จระเข้มองภาพเย่เทียนที่เดินใกล้ห้องเข้ามาเรื่อยๆผ่านกล้องวงจรปิด ในใจขมขื่นเต็มทน เสียใจเหลือเกินที่ตอนนั้นทำแบบนั้นกับเชิ่งหู่
รู้ทั้งรู้ว่าเย่เทียนแข็งแกร่งมาก แต่ก็ดันไปมีปัญหากับเขา นี่มันต่างอะไรจากรนหาที่ตาย?
“ไอ้สารเลวหยางซิง! ไหนมันบอกว่าจะจัดการเย่เทียนไง?”
คิดมาถึงตรงนี้ จระเข้แค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนั้นหยางซิงมาหาถึงที่ เขาจะตัดสินใจแบบนั้นได้ยังไง?
น่าสงสารจระเข้ที่จนตอนนี้ยังไม่รู้ว่าหยางซิงไปดื่มชากับยมบาลแล้ว
ยังไงซะรู้แล้วว่าพวกลูกน้องจะมาถึงในอีกห้านาที ถึงแม้จระเข้จะว้าวุ่นใจ แต่ก็ต้องข่มเอาไว้ ตั้งใจกับตัวเองว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องอดทนต่อไปให้ได้อีกห้านาที
นี่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล มดมันยังรักตัวกลัวตาย ไม่ถึงนาทีสุดท้าย ใครจะอยากตายกัน?
แกร๊ก!
แทบจะขณะเดียวกับที่จระเข้ตัดสินใจได้ เสียงเปิดกลอนก็ดังมาจากประตูห้อง ในที่สุดร่างของเย่เทียนก็สะท้อนสู่สายตาของจระเข้
ในมือของเย่เทียนจับขาข้างหนึ่งไว้ พี่ตงนอนหน้าช้ำดำเขียวอยู่บนพื้น ส่งเสียงโหยหวนเจ็บปวด
หลังจากจัดการลูกน้องไปได้สิบกว่าคนแล้ว เย่เทียนก็จับพี่ตงที่พยายามหลบหนีไว้ได้ ในขณะที่เขาบอกทางก็กระชากลากถูกเขามาทั้งทางอย่างโหดเหี้ยม
ตุ้บ!
เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็พบคนที่ต้องการ เย่เทียนไม่ทำอะไรพี่ตงอีก เขาโยนพี่ตงไปด้านข้างและนั่งบนโซฟาด้วยท่าทีเหนื่อยล้า
“นายคือจระเข้ใช่มั้ย?”
เย่เทียนหยิบขวดเหล้าบนโต๊ะขึ้นมากระดกหนึ่งอึกโดยไม่เกรงใจ ก่อนจะยิ้มบางๆและทอดสายตาไปที่จระเข้
“คุณ คุณชายเย่ สวัสดีครับ”
จระเข้กลืนน้ำลายด้วยสัญชาตญาณ ข่มความหวาดผวาในใจและยิ้มทักทาย
“อย่าเลยๆๆ! นายอย่าเรียกฉันว่าคุณชายเย่เลย!”
เย่เทียนรีบโบกมือ และพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “ยังไงซะตอนนี้นายก็เป็นพี่ใหญ่ที่ปกครองหนึ่งในสามของเมืองเอก ฉันเป็นแค่คนต้อยต่ำที่มาจากนอกเมือง รับไว้ไม่ไหวหรอก!”
“คุณชายเย่ ผมผิดไปแล้วครับ ให้โอกาสผมสักครั้งเถอะครับ ไว้ชีวิตเลวทรามของผมเถอะ”
จระเข้ได้ฟังดังนั้น ร่างใหญ่ของเขาก็สั่นงึกงัก และคุกเข่าลงโดยไม่ให้ตั้งตัว ตบหน้าตัวเองอย่างแรง วิงวอนทั้งที่น้ำตาไหลพราก
“ผิดเหรอ? ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ”
“ยังไงซะนายก็เป็นผู้นำสูงสุดของแก๊งหย่งเซ่งเหลียน ต่อให้ทำอะไรผิดก็ต้องถูกอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
ตอนแรกเย่เทียนก็ตกใจเหมือนกัน แต่ไม่นานนักเขาก็ได้สติ หยิบขวดเหล้าบนโต๊ะมารินให้ตัวเองด้วยท่าทีสบายใจ และมองจระเข้ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“คุณชายเย่ ผมผิดไปแล้วครับ! ผมรู้ตัวแล้วจริงๆครับว่าทำผิดไป!”
“ผมไม่น่าหลงเชื่อข้อเสนอของหยางซิง ไม่น่าไปแก้แค้นเชิ่งหู่เลยครับ”
จระเข้ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลร้องขอชีวิต ตรงแก้มโดนตัวเองตบจนแดงเถือกและบวมเป่ง เห็นได้ชัดว่าเขาลงมือหนักจริง
“เห็นแก่ที่นายรับรู้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองผิด ฉันจะไว้ชีวิตของนายก็ได้ แต่……”
“ยังไงซะนายก็ตัดขาสองข้างของเชิ่งหู่ไปแล้ว สร้างบาดแผลให้เขาชั่วชีวิต ถ้าปล่อยนายไปแบบนี้ ออกจะสบายนายเกินไป”
“เอาอย่างนี้! นายตัดแขนตัวเองหนึ่งข้าง แล้วฉันจะไม่ถือสาเรื่องนี้อีก!”
เห็นจระเข้ยอมลดตัวต่ำขนาดนี้ เย่เทียนก็ไม่ใช่ฆาตกรที่ชื่นชอบการฆ่าคน เขาเกิดความคิดอยากปล่อยเขาไปขึ้นมา
จระเข้ที่กำลังตบหน้าตัวเองอย่างบ้าคลั่งได้ยินแล้วตัวสั่นเล็กน้อย เขาหยุดมือที่กำลังตบ และมองเย่เทียนด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
เขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตบนเส้นด้าย ถ้าขาดมือไปข้างหนึ่ง ต่อให้เหล่าศัตรูไม่ใช้โอกาสนี้ทำอะไร เกรงว่าคนที่อยู่ใต้บัญชาก็จะต่อต้านเขา!
พูดง่ายๆคือถ้าเขาขาดมือไปหนึ่งข้าง เขาจำต้องละทิ้งตำแหน่งในวันนี้ ไสหัวออกจากเมืองเอกตลอดกาล มิฉะนั้นชีวิตได้หาไม่แน่
แต่กว่าเขาจะมีตำแหน่งในวันนี้มันไม่ง่าย จะให้ละทิ้งง่ายๆได้ยังไง?
“มองฉันทำไม หรือที่ฉันพูดยังไม่ชัดเจนพอเหรอ?”
เย่เทียนยักไหล่ ยิ้มกว้างและพูดอีกครั้ง “นายตัดแขนตัวเองหนึ่งข้าง แล้วฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”
“ครับๆๆ!”
จระเข้ก้มหน้าราวกับยอมรับชะตากรรม เดินไปที่โต๊ะทำงานประหนึ่งไร้วิญญาณ ทว่านัยน์ตากลับฉายแววเด็ดเดี่ยว
เย่เทียนไม่ได้ห้ามการกระทำของจระเข้ เขาเพียงแต่ขดตัวอยู่บนโซฟาและมองจระเข้ด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“ทำไม! ทำไมนายต้องบีบบังคับฉันด้วย!”
“ฉันอุตส่าห์ยอมทิ้งศักดิ์ศรีคุกเข่าขอความเมตตากับนายแล้วนะโว้ย ทำไมนายถึงไม่ยอมปล่อยฉันไป!”
ทันใดนั้น จระเข้หยิบปืนพกออกจากโต๊ะทำงาน เล็งปลายปืนทมิฬไปที่เย่เทียน และแผดเสียงด้วยความเจ็บใจ
ในความเป็นจริง จระเข้รู้ดีว่าอาวุธปืนทำอันตรายเย่เทียนไม่ได้หรอก แต่นอกจากสิ่งนี้ เขาจะมีวิธีอะไรอีก? จะยอมแต่โดยดีก็คงไม่ได้?
“ฉันบีบบังคับนาย?”
เย่เทียนเมินการคุกคามจากปืนในมือจระเข้โดยสิ้นเชิง ประหนึ่งได้ยินเรื่องตลกที่น่าขำที่สุด เขาหัวเราะด้วยท่าทีโรคจิตอ่อนๆ
“นาย นายหัวเราะอะไร?”
จระเข้มองเย่เทียนที่หัวเราะลั่นอย่างไม่หวาดกลัวสิ่งใดแล้วลนลานขึ้นมาในใจ มือที่ถือปืนอยู่สั่นไหวเล็กน้อย
“ฉันหัวเราะในความโง่เขลาของนาย”
เย่เทียนค่อยๆหุบยิ้มลง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเย้าหยอก “นายรู้ดีไม่ใช่เหรอว่านายทำอันตรายฉันไม่ได้ ทำไมถึงยังทำอะไรที่เปล่าประโยชน์ล่ะ? ไม่กลัวว่าจะทำให้ฉันโมโหเพราะเหตุนี้เหรอทไ
“ฉัน….นาย…..”
โดนเย่เทียนแทงใจดำด้วยประโยคเดียว จระเข้ลนลานยิ่งกว่าเดิม รู้สึกเพียงมือชุ่มเหงื่อ
ทีแรกเย่เทียนอยากให้จระเข้พูดมากกว่านี้หน่อย แต่หูเขาจับเสียงเบรคเป็นชุดจากด้านหลังได้ด้วยสัมผัสแหลมคม เขามองจระเข้อย่างมีความหมาย จนต้องล้มเลิกความคิดพูดมากไป
“บอกตามตรงนะ ความจริงฉันเข้าใจนายดี ไม่ว่ายังไงเซิ่งเหอเซิ่งก็แตกพ่ายเพราะฉัน นายจะไปแก้แค้นกับเชิ่งหู่ก็เป็นเรื่องปกติ”
“ยังไงซะต่อให้นี่ไม่ใช่สิ่งที่นายอยากทำ แต่เพื่อให้ตำแหน่งมั่นคง นายก็ต้องทำให้คนอื่นดู”
“ฉันก็เช่นกัน แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ช่วยฉันไว้ไม่มากก็น้อย ถ้าฉันไม่ทวงความเป็นธรรมให้พวกเขา วันหน้าจะมีใครอยากช่วยฉันอีก?”
เย่เทียนส่ายหัวเล็กน้อย ลุกขึ้นจากโซฟาด้วยสีหน้าสบายๆ และจัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างเตรียมพร้อม พร้อมเผยรอยยิ้มใสซื่อ
“เอาล่ะ การออกกำลังกายหลังอาหารนี้ก็ใช้เวลามานานพอแล้ว นายจะลงมือเอง หรือจะให้ฉันช่วย?”
จระเข้ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เขากัดฟันและคิดจะลั่นไกด้วยสัญชาตญาณ
แต่ไม่รอให้นิ้วของเขาแตะไกปืน ก็รู้สึกภาพตรงหน้าวูบไหว ความเจ็บปวดเสียดแทงถึงกระดูกส่งเข้ามาจากทางแขนในบัดดล
แปะ!
มือขวาของจระเข้ที่ถือปืนอยู่หล่นลงพื้นตั้งแต่ช่วงไหล่ เลือดแดงฉานพรั่งพรูออกมาประหนึ่งน้ำพุ น่าสยองสุดๆ
แต่เย่เทียนไม่แม้แต่จะมอง ประหนึ่งตัวเองแค่ทำเรื่องเล็กๆเท่านั้น ก่อนจะหันหลังจากไปอย่างสง่างาม
“ทำอะไรไว้กรรมย่อมคืนสนอง จะโทษก็โทษตัวนายเองที่เลือกเดินทางเส้นนี้!”