดว่าข้าเป็นเยี่ยเม่ยหรือ ?” จูเซียนเหยาถาม

ซูเฉินยักไหล่ “นางชอบเข้ามาป่วน แต่ช่วงนี้ข้ายุ่งกับการทดลองมาก ไม่มีเวลามาสนใจนาง”

“เช่นนั้นให้ข้าเข้าไปได้หรือไม่ ? ข้าพูดไม่มาก สัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาให้เจ้า” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงอ่อน

“เรื่องนั้น……” ซูเฉินลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง

จูเซียนเหยาเดินเข้ามา เรือนหินไม่ได้กว้างนัก พื้นที่ส่วนมากก็ใช้วางของทดลองซูเฉินไปหมดแล้ว จูเซียนเหยาจึงหาที่นั่งได้ลำบากนัก

ซูเฉินเอ่ยขึ้น “เจ้านั่งบนเตียงก็ได้ ในนี้รกไปหน่อย”

จูเซียนเหยาจึงเดินไปนั่งบนเตียงแล้วจ้องซูเฉินเขม็ง “อาหกบอกว่าพรุ่งนี้จะถึงเมืองภูผาเมินแล้ว และพอถึง ทุกคนก็คงจะแยกย้ายไปตามทาง”

“อ้า”

จูเซียนเหยาเห็นท่าทีเย็นชาก็ขุ่นเคือง แต่ก็ยังพยายามทำทีเป็นลูบเรือนผมยาว “ข้าบอกหรือยังว่าข้าได้ความทรงจำกลับมาแล้ว ?”

ซูเฉินจึงไม่อาจทำไม่สนใจได้อีก หลุดออกจากภวังค์ความคิดในทันที เขาหันมองจูเซียนเหยา “งั้นหรือ ? เช่นนั้นก็ยินดีด้วย เจ้าน่าจะรู้แล้วว่าพวกข้าไม่ได้โกหก ครั้งนี้บอกความจริงเจ้าแล้ว”

“ใช่ แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้บอก”

ซูเฉินมุ่นคิ้ว “หากใช่ก็เป็นเรื่องไม่สำคัญ ไม่เช่นนั้นข้าไม่คิดว่าเยว่หลงซาจะจงใจปิดบังมันกับเจ้าหรอก”

“นั่นมันทำเอาเรื่องแตกต่างจากเดิมไปเลยเชียว และพวกเจ้าก็คงไม่รู้หรอก” จูเซียนเหยาตอบ

นางลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “ข้าตกหลุมรักเจ้า หลายวันมานี้ข้าใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นาน ข้าลังเลกับการตัดสินใจมาตลอด อาสิบเอ็ดถูกเจ้าสังหาร จูเฉิน เยี่ยนเหนียง และคนอื่น ๆ ก็ด้วย ทั้งตระกูลจูยังต้องเข้าไปมีปัญหากับอารามนิรันดร์เพราะเจ้า ยิ่งทำให้มีคนตายอีกมาก ข้าไม่ควรอยู่กับเจ้าเลย แต่ข้าก็คุมตนเองไม่ได้……”

ระหว่างที่พูด จูเซียนเหยาก็เริ่มตัวสั่น ก่อนน้ำตาจะเริ่มไหลออกมา ทำเอาซูเฉินอึ้งไป

จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงความรู้สึกของจูเซียนเหยา เพียงแต่ไม่คิดว่านางจะกล่าวมาตามตรงกล้าหาญเช่นนี้

หยุดไปนานแล้วเขาจึงเอ่ยคำ “เจ้ารู้ว่าข้าก็มีคนรักแล้ว”

“ข้ารู้ ข้าก็ไม่ได้บอกให้เจ้ามีหลายภรรยาสักหน่อย” จูเซียนเหยาว่าพลางปาดน้ำตา จากนั้นก็เชิดหน้าพยายามทำท่าผ่าเผย “ข้าไม่ได้มาขอความรักจากเจ้า”

ซูเฉินชะงัก “เช่นนั้น……”

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยล้างความทรงอีกสักครา ข้าจะได้ลืม ๆ มันไปให้หมด” จูเซียนเหยาตอบ

เป็นเช่นนี้เองสินะ

ซูเฉินยังคงอึ้งอยู่บ้าง “แต่เช่นนั้นแล้วเราอาจจะกลับมาเป็นศัตรูกันอีกก็ได้”

“ไม่หรอก ข้าเขียนจดหมายบอกเรื่องทุกอย่างที่ต้องรู้และสามารถให้ตนเองรู้ไว้แล้ว ข้ายังบอกไว้ด้วยว่าข้าเต็มใจเลือกล้างความทรงจำเอง ข้าจะไม่โกหกตนเองแล้วบอกว่าไม่ตกหลุมรักเจ้า เมื่อไร้ความทรงจำแล้วข้าก็จะไม่มีต้นตอความรู้สึกอีก เพราะงั้นถึงข้าจะรู้ว่าตนเองรักเจ้า แต่มันก็ไม่ส่งผลกับข้าอีกต่อไป เช่นนั้นก็จะรับรู้เพียงทางจิต ไม่ใช่ทางใจ”

จูเซียนเหยาเอ่ยคำมีเหตุผลถ้วนถี่

แท้จริงแล้วนางพูดได้ไม่ผิด หากนางเสียความทรงจำ จากนั้นรู้ความจริงทั้งหมดผ่านแหล่งข้อมูลทางอ้อม ความรู้สึกของนางต่อซูเฉินก็จะลดลงไปมาก ถึงตอนนั้นเหตุผลของนางก็จะเอาชนะอารมณ์ได้ และนางก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกตนเองได้

ทว่าไม่รู้เพราะเหตุไร ซูเฉินจึงไม่พอใจกับการตัดสินใจของจูเซียนเหยาอยู่บ้าง

แต่สุดท้ายเขาก็ยังพยักหน้าตกลง “เอาล่ะ เจ้ารอสักครู่ ข้าทดลองเสร็จแล้วก็ค่อยล้างความทรงจำได้”

ซูเฉินหันกลับไปสนใจขวดยาในมือต่อ

หินดำยังคงเกิดฟองปุด ๆ ต่อไป

“มันคืออะไรหรือ ?” จูเซียนเหยาถาม

“หินที่มีสสารต้นกำเนิดแปลก ๆ อยู่มากมาย อ้อ สสารต้นกำเนิดคืออนุภาคที่ทำให้เราสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดได้ หากเจ้าคุมมันได้ เจ้าก็ข้ามข้อจำกัดการที่ต้องมีสายเลือดไปใช้วิชาต้นกำเนิดได้เลย”

“ฟังดูทรงพลังไม่น้อย แล้วเจ้ารู้จักเคล็ดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?” จูเซียนเหยาเริ่มรู้สึกสนใจ เกือบจะยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ โดยไม่ทันรู้ตัว

ภายในขวดนั้น หินดำกำลังปล่อยฟองผุดขึ้นมาอย่างบ้างคลั่ง เกิดเป็นควันสีชมพูลอยขึ้นมาด้านบน แต่ฝาขวดก็กันควันเหล่านั้นไม่ให้ออกมาได้

“สำเร็จแล้ว” ซูเฉินเห็นดังนั้นก็เผยรอยยิ้มยินดี

นี่เป็นสสารต้นกำเนิดพิเศษที่ซูเฉินอยากสกัดออกมา

“อะไรหรือ ?” จูเซียนเหยาอยากรู้อยากเห็นนักจึงหยิบขวดมาดู จากนั้นดึงจุกขวดออก

“ไม่ อย่าเปิดมันนะ !” ซูเฉินร้องลั่น

หากแต่มันก็สายไปแล้ว

ควันสีชมพูแผ่ออกมาจากปากขวดแล้ว

ทันใดนั้นสติของทั้งซูเฉินและจูเซียนเหยาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

จูเซียนเหยารู้สึกราวกับว่าภาพเบื้องหน้าพลันพร่ามัวขึ้นมา

นางยกมือขึ้น เสื้อคลุมมัสลินพลันร่วงลงพื้น เผยให้เห็นไหล่งามดั่งหยกและชุดชั้นในสีชมพู

ซูเฉินเห็นเช่นนั้นก็หมดสิ้นซึ่งการควบคุม เขาคว้าร่างจูเซียนเหยากดลงบนเตียงตามสัญชาตญาณทันที