บทที่ 461 งั้นก็อย่าไปเลย

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ถึงจะยังไม่รู้ว่าเจิ้งเหวยหวาวางแผนอะไรไว้ แต่ในเมื่อเขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทแซ่เจิ้ง เย่เทียนไม่เชื่อว่าเขาจะยอมอ่อนข้อง่ายๆ

และก็เป็นเช่นนั้น แม้ว่าความโหดเหี้ยมในนัยน์ตาเจิ้งเหวยหวาจะฉายอยู่แวบเดียว แต่เย่เทียนที่จับตาดูเขาอยู่ตลอดก็ยังสังเกตได้

“ประธานเจิ้ง ยังไงซะคุณเป็นถึงหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทแซ่เจิ้ง หนึ่งในห้าร้อยบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ รับคำขออภัยนี้ไว้ไม่ได้หรอก”

เย่เทียนเผยรอยยิ้มเย็นมุมปาก ไม่ตกหลุมพรางของเจิ้งเหวยหวาเลยสักนิด

“เอิ่ม?!”

เจิ้งเหวยหวาจะฟังความเป็นศัตรูที่แฝงมาไม่ออกได้ยังไง เขาโมโหจนแทบกระอักเลือด

จำเป็นต้องปริปากปุ๊บก็ถากถางเลยหรือไง? เสือไม่คำรามเลยคิดว่าเป็นแค่แมวจริงๆใช่มั้ย?

“น้องเย่ ไม่ว่ายังไงเรื่องมันผ่านไปแล้ว เราก็อย่าไปพูดถึงมันอีก”

แต่ยังไงซะเจิ้งเหวยหวาก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าที่สู้รบอยู่ในแวดวงธุรกิจมานาน จิตใจลึกล้ำยากแท้หยั่งถึง ย่อมไม่เปิดเผยความคิดจริงๆในใจหรอก

และตรงกันข้าม รอยยิ้มบนใบหน้าของเจิ้งเหวยวาดูเป็นกันเองมากขึ้น

“ที่เชิญน้องเย่มาในคืนนี้ หนึ่งเพื่อแสดงการขอโทษ สองคืออยากจะหารือเรื่องของการร่วมงานกับน้องเย่”

“เรื่องขอโทษนั่นเราไม่ต้องไปพูดถึงหรอก ส่วนเรื่องร่วมงาน……”

เย่เทียนผงะ มองเจิ้งเหวยหวาด้วยสีหน้าประหลาด ก่อนจะแกล้งทำทีเป็นสนใจ “ประธานเจิ้งลองบอกมาสิครับว่าร่วมมือด้านไหน”

“เรื่องง่ายๆ”

เจิ้งเหวหวาหัวเราะและชี้นิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว “บริษัทแซ่เจิ้งของเรายินดีซื้อข้อมูลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับยาปฏิชีวนะของบริษัทแซ่เฉินในราคาหนึ่งพันล้าน!”

“หนึ่งพันล้าน?!”

ทีแรกเย่เทียนก็ตกใจกับความใจใหญ่ของเจิ้งเหวยหวาเหมือนกัน แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ และเอ่ยยิ้มๆอย่างไม่จริงจัง “ประธานเจิ้ง สมองของคุณไม่ได้โดนประตูหนีบมาใช่มั้ยครับ?”

“เมื่อกี้ผมก็บอกแล้วไงครับ ว่าผมเป็นแค่คนตัวเล็กๆ คุณอยากได้ข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะของบริษัทแซ่เฉิน คุณก็ไปคุยกับคนที่รับผิดชอบดูแลบริษัทแซ่เฉินสิครับ!”

“น้องเย่ ผมเปิดใจตรงไปตรงมาตามที่คุณบอกแล้ว ถ้าคุณยังเฉไฉอยู่แบบนี้ก็ไม่สนุกแล้วนะ!”

เจิ้งเหวยหวาตากระตุก ข่มความเคืองในใจไว้ ใบหน้ารักษารอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “ในเมื่อน้องเย่บอกว่าไม่ได้ขลุกอยู่ในแวดวงธุรกิจ แต่ยังไงคุณก็เป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเฉินหวั่นชิง ประธานบริษัทแซ่เฉินแห่งเจียงหนันนะครับ!”

“ผมาหารือกับคุณจะต่างอะไรกับหารือกับประธานเฉิน…..”

“เดี๋ยวก่อนๆ!”

เย่เทียนรีบโบกมือห้าม และมองเจิ้งเหวยหวาด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย “ประธานเจิ้ง ผมรู้ว่าคุณคิดยังไงกับผม คุณคิดว่าผมเป็นผู้ชายแมงดา มีภรรยาที่ดีใช่มั้ยล่ะครับ!”

“ผมแค่โชคดีถึงได้แต่งงานกับหวั่นชิง แต่เรื่องของบริษัทแซ่เฉินผมไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้าไปยุ่งครับ”

เย่เทียนกล่าวด้วยความจริงจัง ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย

“น้องเย่อย่าดูถูกตัวเองไปหน่อยเลย ได้แต่งงานกับคนสวยอย่างประธานเฉิน ถ้าคุณไม่มีความสามารถหวังพึ่งแค่ดวงคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก”

เจิ้งเหวยหวาชะงักอย่างชัดเจน คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนจะปลงจิตได้ขนาดนี้ ไม่สนใจฐานะผู้ชายเกาะผู้หญิงเลยสักนิด แต่ไม่นานนักเขาก็ได้สติ รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงสดใส

“ผมเชื่อว่าขอเพียงน้องเย่สามารถโน้มน้าวประธานเฉินให้ขายข้อมูลการวิจัยยาปฏิชีวนะให้กับเราได้ นอกเหนือจากราคาหนึ่งร้อยล้านนี้ ผมรับประกันว่าจะให้ค่าเหนื่อยกับน้องเย่อีกจำนวนอย่างงามเลยล่ะ!”

“ประธานเจิ้งยกย่องผมเกินไปแล้ว ผมเป็นแมงดาโดยถ่องแท้เลยล่ะ ธุรกิจของคุณผมไม่สามารถทำได้จริงๆ!”

เย่เทียนส่ายหัวเล็กน้อย ลุกขึ้นเตรียมลากลับ “ประธานเจิ้ง นี่ก็ดึกมากแล้ว ถ้าคุณไม่มีเรื่องอื่นผมไปก่อนนะครับ”

“น้องเย่ คุณคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะดีกว่านะ!”

“ตอนนี้ผมคุยกับคุณดีๆ แต่คุณควรจะรู้ไว้ว่าบริษัทแซ่เจิ้งไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่ดูแลอยู่ ถ้าพี่ใหญ่ของผมเป็นคนออกหน้า คุณอาจจะยอมรับผลที่ตามมาไม่ไหว”

ในที่สุดรอยยิ้มบนใบหน้าเจิ้งเหวยหวาก็หายไป ความเย็นชาเข้ามาแทนที่อยู่เต็มใบหน้า

“คุณกำลังขู่ผมอยู่เหรอครับ?”

นัยน์ตาสีนิลของเย่เทียนฉายแววเย็นเยียบ สีหน้าอึมครึมลงเช่นกัน

“คุณจะคิดแบบนั้นก็ได้!”

เจิ้งเหวยหวาสบตากับเย่เทียนอย่างไม่เกรงกลัว พูดด้วยน้ำเสียงแฝงนัย “ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ถึงแม้อนาคตของบริษัทแซ่เฉินจะสว่างไสวไร้ขีดจำกัด แต่ราคาตลาดในตอนนี้ก็ยังเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าเพียงหลักสิบล้าน ถ้าบริษัทแซ่เจิ้งของผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะซื้อ บริษัทแซ่เฉินจะหนีไปไหนได้?”

“ถ้าอย่างนั้นคุณมาหาผมทำไมครับ ไปซื้อเลยสิ!”

เย่เทียนเบ้ปาก ไม่แยแสคำขู่ของเจิ้งเหวยหวาเลยสักนิด

แม้ว่าบริษัทแซ่เฉินจะมีมูลค่าตลาดแค่หลักสิบล้านเท่านั้น แต่มีการพัฒนาที่ดีมาก บวกกับเขาขอยืมเงินจำนวนพันล้านจากพวกคนตระกูลฉินได้ง่ายๆ ถ้าบริษัทแซ่เจิ้งอยากจะซื้อจริงๆ อย่างน้อยๆต้องเตรียมเงินที่มากกว่านี้สามเท่า!

น่าเสียดาย ถึงบริษัทแซ่เจิ้งจะเป็นหนึ่งในห้าร้อยบริษัทใหญ่ของโลก แต่ก่อนหน้านี้สองพี่น้องตระกูลเจิ้งไม่ถูกกัน จนทั้งองค์กรอยู่ในบรรยากาศอึมครึม หากจะเอาเงินหมุนออกมาถึงสามพันล้านต้องใช้เวลาเป็นปีๆ

“น้องเย่ ผมรู้ดีว่าคุณคิดอะไรอยู่ ผมยอมรับว่าบริษัทแซ่เจิ้งของเราซื้อบริษัทแซ่เฉินไม่ได้ แต่นั่นหมายถึงเพียงวิธีของผมเท่านั้น”

เจิ้งเหวยหวาส่ายหัว และพูดอย่างแฝงความหมาย “แต่พี่ใหญ่ของผมเป็นคนไม่ทำอะไรตามแบบแผน ถ้าประธานเฉินโดนจู่โจมอีก การซื้อบริษัทแซ่เฉินก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”

“อีก?!”

เย่เทียนจับคำสำคัญในประโยคของเฉินเหวยหวาได้อย่างฉับไว สีหน้าอึมครึมประหนึ่งฝนจะตกในบัดดล “เจิ้งเหวยหวา ฉันขอเตือนนายนะ ถ้าเมียฉันเป็นอะไรไป ฉันรับรองได้ว่าพวกนายสองพี่น้องตายไม่ดีแน่!”

มังกรมีเกล็ดใต้คอที่ใครแตะต้องตาย!

เย่เทียนไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล หากตระกูลเจิ้งซื้อบริษัทแซ่เฉินด้วยวิธีที่ถูกต้อง ถึงเขาจะเสียดาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นไปหาเรื่อง

แต่ถ้าเฉินหวั่นชิงมีอันตรายถึงชีวิต ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เย่เทียนจะทำให้ฝ่ายนั้นแม้ตายยังไร้ที่กลบฝัง!

“เจิ้งเหวยหวา ฉันบอกนายแต่แรกแล้วใช่มั้ยว่าวิธีของนายไม่ได้ผล ทำตามวิธีของฉันแล้วกัน”

ไม่รอให้เจิ้งเหวยหวาตอบอะไร จู่ๆประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก คนคนหนึ่งที่คล้ายคลึงกับเจิ้งเหวยหวาบุกเข้ามาก่อน นอกจากเจิ้งเหวยกั๋วแล้วจะมีใครอีก?!

นอกจากนี้ ด้านหลังเจิ้งเหวยกั๋วมีผู้เฒ่าอายุมากสองคนตามมาด้วย แม้ว่าผมจะขาวโพลน แต่หน้าตามีเลือดฝาด ท่าทางเหมือนคนชราที่กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

เย่เทียนระวังตัวมากขึ้นในบัดดล หากอีกฝ่ายมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เขาจะตอบสนองได้ในทันที

“พี่ใหญ่ พี่มาได้ยังไง?”

เจิ้งเหวยหวามองพวกเจิ้งเหวยกั๋วสามคนที่บุกพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้างุนงงเช่นกัน

“แกใช่มั้ย เย่เทียนที่ทำฉันเสียเรื่องไปหลายหน?”

น่าเสียดายที่เจิ้งเหวยกั๋วไม่ได้สนใจเจิ้งเหวยหวาเลยสักนิด สายตาของเขาทอดมองเย่เทียนอย่างเย็นชา “ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะกล้ามาตามนัด แต่……”

“ในเมื่อแกมาอยู่ที่นี่แล้ว งั้นก็อย่าไปเลย!”