ภาคที่ 4 บทที่ 54 ฟื้นความทรงจำ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 54 ฟื้นความทรงจำ

ฝูงงูบินมงกุฎใหญ่ เมื่อถูกกำจัดไปแล้วก็ไม่กลับมาปรากฎอีก

ทว่าฉือหมิงเฟิงก็ยังรีบเร่งให้เดินทางโดยเร็วและออกจากปราการหงส์เดียวดายให้เร็วที่สุด

วันที่หกหลังเดินทางออกจากเมืองปราสาทเก่า ทรายเป็นคลื่นใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ฉือหมิงเฟิงและจูไป๋อวี่เหินขึ้นฟ้าไปสังเกตการณ์ ลงมาแล้วก็เอ่ยว่า “พวกมันไล่มาถึงแล้ว ครั้งนี้ทัพใหญ่มาก มีปัวเอ่อร์ตามมาด้วย”

“มีทหารเท่าไหร่ ?” ซูเฉินถาม

“ราวสามพันได้”

“เยอะทีเดียว ! ดูท่าคงจะต้องต่อสู้ดุเดือดกันอีกแล้ว” ปาเลี่ยหยวนถอนใจ

“ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น” ซูเฉินกล่าว

หือ ? หมายความว่าอะไรกัน ?

ทุกคนหันมามองซูเฉินอย่างพร้อมเพรียงกัน

ซูเฉินแหงนหน้ามองฟ้า

เขาเอ่ย “พี่ฉือ อีกสักพักหนึ่ง ท่านช่วยสร้างลมแล้วพัดไปทางพวกนั้นได้หรือไม่ ?”

“ข้าทำได้”

ซูเฉินหยิบยาขวดหนึ่งขึ้นมา “เช่นนั้นพี่ฉือช่วยพัดของที่อยู่ในขวดยานี่ไปทางพวกนั้นด้วย”

ฉือหมิงเฟิงเผยแววตาประหลาด “นี่……”

“ใช้แล้วจะรู้เองล่ะพี่ฉือ”

ฉือหมิงเฟิงเปิดฝาขวดออก เกิดเป็นควันสีชมพูลอยออกมา เขารู้ว่าควันนี่ไม่ใช่ของดีเป็นแน่ รีบสร้างกระแสลมแล้วพัดควันสีชมพูไปฝั่งศัตรู ควันสีชมพูเริ่มสลายหายไปเมื่อถูกลม ทำให้หยุดยั้งได้ยากเย็นยิ่ง

จังหวะนั้นทหารเผ่าเกล็ดทรายจำนวนมากที่อยู่บนหลังหมาป่าก็พุ่งเข้าใส่ควันที่ฟุ้งกระจายออกไป

ปาเลี่ยหยวนเหลือบมองดูแล้วเอ่ยเสียงฉงน “เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”

“อย่ารีบร้อนนัก ไม่นานจะเห็นผลเอง” ซูเฉินหัวเราะ

ยิ่งอูฐหมาป่าจำนวนมากกว่าเดิมพุ่งเข้าใจกลุ่มควัน เผ่าเกล็ดทรายที่พุ่งเข้ามากลุ่มแรกก็เริ่มส่งเสียงร้อง ใบหน้าสึกกร่อน เนื้อเป็นก้อน ๆ เริ่มละลายหลุดออกจากกระดูกอูฐหมาป่าก็เช่นกัน พวกมันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดยามร่างกายค่อย ๆ ละลาย

ไม่นาน กระทั่งร่างอูฐหมาป่าเองก็เริ่มถูกกร่อน อูฐหมาป่าตัวแล้วตัวเล่าล้มกองลงกับพื้นแล้วส่งเสียงร้องโหยหวนขมขื่นด้วยความเจ็บปวด

มีเพียงทหารเผ่าเกล็ดทรายที่มีขั้นพลังด่านทะลวงลมปราณหรือสูงกว่านั้นถึงรอดจากภัยพิษมาได้ แต่ก็ถูกควันพิษทำร่างกายสลายไปมากน้อยแตกต่างกัน

ไม่นาน ทหารเผ่าเกล็ดทรายที่ถูกพิษก็หยุดร้องโหยหวนแล้วเงียบกริบไป

ทะเลทรายที่กลับมาเงียบสงบมีศพทหารเผ่าเกล็ดทรายที่ต้องพบชะตากรรมทุกข์ทรมานเกลื่อนไปหมด

มีเพียงไม่กี่คนที่ยังหยัดยืนอยู่ได้ แต่ก็ถูกภาพตรงหน้าทำให้สั่นและส่งเสียงร้องด้วยความกลัว

กระทั่งจูไป๋อวี่ยังอดถามไมได้ “พิษอะไรกันเหตุใดจึงน่ากลัวนัก ?”

“พิษที่กลั่นจากดอกซากวิญญาณ” ซูเฉินตอบ

ดอกซากวิญญาณนั้นมีพิษร้ายแรงมาก ยาโรคระบาดใดที่กลั่นมาจากมันสามารถนำมาใช้ทำลายล้างเป็นวงกว้างได้ ยาที่ซูเฉินทำขึ้นไม่ใช่ยาโรคระบาดด้วยซ้ำ แต่เหมือนเป็นยาโรคธรรมดา แต่กระนั้นก็สังหารทหารกว่าพันนายได้ในพริบตา พลังอันน่าเกรงขามของตัวยานั้นเห็นได้ชัดจากผลลัพธ์ของมัน

ไม่มีใครคิดว่านักปรุงยาเล่นธาตุจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ สายตาทั้งหลายที่จ้องมาทางซูเฉินเต็มไปด้วยความเลื่อมใสยำเกรง

จูไป๋อวี่เอ่ยคำ “เจ้าเต็มใจจะขายพิษบางส่วนให้กับตระกูลจูหรือไม่ ?”

ซูเฉินส่ายหน้า “ท่านลืมไปเสียเถอะ พลังของของสิ่งนี้มีมากเกินไป หากมีใครได้ใช้ก็ล้างบางทั้งเมืองได้สบาย ๆ ใช้มันต่อกรกับพวกทหารเผ่าเกล็ดทรายชั่วน่ะได้ แต่หากเป็นสถานการณ์อื่น อย่าไปคิดจินตนาการเสียดีกว่า”

เมื่อได้ยินว่าเขาไม่เต็มใจขาย จูไป๋อวี่ก็ไม่คิดบังคับ “อืม ก็ไม่เป็นไร แต่พิษมันร้ายแรงนัก หากมันแพร่ออกไปก็คงได้กลายเป็นหายนะแน่”

“เอาล่ะ เช่นนั้นก็อย่าเสียเวลาคุยกันเลย ยังมีสงครามให้ต้องสู้ อย่าลืมว่ายังมีคนที่ยังไม่ตายเหลืออยู่อีก” ซูเฉินดึงดาบหั่นภูผาออกมา

ทหารเผ่าเกล็ดทรายกำลังพากันมารวมตัวเบื้องหน้าพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง

ปัวเอ่อร์เองก็อยู่ด้วย มาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารอีกสอง และด่านทะลวงลมปราณราวยี่สิบ

พวกเขาเป็นคนฝีมือดีกลุ่มสุดท้ายที่เหลือ เป็นพวกที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ท่ามกลางสถานการณ์จวนตัวเช่นนั้นก็ยังไม่คิดถอย

ร่างแกร่งของปัวเอ่อร์ยืนอยู่หน้าสุด เขาจ้องฉือหมิงเฟิงและคนอื่น ๆ ก่อนตะโกนขึ้นว่า “ตามข้ามา บุกเลย !”

“บุก ! เพื่อพี่น้องของเราที่ต้องตายในการต่อสู้ !” เผ่าเกล็ดทรายที่เหลือร้องลั่น

พายุทรายอันน่ากลัวเริ่มพัดกระหน่ำแล้วเริ่มซัดเข้ามาอย่างรุนแรง

ไม่ว่ายาจะได้ผลดีเพียงไหน แต่ก็ดูท่าว่าจะเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แล้ว

“พวกมันมีคนด่านสู่พิสดารมาเพิ่มด้วย” ฉือหมิงเฟิงว่า

แล้วเหลือบไปมองซูเฉิน

แน่นอนว่าซูเฉินย่อมไม่ทำให้เขาผิดคาดด้วยการตอบเสียงสงบกลับมา “ข้าเอง”

หลังจากการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า ความเข้าใจในเรื่องความแข็งแกร่งของด่านสู่พิสดารก็เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้นความต่างของพลังของเขากับคนด่านสู่พิสดารก็มีแต่จะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

หลังจากมอบวิญญาณให้ดาบหั่นภูผาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารอีก

ฉือหมิงเฟิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ “คนไร้สายเลือดด่านทะลวงลมปราณสามารถสู้คนด่านสู่พิสดารได้ ชื่อเสียงคุณชายซูคงได้ก้องไปทั่วชั้นฟ้าเป็นแน่”

ซูเฉินตอบเสียงสงบ “ข้าไม่ได้อยากให้ชื่อข้าดังระบือไกลเพียงนั้น ข้าเพียงแต่สนใจตัวทดลองที่อยู่ด่านสู่พิสดาร หากท่านเต็มใจช่วยก็ไม่ต้องพูดอะไรกับข้า แต่ส่งผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารที่ยังมีลมหายใจมาก็พอ”

จูไป๋อวี่มองปัวเอ่อร์ “แท่นบงกชห้าแท่นรับมือไม่ง่ายหรอกนะ”

ซูเฉินโยนยาชุดหนึ่งให้เขา

จูไป๋อวี่รับมา มองดูแล้วก็คลี่ยิ้มพึงพอใจออกมา “ค่อยดีหน่อย”

“เช่นนั้นเตรียมสู้เถอะ” ซูเฉินโบกมือ ยาจำนวนมากถูกแจกจ่ายให้ทุก ๆ คน

เมื่อมีนักปรุงยาอยู่ด้วย ทุกอย่างก็มีประสิทธิภาพเช่นนี้เสมอ

พายุปีศาจหมุนซัดเข้ามาพร้อมกันกับทหารเผ่าเกล็ดทราย

ทุกคนตะโกนเสียงเลือนลั่นขณะรุดหน้าเข้ามา ก่อเกิดเป็นสงครามดุดันดุเดือดที่กำลังปะทุ

มันไร้ความเมตตาความสงสาร มีเพียงแต่การต่อสู้ชุ่มเลือดดุร้ายป่าเถื่อนแห่งความเกลียดชังเท่านั้น กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งอย่างหัวหน้าเผ่าเกล็ดทราย ถึงตอนนี้ก็เป็นเพียงทหารคนหนึ่งที่อยากแก้แค้นให้สหายร่วมสู้เท่านั้น

ทรายในทะเลทรายและหยาดเลือดผสมกันปลิวว่อน ทุกคนต่อสู้อย่างสุดชีวิต

อาจมีเพียงจูเซียนเหยาคนเดียวที่ผ่อนคลายอยู่บ้าง นางใช้วิชาลวงเสน่ห์ของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ควบคุมเผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่งไว้แล้วให้สู้แทนนางจนตัวตาย ก่อนจะเปลี่ยนหุ่นเชิดไปเรื่อย

นางอยู่ดูความเป็นไปของการต่อสู้ห่าง ๆ ก็ยังได้ และหากมีใครตกที่นั่งลำบาก นางก็จะส่งคนไปช่วยพวกเขา

หากแต่ส่วนมากแล้วสายตาจูเซียนเหยานั้นจดจ้องอยู่ที่ซูเฉิน

เขากระโจนโผนไปมาระหว่างศัตรู สังหารดั่งใจหวังท่ามกลางพายุเลือด ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดฉาบไปด้วยเพลิงเงา เมื่อรวมกับดาบหั่นภูผาแล้ว กระทั่งคนด่านสู่พิสดารก็ยังเสียเปรียบ

แข็งแกร่งมากจริง ๆ!

จูเซียนเหยารู้สึกใจสั่นสะท้าน

คนไร้สายเลือดแต่กลับแกร่งได้มากเพียงนี้ ความเชื่อเรื่องสายเลือดก่อนหน้านี้ของนางถูกสั่นสะท้านรุนแรงทีเดียว

ระหว่างที่มองการต่อสู้ คำของเยว่หลงซาก็พลันดังขึ้นในหู

นางเริ่มจำความจริงและเรื่องราวทุกอย่างได้

จิตใจนางลอยละล่องไปทั่ว ภาพแล้วภาพเล่าฉายซัดเข้ามาในความคิด

ภาพเหล่านี้ ส่วนมากเป็นสิ่งที่ซูเฉินและเยว่หลงซาเล่าไว้แล้ว แต่ยิ่งนางคิด ความจริงก็แผ่ออกมามากขึ้นด้วย

จูเซียนเหยาพลันรู้สึกราวกับว่าได้เห็นการต่อสู้ของนางกับซูเฉินในเย็นวันนั้น เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นในป่าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และแผนการทั้งหลายที่สองฝ่ายใช้ประมือกันในสถาบันมังกรซ่อนเร้น

นางยังเห็นตนเองกับซูเฉินเดินพูดคุยกันไปตามทางเดินด้วย

“เจ้าไม่คิดว่ามันไกลเกินเจ้าเอื้อมถึงมากไปหรือ ?”

“งั้นหรือ ? ข้าคิดว่าไม่มากเท่าไรเมื่อเทียบกับวิชาและการบ่มเพาะพลังไร้สายเลือดทั้งหลายสำหรับขั้นพลังทั้งเจ็ดด่านหรอก อีกอย่าง การเดินทางพันลี้ย่อมเริ่มจากก้าวเพียงก้าวหนึ่งเท่านั้น ยิ่งจุดหมายอยู่ไกล ข้ายิ่งต้องก้าวให้เร็วขึ้นอีก”

“เจ้าช่วยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงของเราได้หรือไม่ ?”

“แผนเดิมคือจะให้แม่นางเยว่กับข้าอยู่ด้วยกัน… ข้าอยากให้เปลี่ยนเป็นเจ้ากับข้าแทน”

ข้าอยากให้เปลี่ยนเป็นเจ้ากับข้า……

ข้าต้องการเจ้า……

จูเซียนเหยาเริ่มสั่นเทา

นางจำได้ !

นางจำได้ทั้งหมดแล้ว !

เช่นนั้นนางก็ตกหลุมรักเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว !