คนเราอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะในฐานะอะไร ก็ต้องทำในสิ่งที่จำใจบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างจระเข้ ไม่ว่าเขาจะต่อกรกับเชิ่งหู่ด้วยความตั้งใจจริงหรือไม่ แต่เพื่อทำให้ตำแหน่งของตัวเองมั่นคง เขาจำต้องทำให้คนใต้บัญชาดู
เย่เทียนก็เช่นกัน ต่อให้จระเข้คุกเข่าขอร้อง เขาก็ยังเลือกที่จะตัดแขนเขาหนึ่งข้าง ทั้งหมดนี้ก็ทำให้คนอื่นดูทั้งนั้น
กริ๊งกริ๊งกริ๊ง!
ไม่ว่ายังไงหลังจากออกจากฮันเตอร์บาร์แล้ว เย่เทียนที่เหนื่อยมาทั้งวันก็ไม่มีความคิดจะไปเดินเตร็ดเตร่ที่ไหนอีก เขากำลังจะโบกแท็กซี่กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม มือถือในกระเป๋ากางเกงกลับดังขึ้นเสียก่อน
เย่เทียนหยิบมือถือออกมาเพื่อดู พบว่าเป็นเบอร์แปลก จึงตัดสายโดยไม่ลังเล
ยุคนี้เบอร์มิจฉาชีพเยอะจนนับไม่ถ้วน ใครจะรู้ว่าโทรมาขายตึกหรือปล่อยกู้?
กริ๊งกริ๊งกริ๊ง!
แต่ไม่รอให้เย่เทียนเก็บมือถือเข้ากระเป๋า มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง ยังคงเป็นเบอร์แปลกเบอร์เดิม
“ใครน่ะ?”
เย่เทียนขมวดคิ้วทันที และรับสายด้วยความรำคาญ
“สวัสดีค่ะคุณเย่ ฉันคือเลขาส่วนตัวของประธานเจิ้ง เจิ้งเหวยหวา คุณเรียกฉันว่า安吉尔ก็ได้ค่ะ”
เสียงผู้หญิงน่าฟังชื่นมื่นดังมาจากปลายสาย เธอพูดอย่างมีมารยาท “ประธานเจิ้งให้ฉันมาถามคุณเย่ว่าตอนนี้พอจะว่างมั้ยคะ? ประธานเจิ้งอยากชวนคุณมาทานมื้อดึกที่ร้านอาหารซุ่นซิงค่ะ”
“ทานมื้อดึก?”
เย่เทียนผงะ สีหน้าฉายแววมีเลศนัย
เดิมทีภาพลักษณ์เจิ้งเหวยหวาในใจเขาไม่เลว ถึงยังไงเจอกันครั้งแรกอีกฝ่ายก็ให้เงินมาตั้งหนึ่งล้านนี่นา
แต่ช่วงนี้เกิดอะไรหลายอย่างกับบริษัทแซ่เฉิน ตัวการที่อยู่เบื้องหลังที่สืบมาได้ก็คือบริษัทแซ่เจิ้งแห่งเมืองเอก
บัดนี้เขามาอยู่ที่เมืองเอกได้รวมแล้วไม่กี่ชั่วโมง เจิ้งเหวยหวาออกปากเชิญตัวเองไปคุยด้วยไวขนาดนี้ น่าสงสัยแฮะ!
“ว่างสิ! ในเมื่อประธานเจิ้งออกปากเชิญ ต่อให้ฉันไม่ว่างก็ต้องว่าง!”
เขาพึมพำกับตัวเองในใจ เย่เทียนไม่ลังเลเลยสักนิด เขารับปากด้วยความที่ตัวเองมีความสามารถจึงใจกล้า
เย่เทียนไม่มัวเสียเวลา เขาโบกแท็กซี่และตรงไปที่ร้านอาหารซุ่นซิง
เสียงเวลาเดินทางกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดรถแท็กซี่ก็จอด
ดูจากภายนอกการตกแต่งของร้านอาหารซุ่นซิงแม้จะดูไม่หวือหวาทว่าแฝงความหรูหราเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่มีระดับ
เย่เทียนเพิ่งเดินเข้ามาด้านในก็มีบริกรสาวสวยมากมายปรากฏสู่สายตา แต่ละคนสวมชุดกี่เพ้าสีแดงผ่าสูง แต่งแต้มใบหน้าอย่างพิถีพิถัน ล้วนแต่เป็นผู้มีโฉมงาม
“สายัณสวัสดิ์ค่ะคุณผู้ชาย ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ?”
เมื่อเห็นร่างของเย่เทียนปรากฏ ก็มีบริกรสาวสวยเข้ามาต้อนรับทันที ใบหน้าฉายรอยยิ้มหวานแบบมืออาชีพ
“คนสวย คุณเจิ้งเหวยหวาแห่งบริษัทแซ่เจิ้งนัดผมมาทานมื้อดึกที่นี่ ไม่ทราบว่าเขามาหรือยัง?”
“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายท่านแซ่อะไรคะ?”
บริกรสาวสวยเลือกที่จะไม่ตอบเย่เทียน แต่ถามด้วยความระแวงก่อน
“ไม่ต้องเรียกท่าน ผมแซ่เย่!”
เย่เทียนยิ้มเล็กน้อย อุทานในใจว่าที่นี่สมกับที่มีระดับ มีจรรยาบรรณจริงๆ
“คุณเย่ ประธานเจิ้งมาถึงนานแล้วค่ะ เชิญด้านนี้เลยค่ะ”
เมื่อได้รับคำตอบที่แน่นอนแล้ว บริกรสาวสวยถึงเดินนำทางเย่เทียนอยู่ด้านหน้า
“คืนนี้ประธานเจิ้งพาคนมากี่คนเหรอ?”
เย่เทียนรีบเดินโอนเอนตามเข้าไป สองมือสอดเข้ากางเกงด้วยท่าทีเกียจคร้าน และแสร้งทำเป็นสบายๆ
“ประธานเจิ้งมาคนเดียวค่ะ”
บริกรสาวสวยตอบด้วยรอยยิ้ม
“แค่คนเดียวเหรอ?”
สีหน้าเย่เทียนพิศวงขึ้นมาในบัดดล คิดไม่ถึงว่าเจิ้งเหวยหวาจะใจกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นกล้ามาคนเดียว
นี่เขาไม่กลัวว่าตัวเองจะเอาชีวิตเขาเหรอ?
ชั่วขณะนั้น เย่เทียนชักจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าเจิ้งเหวยหวาเรียกตัวเองมาเพราะเหตุใด
แม้จะพูดแบบนั้น แต่เย่เทียนก็ขี้เกียจไปครุ่นคิด ยังไงซะอีกเดี๋ยวก็จะได้พบเจิ้งเหวยหวาแล้ว เจอหน้าก็รู้เองว่าเขาจะทำอะไร
ไม่ว่ายังไง ด้วยการนำทางของบริกรสาวสวย เย่เทียนมาถึงหน้าประตูห้องส่วนตัวห้องหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“เชิญค่ะคุณเย่”
บริกรสาวสวยเคาะประตูห้องก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจากคนข้างในแล้วถึงผลักประตูเข้าไป และผายมือทำท่าเชิญกับเย่เทียน
“ไม่เลวๆ การบริการของคุณทำให้ผมพอใจมาก เอาทิปไปหนึ่งหมื่น”
เย่เทียนไม่รีบร้อนเข้าไป เขายืนมองบริกรสาวสวยตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หน้าประตูก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มกริ่ม
บริกรสาวสวยตาเป็นประกาย กำลังจะย่อตัวขอบคุณ เสียงหน้าไม่อายของเย่เทียนก็ดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง
“จดไว้กับบัญชีของประธานเจิ้งก่อน อีกเดี๋ยวผมจะบอกประธานเจิ้งเอง คุณไปขอกับประธานเจิ้งตอนเราไปก็พอ!”
บริกรสาวสวยตากระตุก คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนที่ดูเป็นผู้เป็นคนจะหน้าด้านขนาดนี้ แค่ให้ทิปยังต้องไปลงกับบัญชีของคนอื่น
เจ้านี่เป็นแขกของประธานเจิ้งจริงๆเหรอ? หรือแค่บังเอิญแซ่เย่?
เย่เทียนไม่มีทางรู้ว่าบริกรสาวสวยกำลังคิดอะไรอยู่ เขาฉวยจังหวะที่เธอเหม่อ เดินเข้าไปในห้องส่วนตัวช้าๆ
ภายในห้องส่วนตัวมีร่างคนใส่สูทรออยู่นานแล้ว ไม่ใช่เจิ้งเหวยหวาแล้วจะเป็นใครอีก?!
“น้องเย่ มาแล้วเหรอ! มาๆๆ นั่งก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
เจิ้งเหวยหวาทำท่าราวกับได้พบเพื่อนที่สนิทกันมาหลายปี เขายืนขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง และส่งสัญญาณให้เย่เทียนนั่งลง
“ประธานเจิ้ง ข่าวของคุณนี่ไวดีนะครับ ผมเพิ่งมาถึงเมืองเอกได้ไม่กี่ชั่วโมงคุณก็ทราบข่าวแล้ว!”
เย่เทียนนั่งลงตรงข้ามเจิ้งเหวยหวาทันทีด้วยท่าทีเกียจคร้าน มองเจิ้งเหวยหวาด้วยรอยยิ้มบางๆ
ไม่ว่ายังไงเจิ้งเหวยหวาก็เป็นหนึ่งในผู้นำสูงสุดของบริษัทแซ่เจิ้ง เขาล่ะอยากจะดูว่าเจิ้งเหวยหวาเรียกเขามาทำอะไร!
“น้องเย่ พูดกันตรงๆเลยนะ ในโรงแรมห้าดาวที่คุณพักอยู่มีหุ้นของพวกเราบริษัทแซ่เจิ้งพอดี”
เจิ้งเหวยหวาก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เขาบอกสาเหตุกับเย่เทียนอย่างตรงไปตรงมา และลุกขึ้นพยายามรินเหล้าให้เย่เทียน
เย่เทียนพูดอะไรไม่ออกในบัดดล นี่ตัวเองมาส่งตัวเองถึงที่แบบโง่ๆเลยเหรอ!
“ประธานเจิ้ง ผมเป็นคนกินเหล้าไม่เก่ง ผมขอไม่ดื่มนะ”
“เอาอย่างนี้ เราอย่าพูดอะไรมากมายเลย คุณเรียกผมมาที่นี่ซะดึกดื่นมีอะไรเหรอ”
แม้จะพูดเช่นนั้น พอเย่เทียนเห็นว่าเจิ้งเหวยหวาทำท่าจะรินเหล้าให้ตัวเอง เย่เทียนกลับยื่นมือออกไปอย่างไม่เร่งรีบ และปิดอยู่เหนือแก้ว
“ในเมื่อน้องเย่พูดแบบนี้แล้ว ผมจะพูดตรงๆเลยแล้วกัน!”
“แต่ก่อนอื่น ผมต้องขออภัยน้องเย่ก่อน ถ้าเมื่อก่อนผมทำอะไรล่วงเกินไป ขอให้น้องเย่ให้อภัยด้วย อย่าเก็บไปใส่ใจเลย”
นัยน์ตาเจิ้งเหวยหวาฉายแววเย็นเยียบโดยไม่ให้รู้ตัว แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ประธานเจิ้ง ก่อนหน้านี้เราไม่มีความแค้นต่อกัน ผมรับคำขออภัยนี้ไม่ได้หรอก”
“ยังไงซะคุณเป็นถึงหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทแซ่เจิ้ง หนึ่งในห้าร้อยบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ต่อให้ผมเก็บมาใส่ใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร!”
เย่เทียนจะไม่สังเกตเห็นความโหดเหี้ยมที่แวบผ่านไปของเจิ้งเหวยหวาได้ยังไง มุมของเขาฉายรอยยิ้มเย็นดูหมิ่นอย่างอดไม่ได้…..